อินชิงเสวียนกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แต่แล้วก็นอนไม่หลับอีกเธอปวดหัวอย่างรุนแรง ไม่ต้องบอกว่าทรมานขนาดไหนเมื่อก่อนมักจะได้ยินคุณย่าพูดว่านอนหลับมันทรมาน อินชิงเสวียนคิดว่าแกคงพูดเกินจริง ตอนนี้เมื่อประสบกับตัวเองโดยตรงถึงรู้ว่าเกือบตายเธอนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงทั้งวัน ข้าวก็แทบจะไม่ได้กิน ทุกข์ทรมานจนดวงอาทิตย์ลับของฟ้า เมื่ออากาศเริ่มเย็นขึ้นอินชิงเสวียนจึงรู้สึกง่วงอวิ๋นฉ่ายอยากถามเธอว่าคืนนี้จะออกไปข้างนอกหรือไม่ แต่เมื่อเห็นพระสนมของตนดูท่าทางไม่ค่อยดี จึงกลืนเอาคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาลงท้องไปอินชิงเสวียนลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นวันรุ่งขึ้นที่ท้องฟ้าสว่างไสวแล้วเธอบิดขี้เกียจอย่างสบาย ๆ แต่ในใจยังคงรู้สึกกระวนกระวายอยู่การนอนไม่หลับนั้นมันทรมานราวเหมือนจะตายเลยจริง ๆเมื่อเจ้าหมาน้อยได้ยินเสียงแม่ของเขา ก็ร้องอุแว้ ๆ ขึ้นมาทันทีอินชิงเสวียนเดินออกไปที่ห้องด้านนอก แล้วอุ้มเจ้าหมาน้อยขึ้นมาดูเหมือนเจ้าหมาน้อยจะรู้จักแม่ของเขาแล้ว กวัดแกว่งมือเท้าด้วยความดีใจ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ดวงตาสีเข้มของเขาโค้งมนราวกับพระจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ สองอัน อินชิงเสวียนมองอย่างอารมณ์ดี หอมเข้
เมื่อได้ยินดังนั้น ลู่จิ้งเสียนก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีดึกดื่นป่านนี้ ฝ่าบาทกลับเรียกหาซูฉ่ายเวย หรือว่าต้องการให้หญิงสารเลวนั้นมาเข้าเฝ้าหลับนอนด้วยอย่างนั้นหรือ?หากนางได้มาเข้าเฝ้า เช่นนั้นแล้ววังหลังยังจะมีที่ว่างให้ตนได้อย่างไรนางรีบเอามือกุมท้องแล้วส่งเสียงร้องโอดโอย"ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเจ็บเหลือเกินเพคะ"ชุ่ยจู๋ร้องขึ้นทันที "ฝ่าบาททรงโปรดช่วยเหลือพระสนมด้วยเพคะ พระสนมอาการโรคหัวใจกำเริบอีกแล้วเพคะ"เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่ง แววตาถากถางพูดขึ้นเรียบ ๆ ว่า "ทหาร รีบพาสนมเสียนเฟยไปหาหมอหลวงเดี๋ยวนี้"ลู่จิ้งเสียนเอามือกุมอก พูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้น "ฝ่าบาท อยู่กับหม่อมฉันเถอะนะเพคะ"เย่จิ่งอวี้คำรามเสียงเย็น "ข้าไม่ใช่หมอ อยู่กับเจ้าจะช่วยอะไรได้""ฝ่าบาท!"ลู่จิ้งเสียนไม่ยอมแพ้ ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง แต่ถูกขันทีหลายคนหามขึ้นมา ลู่จิ้งเสียนโมโหจนแทบกระอักเลือด ทั้งก่นด่าทั้งดีดดิ้น"ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมดเดี๋ยวนี้"ในขณะเดียวกัน ขันทีที่ต้องไปรับซูฉ่ายเวยก็มาถึงหอฉงฮวาซูฉ่ายเวยกำลังหลับสบาย จู่ ๆ ก็ได้ยินว่าฮ่องเต้เรียกให้เข้าเฝ้าก็ตื่นเต้นดีใจจนตกลงจากเตียง"เร็วเข้า รีบแต่งหน
อินชิงเสวียนเหลือบมองประตูวัง ข้างบนเขียนว่าหอฉงฮวาเดิมทีเธอรู้สึกผิดต่อสนมนางนี้เล็กน้อย ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะตนที่ทำให้นางต้องว้าวุ่น แต่เมื่อดูท่าทางโกรธกริ้วของนางในตอนนี้นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าความกังวลของเธอนั้นไม่จำเป็นเลยแต่ทว่าอีกฝ่ายก็เป็นถึงสนม ถึงอย่างไรก็ต้องแสดงออกเสียหน่อยเธอรีบยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “คารวะพระสนม"ซูฉ่ายเวยก้มหน้ามองอินชิงเสวียนถือของอยู่ในอ้อมแขนก็พูดขึ้น "เจ้าถืออะไรอยู่ในมือ ไปขโมยมาจากไหน?"อยู่ดี ๆ ก็บอกว่าเธอขโมย อินชิงเสวียนรู้สึกไม่ชอบใจเธอก้มศีรษะลงและแสดงความนอบน้อมต่อซูฉ่ายเวย“กระหม่อมไม่ได้ขโมย นี่เป็นสิ่งของที่ต้องมอบให้ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ"ซูฉ่ายเวยกวาดสายตาประเมินอยู่ชั่วครู่ สายตาก็ไปจับจ้องที่ใบหูของอินชิงเสวียน“เจ้าทาสรับใช้สามหาว เจ้ากล้าพูดไร้สาระ ฮ่องเต้บรรทมไปแล้ว เหตุใดถึงยังจะมารับของจากเจ้า เอาออกมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าไปขโมยมาจากที่ไหนกันแน่"อินชิงเสวียนถูกหยิกจนเจ็บ จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันทียังไม่ได้เลื่อนยศมีบรรดาศักดิ์เสียหน่อย ทำไมต้องกลัวแค่หญิงงามคนหนึ่งด้วยจากน
อินชิงเสวียนงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเย่จิ่งอวี้ทันที"นี่มันสำหรับข้าใช่หรือไม่?""เอ่อ....ใช่พ่ะย่ะค่ะ!"อินชิงเสวียนฝืนยิ้มเย่จิ่งอวี้หยิบเกี๊ยวมาอันนึ่งใส่เข้าไปในปากหลี่เต๋อฝูอุทานด้วยความตกใจ "ฝ่าบาท ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!"ยังไม่ได้ตรวจสอบยาพิษเลยนะเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้กินมันเข้าไปโดยไม่มีความระแวดระวังใด ๆ อินชิงเสวียนเสียดาย หากรู้แต่แรกว่าเขาคือฮ่องเต้เฮงซวยนี่ ก็คงเอายาพิษใส่ให้กิน หรืออย่างน้อยยาถ่ายก็ยังดีกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็ได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามขึ้นว่า “แล้วนี่มันคือสิ่งใดอีก?"อินชิงเสวียนรู้สึกตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและแสร้งทำท่าทางนอบน้อม "สิ่งนี้เรียกว่าเกี๊ยว หรือเรียกอีกอย่างว่าหยวนเป่าพ่ะค่ะย่ะ"เย่จิ่งอวี้มองดูรูปร่างของเกี๊ยวซึ่งดูเหมือนเงินหยวนเป่าจริง ๆก็ถามขึ้นอีกว่า “เครื่องปรุงที่ใช้ทำเกี๊ยวก็มาจากฮว๋าเซี่ยเช่นกันหรือ?"อินชิงเสวียนก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "พ่ะย่ะค่ะ"แต่ในใจของเธอกำลังคิดหาวิธีหลบหนี หากตนไม่กลับไปทั้งคืน ยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายจะต้องร้อนใจอย่างมากแน่ ๆไหนจะขันทีเฒ่าที่ชื่อหลี่เต๋อฝูนั่นอีก ชอบทำคอยาวจ้องมาที่ตน ไม่รู้ว่าต
"บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นคนของวังไหน ข้าจะให้หลี่เต๋อฝูไปเอามา"เย่จิ่งอวี้ได้แสดงความอดทนเป็นพิเศษต่อทาสรับใช้คนนี้อย่างมากแล้วอินชิงเสวียนสาปแช่งอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้สารเลวนี่คงไม่หลงกลง่าย ๆ จริง ๆเธอหัวเราะแห้ง ๆ แล้วพูดว่า "ถ้าเช่นนั้นไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ จริง ๆ แล้วเมล็ดพันธุ์ก็อยู่กับตัวกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปเอาเดี๋ยวนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ"หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ เธอก็วิ่งออกจากตำหนักเฉิงเทียนไปเมื่อมองดูแผ่นหลังของเธอ เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วแค่หยิบเมล็ดพันธ์ุออกมาทำไมต้องวิ่งออกไปข้างนอกด้วย ทาสรับใช้ผู้นี้ทำไมถึงทำตัวพิลึกพิกลเช่นนี้อินชิงเสวียนวิ่งมาถึงประตูแล้วก็เดินไปยืนที่เสาต้นหนึ่งเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เธอจึงรีบเข้าไปในมิติแล้วใช้คะแนนห้าแต้มแลกเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีออกมาเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องยากในการอธิบายที่มาของถุงพลาสติก เธอจึงแลกกระดาษหนังวัวออกมาใบหนึ่ง แล้วห่อเมล็ดทั้งหมดไว้แล้วนำออกมาเธอทำสิ่งนี้เพื่อประชาชนชาวต้าโจว ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเย่จิ่งอวี้เธอปลอบใจตัวเองแล้วเดินออกจากมิติมาหลี่เต๋อฝูบังเอิญเดินผ่านมาพอดี รู้สึกเพี
เช้าวันถัดมาอินชิงเสวียนตกใจตื่นเพราะเสียงเคาะประตู เมื่อลืมตาขึ้นมาถึงคิดได้ว่าตนเองอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนมองดูตะวันทอแสงข้างนอก อินชิงเสวียนเดาว่าเย่เฉิงอวี้คงไปว่าราชการแล้ว ตนเองตื่นสายกว่าฮ่องเต้เสียอีก แบบนี้ดูจะไม่ดีเลยทีเดียวเมื่อเปิดประตูออกไป ก็มองเห็นเสี่ยวอานจื่อยืนอยู่ที่หน้าประตู"เสี่ยวเสวียนจื่อ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที ให้คนอื่นเขารอจนร้อนอกร้อนใจไปหมดแล้วนะ"เสี่ยวอานจื่อกระทืบเท้าด้วยท่าทีกระแนะกระแหน จนอินชิงเสวียนที่มองดูถึงกับขนลุก"เสี่ยวอานจื่อกงกง เจ้ามีธุระอะไรกับข้าหรือ?"เสี่ยวอานจื่อยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว และจับไปที่เสื้อผ้าบนบ่าของอินชิงเสวียน"แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว ฝ่าบาทรับสั่งให้คนไปตัดถอนดอกไม้ใบหญ้าในสวนอวิ๋นเซียงออกและขุดเป็นแปลงผักแล้ว ตอนนี้รอเพียงเจ้าไปเพาะปลูก"อินชิงเสวียนเอามือทุบไปที่หัว ตนเองลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท"เช่นนั้นเราก็รีบไปดูกันเถอะ""เสี่ยวอานจื่อมองนาง "รีบไปเถอะ"อินชิงเสวียนออกจากห้อง ไป๋เสวี่ยก็ตามไปด้วยเสี่ยวอานจื่อตกใจ "ไม่ได้นะ ท่านไป๋เสวี่ยจะออกไปข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้"ตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยโดนกลั่นแกล้
ต้นไม้เพิ่งจะขุดขึ้นมา ทำให้ติดไฟยาก อินชิงเสวียนจึงให้คนหาไม้ฝืนมาจุดไฟเผาพร้อมกับพวกต้นไม้ด้วยทันใดนั้นก็มีควันขโมงขึ้นมา เย่จิ่งอวี้สำลักควันจนไอไม่หยุดหลี่เต๋อฝูรีบพูดขึ้นว่า "ฝ่าบาท ที่นี่ควันคลุ้งมาก เรากลับไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะเย่จิ่งอวี้ยกมือปิดจมูกไว้ แล้วพูดกับอินชิงเสวียนว่า "เผามันจนเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นแค่โรยมันไปบนหน้าดินใช่ไหม?"อินชิงเสวียนเองก็สำลักควันจนคอแห้งเช่นกัน ยกมือปิดปากแล้วพูดว่า "แค่กๆ พักไว้จนเย็นก็สามารถใช้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ตอบรับแล้วพูดว่า "หลี่เต๋อฝู เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ รอจนเถ้าถ่านโรยเสร็จหมดแล้วค่อยกลับห้องหนังสือ"หลี่เต๋อฝูหลุบตาลง"บ่าวน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ก้าวขาเดินไปแล้ว อินชิงเสวียนที่ยืนอยู่กับที่กลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ควรจะตามไปด้วยหรือไม่?หลี่เต๋อฝูถือโอกาสมองไปที่ขาของอินชิงเสวียน โชคดีที่ยังมีเงาก็คงไม่ใช่ผีสางล่ะนะจากนั้นก็พูดเสียงสูงว่า "ยังไม่รีบตามเสด็จไปอีก ฝ่าบาททรงโปรดชาอุณหภูมิที่ร้อนกำลังดี ก่อนเสวยพระกระยาหารต้องทดสอบด้วยเข็มเงินเสียก่อน ฝ่าบาทไม่โปรดการบรรทมตอนกลางวัน ขณะที่กำลังอ่าน
สีหน้าอวิ๋นฉ่ายเปลี่ยนไปทันที เธอยกแขนขึ้นจับยายหลี่ไว้แน่นความตกใจกลัวฉายแววในดวงตาของยายหลี่ จากนั้นนางกัดฟันแน่น และหยิบเอาท่อนไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าประตูขึ้น"ยายแก่ ข้าคนนี้ไม่ยอมแพ้พวกเจ้าหรอก"อินชิงเสวียนยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติ จึงสวมรองเท้าและตามออกไป"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?"อวิ๋นฉ่ายรั้งเธอเอาไว้ ร้องไห้พร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไรเพคะ พระสนม พระองค์อย่าออกไปเพคะ"อินชิงเสวียนผลักอวิ๋นฉ่ายออก และเดินออกมาที่ประตูวังอย่างรวดเร็วก็ได้ยินเสียงหวังเอ้อร์หวู่พูดด้วยเจตนาไม่ดีว่า "ต่อไปถ้าปรนนิบัติข้าให้พอใจแล้ว รับรองเรื่องกินของพวกเจ้าไม่มีขาด ดังนั้นถ้ารู้ความก็รีบย้ายหินที่ปิดรูบนกำแพงออก ให้พวกข้าสองคนได้เข้าไปเล่นสนุกเสีย"หวังต้าหวู่ก็พูดสบทบตามว่า "เดิมทีว่าจะเข้าไปลิ้มรสพระสนมถูกปลดดูเสียหน่อย ใครจะไปนึกว่านางดันตายไปเสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ"เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว สีหน้าของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อหันกลับหลัง ก็มองเห็นอวิ๋นฉ่ายน้ำตาไหลพราก นางส่ายหัวให้อินชิงเสวียน แล้ววิ่งเข้าไปในห้องวินาทีนั้น อินชิงเสวียนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวดูเหมือนสองสารเลวนั้นจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็ถึงเดือนสามนักเรียนฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊จำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวง ต้าโจวก็คึกคักครื้นเครงเป็นพิเศษ วันที่สิบแปดเดือนสาม กรมพิธีการเป็นประธานในการสอบอินชิงเสวียนปลอมตัวเป็นอาจารย์อินอีกครั้ง และแอบหนีไปที่หอตรวจ ท้องของนางเริ่มโตขึ้นมากแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น จึงสวมชุดคลุมตัวใหญ่ อำพรางร่างกาย ไว้เย่จิ่งอวี้ไม่วางใจ ปลอมตัวเป็นองครักษ์ติดตามไปด้วย โดยมีหน้ากากปิดบังครึ่งใบหน้า ริมฝีปากที่เม้มน้อยๆ ยังคงแสดงให้เห็นถึงอำนาจของผู้สูงศักดิ์เขาโค้งคำนับประสานมือคารวะ พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ข้าน้อยคุ้มครองความปลอดภัยของ อาจารย์อิน ถ้าอาจารย์อินต้องการสิ่งใด เชิญสั่งมาได้เต็มที่”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา วางท่าเหมือนเป็นผู้มีการศึกษา“ไปยืนอยู่ด้านหลัง หากไม่มีอะไรก็อย่าพูดมาก”“รับทราบ”เย่จิ่งอวี้ลดมือลง ยืนข้างหลังนางอย่างเชื่อฟัง โดยไม่พูดอะไรสักคำอินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากยิ้มๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้องสอบเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งดื่มชาบนเก้าอี้ ท่าทางสบายอารมณ์มาก คนจากสำนักศึกษาหลวงถูกย้ายมาที่นี่แล้ว ไม
วันรุ่งขึ้นในตอนเช้า เหล่าขุนนางได้รับข่าว สั่งให้ชาวเมืองเร่งไปที่พระนครในเวลาหนึ่งทุ่ม เพราะฝ่าบาทจะฉลองวันตรุษกับราษฎรทุกคนในอดีต ก็มีการเฉลิมฉลองวันตรุษกับราษฎร แต่พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่พระนครในสถานที่สำคัญอย่างเช่นวังหลวง จะให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ได้อย่างไร แม้แต่การมองจากไกลๆ ก็มีโทษหนักถึงขั้นตัดศีรษะ หลังจากได้ทราบข่าวนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และตั้งตารอคอยเพียงชั่วพริบตาก็ถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เหล่าขุนนางก็ได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระราชวังเพื่อร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกประตูวังก็มีผู้คนมากมายขณะที่มองดูคบเพลิงที่โอ้อวด ทุกคนอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบ“อากาศหนาวมาก ให้เรามาทำอะไรที่นี่กัน”“ใช่ มืดสนิทอย่างนี้ หรือจะให้พวกเรานั่งฟังพวกขุนนางข้างในนั่นยกจอกดื่มกันอย่างสนุกสนาน?”“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อบอกให้เรามาก็มาเถอะ ครึ่งเดือนที่แล้วฮองเฮาประทานข้าว แป้งหมี่ ผักและผลไม้ให้เรามากมาย แม้ต้องทนหนาวก็สมควรแล้ว”“ไม่ใช่หรอกรึ ถึงอย่างไรคนก็มีคุณธรรม ในฤดูกาลนี้จะหาผลไม้และผักสดอร่อยๆ แบบนี้ได้ที่ไหน แม้ว่าฮองเฮาจะให้ทนหนาว ข้าก็ยอมรับได้”
พริบตาก็ถึงวันสิ้นปี นับตั้งแต่พิธีเสกสมรสของท่านอ๋องสิบสามก็ผ่านไปสองเดือนแล้วท้องน้อยของอินชิงเสวียนนูนขึ้น คนทั้งคนเป็นเหมือนแมวขี้เกียจ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการนอนอาบแดดบนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ในขณะนี้ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฟังเสียงของสาวน้อยเย่ไห่ถังที่ดังก้องอยู่ในหูของนาง“เสด็จอาสิบสามแต่งงานมานานแล้ว ทำไมเสด็จพี่ถึงยังไม่พูดถึงการแต่งงานของข้าล่ะ เสด็จพี่สะใภ้ อินปู้อวี่เป็นพี่รองของท่านนะ ท่านไม่ร้อนใจหรือ”“เสด็จพี่สะใภ้ ท่านอย่าเพิ่งหลับนะ ลุกขึ้นมาคุยกับข้าหน่อยสิ”อินชิงเสวียนถูกนางรบกวนจนปวดหัว จำต้องลืมตาตื่น“การแต่งงานของเจ้ากับพี่รองจะจัดขึ้นในปีหลังจากนั้น ถึงอย่างไรเสด็จอาสิบสามของเจ้าก็เป็นผู้อาวุโส เจ้าแต่งงานพร้อมกับเขา มันไม่เหมาะสม”เย่ไห่ถังทำหน้าบูดบึ้งทันที“ไม่เหมาะสมอะไรกัน ข้าไม่ได้แต่งงานกับเขาเสียหน่อย”อินชิงเสวียนโกรธจนหัวเราะ“เรื่องนี้เจ้าก็ยังพูดออกมาได้นะ ถ้าเสด็จพี่เจ้าได้ยิน บางทีอาจส่งเจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีจริงๆ ก็ได้”เย่ไห่ถังสะดุ้ง รีบปิดหูของอินชิงเสวียนทันที พระราชโองการนั้นได้กลายเป็นเงาในใจของนางแล้ว แม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องเ
“ไม่นาน”กระแสเสียงของอินหลีฟังดูอ่อนหวานและขี้อาย ทำให้คนอดเอ็นดูเสียมิได้เย่จั้นรับคำไม้มงคลจากสาวใช้ แล้วเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ประดับด้วยลูกปัดเปลือกหอยสีแดงขนาดใหญ่ออก ครั้นแล้วใบหน้างามสดใสฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ และท่าทางที่เขินอายก็ปรากฏสู่สายตาของเย่จั้นเมื่อคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนี้จะเป็นของตัวเองต่อจากนี้ไป นิ้วเรียวยาวของเย่จั้นก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเล็กน้อย รู้สึกอิ่มเอมใจและซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะพาอินหลีเข้าไปอยู่ในวัง แต่ทั้งสองก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมประเพณีอย่างเคร่งครัด ไม่เคยกล้าที่จะล้ำเส้นหรือทำเกินเลย เพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบในวันนี้โชคดีที่สวรรค์ทรงเมตตาเขา แม้ว่าเขาจะสูญเสียสตรีที่รักที่สุดไป แต่หลังจากเฝ้าตามหามาหลายปี ในที่สุดก็ตามหานางจนเจอ เขาจะใช้เวลาที่เหลือทั้งชีวิต เพื่อชดเชยเวลาที่เสียไปในช่วงที่อินหลีติดอยู่บนภูเขา“อาหลี เจ้าในวันนี้ งามมาก!”เย่จั้นค่อยๆ ทรุดกายลงนั่ง คุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองอินหลีบางทีในสายตาของคนนอก นางกับอินชิงเสวียนจะมีความคล้ายคลึงกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยอมเสี่ยงเพื่อตระกูล อ
ณ ตำหนักจินอู๋“เป็นอย่างไร ข้าดูคนออกไหม”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมยาวนุ่มๆ ด้วยสีหน้าท่าทางพออกพอใจมากอินชิงเสวียนทำเสียงชิ“เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องง่ายที่จบได้ด้วยคำพูดเดียว ท่านกลับข่มขู่จนพวกเขาเกือบตาย เอาเถอะ เห็นแก่อาอวี้ที่วางแผนเผื่อน้องสาว ข้าจะไม่ถือสาท่าน ได้ยินมาว่าเสด็จอาไปสู่ขอที่ตระกูลอินแล้ว ต้าโจวมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเลยทีเดียว”เย่จิ่งอวี้โอบนางไว้ในอ้อมแขน“สิ่งที่ข้ารอคอยมากที่สุดคือเรื่องดีของเสวียนเอ๋อร์ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง องค์หญิงน้อยของเราดิ้นบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนลูบท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว“ไม่มี ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาว ท่าทางว่าง่ายมาก”เย่จิ่งอวี้โน้มตัวลง เอาหน้าแนบกับท้องน้อยของอินชิงเสวียน“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เสวียนเอ๋อร์มีชื่อที่ชอบหรือเปล่า”อินชิงเสวียนหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ชื่อของจ้าวเอ๋อร์ยิ่งใหญ่เกินไป ก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าอะไรถึงจะเข้ากับลูกสาวสุดที่รักของข้า”เย่จิ่งอวี้ยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อเอง แม้ต้องเปิดตำราโบราณจนหมดวังหลวง ข้าก็จะตั้งชื่อที่โด่งดังที่สุดในโลกให้ลูกสาวของเรา”อินชิงเสวีย
ทั้งสองสะดุ้งตกใจพร้อมกัน เย่ไห่ถังรีบเอาตัวมาบังให้อินปู้อวี่ทันที“เสด็จพี่ พวกเรา...ทั้งหมดเป็นความคิดของข้า เป็นข้าที่อยากหนีการแต่งงาน เป็นข้าที่บังคับเขา!”อินปู้อวี่รู้ว่าฝ่าบาทมีวรยุทธ์สูงส่ง สิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่เขาจะต้องได้ยินอยู่แล้ว เขาก้าวไปข้างหน้า และคุกเข่าลงต่อหน้าฝ่าบาทด้วยสีหน้าซีดเซียว“ฝ่าบาททรงพระปรีชา ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิงเลย เป็นกระหม่อมที่เพ้อฝันในตัวองค์หญิง คิดฝันในสิ่งที่ไม่สมควร ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวของกระหม่อมเพียงฝ่ายเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับองค์หญิง ไม่เกี่ยวกับฮองเฮา และยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอินเลย กระหม่อมยอมตายเพื่อชดใช้ความผิด ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาท หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับองค์หญิง โปรดอย่าส่งนางไปแต่งงานกับเจียงวูเลยพ่ะย่ะค่ะ!”อินปู้อวี่สะบัดนิ้ว กระบี่ที่เอวก็หลุดออกมาจากฝักเสียงดัง เขาถือกระบี่จ่อที่ลำคอตัวเอง ทว่าเหมือนถูกพลังที่มองไม่เห็นขัดขวางไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเข้าใกล้ผิวหนังของเขาได้เลยใบหน้าของเย่ไห่ถังซีดลงด้วยความหวาดกลัว กระโจมเข้าไปหาเขาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดปนสะอื้น
อินปู้อวี่ไม่กล้าสบตาคู่นั้นโดยตรง ก้มหน้าพูดว่า “กระหม่อมจะกล้าหัวเราะเยาะองค์หญิงได้อย่างไร กระหม่อมเป็นห่วงองค์หญิง ดังนั้น...จึงมาเยี่ยม”เย่ไห่ถังลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินไปหาเขาทีละก้าวถามด้วยดวงตาแดงก่ำ “ข้ากำลังจะไปจากวังหลวง จะไม่ได้รบกวนท่านอีกตลอดไป ท่านสมความปรารถนาแล้ว ยังต้องเป็นห่วงอะไรอีก”อินปู้อวี่ก้มศีรษะลง มองดูปลายรองเท้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่อย่างที่องค์หญิงคิด กระหม่อมไม่เคยคิดเลยว่าองค์หญิงจะไปแต่งงานเชื่อมไมตรี”เย่ไห่ถังยกมุมปากขึ้นอย่างเยาะเย้ยถากถาง“การแต่งงานเชื่อมไมตรีเพื่อเสริมสร้างอำนาจราชวงศ์ ทำให้ประชาชนมีความสุขสงบ เป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วไม่ใช่หรือ จะไม่เคยคิดได้อย่างไร ท่านเคยไปทำศึกที่เจียงวู คงรู้สถานการณ์ที่นั่นดี ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ฟ้าดินกว้างขวาง สำหรับข้าคงเป็นสิ่งที่ดีมาก”ทันใดนั้นอินปู้อวี่ก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย“ไม่ดี ที่นั่นไม่เหมาะกับองค์หญิงเลย ชาวเจียงวูส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในกระโจม อพยพตามฤดูกาล แม้แต่ตำหนักที่ประทับที่เป็นทางการก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ องค์หญิงสูงศักดิ์ล้ำค่า จะทนสิ่งนี้ได้อย่างไร”เย่ไห่ถังมองดู
ไม่ได้ เขาต้องไปพบกับเย่ไห่ถัง!อินปู้อวี่เปลี่ยนเป็นชุดพรางตัว ผลักเปิดหน้าต่างด้านข้าง กวาดสายตามองไปรอบๆ และร่างนั้นก็กระโดดออกจากพระที่นั่งเทียนเต๋ออย่างเงียบเชียบในเวลานี้ ตำหนักชิงฮว๋าได้ตกอยู่ในความโกลาหลหมอหลวงหลายคนช่วยกันตรวจชีพจร และในที่สุดก็สรุปได้ว่า องค์หญิงวิตกกังวลเกินเหตุ ไม่มีอะไรร้ายแรงอินชิงเสวียนเหลือบมองเย่จิ่งอวี้อย่างงอนๆ จากนั้นให้น้ำพุวิญญาณชงชามะนาวให้นางดื่มเย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ และพูดว่า “ในที่สุดน้องสาวของข้าก็โตขึ้นแล้ว รู้จักจะคิดแทนข้า แม้ว่าเจียงวูจะเป็นสถานที่เล็กๆ แต่ก็มีชนเผ่าอยู่ใกล้ๆ มากมาย เมื่อราชาเผ่ามีเจตนาเป็นกบฏ แล้วร่วมมือกัน นั่นจะเป็นขุมพลังที่ไม่อาจมองข้ามได้ เจ้าไปแต่งงานเชื่อมไมตรีในฐานะองค์หญิง ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาของสวรรค์เท่านั้น แต่ยังทำให้จิตใจของชาวเจียงวูมั่นคงอีกด้วย เจ้าก็ถึงวัยที่จะแต่งงานพอดี ราชาเผ่าอายุมากกว่าเจ้าไปบ้าง ย่อมรักและทะนุถนอมเจ้าอย่างดีอยู่แล้ว ข้าออกคำสั่งให้เขาแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล”เย่ไห่ถังหน้าซีด นั่งฟังอยู่เงียบๆ ดวงตาว่างเปล่าอินชิงเสวียนทนไม่ไหว ตะโกนออกมาด้ว
อินปู้อวี่ตกตะลึงจนหน้าเผือดสีเขาอ่านจดหมายลับกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง คำต่อคำ บรรทัดต่อบรรทัด ไม่ผิด ฝ่าบาททรงหมายความตามนี้จริงๆปลายนิ้วสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ พระราชโองการร่วงหล่นลงกับพื้น“ผู้บัญชาการ เกิดอะไรขึ้นขอรับ”รองแม่ทัพยืนอยู่ข้างๆ กำลังคิดจะหยิบพระราชโองการขึ้นมาดูอินปู้อวี่ยื่นมือออกไปห้ามเขา สีหน้ามืดลง“ถอยออกไป”รองแม่ทัพไม่กล้าพูดอะไร โค้งคำนับและถอยออกไปนอกพระที่นั่ง ทว่าในใจกลับเอาแต่คิดว่าเกิดอะไรขึ้นฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลอินมากเพียงใดนั้น เจ้าหน้าที่ขุนนางทุกคนในเมืองหลวงล้วนรู้ดี เหตุใดผู้บังคับบัญชาจึงมีสีหน้าหวาดกลัว ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้?เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่นานแต่ก็คิดไม่เข้าใจ จึงนำทหารออกไปลาดตระเวนอินปู้อวี่ยืนนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่จะหยิบพระราชโองการขึ้นมา ดึงตะบันไฟออกมา และเริ่มเผามันด้วยสีหน้าด้านชาดังที่เย่จิ่งอวี้พูด เขาเข้าใจทุกอย่าง และรู้ทุกอย่างเขามีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อม หัวสมองก็ไม่ฉลาดพอ ไม่เฉลียวฉลาดเหมือนพี่ใหญ่ และไม่ชอบทำตัวเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนหัวช้าเรื่องความรัก แต่เ