Home / รักโบราณ / สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ / บทที่ 12 ฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ไหน?

Share

บทที่ 12 ฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ไหน?

Author: ม่อเยี่ยน
อินชิงเสวียนกลับไปถึงวังแล้ว

แม้ว่าเธอจะเป็นจอมหลงทาง แต่ขอแค่ท่องไว้ว่าเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็ยังสามารถกลับถึงได้อย่างสบายๆ

อวิ๋นฉ่ายเฝ้ารออยู่ที่รูกำแพง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคลานเข้ามา เธอก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเจ้านาย

"พระสนม ราบรื่นไหมเพคะ?"

อินชิงเสวียนยืดตัวตรง

"แม้ว่าจะมีติดขัดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าราบรื่น"

อย่างแย่ก็แค่สูญเสียคะแนนสะสมไปนิดหน่อย แต่ก็ย่อมดีกว่าโดนเจ้าชาติชั่วสองคนนั้นโกง

"ยายหลี่หลับแล้วหรือ?"

อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบา "กำลังกล่อมองค์ชายน้อยอยู่ คงใกล้นอนแล้วเช่นกันเพคะ"

"เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ อย่ารบกวนพวกเขาเลย"

อวิ๋นฉ่ายรับคำ แล้วพยุงอินชิงเสวียนเข้าไปในเรือน

เมื่อเธอเข้าไปดูในช่องว่าง ก็อดดีใจไม่ได้ ในที่สุดพืชผักก็ออกดอกแล้ว ถ้านับเวลาตามนี้ละก็ ประมาณสักสามสี่วันก็คงจะติดผล

แม้ว่าจะไม่ทันใจเหมือนตอนมือใหม่ แต่ได้เก็บเกี่ยวทุกครึ่งเดือน เธอก็ยังรับได้

พอหลับตา เธอก็นึกถึงทหารที่พบวันนี้อีก

ที่อินชิงเสวียนดึงดันจะไปหาเขา ก็ไม่ได้เพียงเพื่อขายของเท่านั้น แต่เธออยากผูกสัมพันธ์อื่นกับเขาไว้ด้วย

สองพี่น้องตระกูลหวังถ้ามีความสามารถก็คงไม่ต้องมาทำงานที่วังเย็น ดังนั้นเธอจึงต้องหาคนที่เหมาะสมกว่าให้ได้

ทหารคนนั้นดูท่าทีไม่ธรรมดา ดีไม่ดีอาจจะเป็นผู้บัญชาก็ได้ หรือถ้าแย่กว่านั้นก็เป็นรองผู้บัญชา ถ้าสามารถเชื่อมสัมพันธ์นี้ได้ บางทีอาจจะทำให้เธอออกจากวังได้เร็วยิ่งขึ้น

ยิ่งคิดอินชิงเสวียนก็ยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เธอกลิ้งไปกลิ้งมากระทั่งกลางดึกถึงค่อยๆ เคลิ้มหลับไป

วันรุ่งขึ้น

ตำหนักจินหลวน

ฮ่องเต้ว่าราชการยามเช้า เหล่าขุนนางก้มถวายบังคม

เย่จิ่งอวี้นั่งตัวตรงผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาเรียวกว้านมองเหล่าขุนนางด้วยสายตาราบเรียบ

"ยืนตัวตรงเถิด"

"หมื่นปีหมื่นปีหมื่นๆ ปี!"

เหล่าขุนนางน้อมขอบพระทัย แล้วยกชายเสื้อเดินแยกออกเป็นสองฝั่ง

เสนาบดีกรมพระคลังเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง "เมื่อวานกระหม่อได้นำคนไปแจกจ่ายอาหารให้ราษฎรที่วัดฮว้าอัน เมื่อราษฎรทราบว่าทรงเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า "ทำได้ดี บอกพวกเขาว่าไม่ต้องขอบคุณ ราษฎรใต้หล้านี้ล้วนเป็นบุตรหลานของข้า พวกเขายากลำบาก ข้าก็ไม่สบายใจเช่นกัน"

เสนาบดีกรมพระคลังคุกเข่าลงบนพื้นทันที

"ใต้หล้ามีกษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาเฉกเช่นฝ่าบาท นับเป็นบุญเหลือล้นของพสกนิกรและทั่วหล้าพ่ะย่ะค่ะ"

เหล่าขุนนางต่างก็เห็นด้วยทันที

เย่จิ่งอวี้ปัดมือด พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คำพูดไร้สาระเช่นนี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าอยากรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกันแน่ถึงจะแก้ปัญหาภัยแล้งครั้งนี้ได้"

เสนาบดีกรมโยธารีบเดินขึ้นหน้าและพูดว่า "เมื่อวานนี้กระหม่อมได้รับสานส์ด่วนจากแปดร้อยลี้ว่าบัดนี้บริเวณก้านหนานได้ขุดพบน้ำบาดาลนับร้อยบ่อ และโดยปกติแล้วที่นั่นสามารถเพาะปลูกข้าวฟ่างได้สองฤดู คาดว่าน่าจะไม่ได้รับความเสียหายมากพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อได้ยินดังนั้น เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย

"ในเมื่อได้ผล ก็ให้เมืองอื่นๆ เอาเป็นแบบอย่างทำตามโดยเร็ว ต้องรับประกันผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้"

เสนาบดีกรมโยธาโค้งตัวแล้วพูดว่า "กระหม่อมได้ส่งจดหมายไปแล้ว คาดว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็จะส่งไปถึงมือของจวิ้นอ๋องแต่ละมณฑลแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

เพิ่งพูดจบ ก็มีคนผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งเข้ามา เขาคุกเข่าเสียงดังตึ้ง เอาหัวโขกพื้นและพูดว่า "ฝ่าบาท กระหม่อมได้ทำการทำนายมาหลายวันหลายคืนแล้ว และในที่สุดก็ได้คำตอบ ฝนฟ้าคะนองในตอนนั้นเป็นเพราะมีผู้อุปถัมภ์ถือกำเนิดมาจริงๆ หากฝ่าบาทสามารถรับเเลี้ยงไว้ข้างกาย จะช่วยค้ำชูให้บ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรืองพ่ะย่ะค่ะ"

แววตาเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นลง พูดอย่างไม่พอใจว่า "ข้าสั่งให้เจ้าคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังตั้งหลายวัน ที่เจ้าคิดได้ก็คือสิ่งเหล่านี้งั้นหรือ?"

คนที่มาก็คือโหราจารย์ที่ถูกสั่งให้คุกเข่าไปหลายวัน

เขาโขกหัวกับพื้นไม่หยุด "กระหม่อมมิกล้ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า นี่เป็นผลลัพธ์ที่กระหม่อมทำนายออกมาได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ"

สีหน้าเย่จิ่งอวี้อึมครึม พูดเย้ยหยันว่า "หากลำพังแค่เด็กน้อยๆ คนเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาบ้านเมืองได้ แล้วข้าจะต้องมีขุนนางอำมาตย์อย่างพวกเจ้าไว้ทำไมกัน แค่ข้ารับเลี้ยงเด็กจากที่ต่างๆ หลายๆ คน ข้าก็จะมีได้ทุกอย่างแล้วไม่ใช่รึ?"

โหราจารย์อ้าปาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาใช้เวลาหลายวัน และทุ่มสุดความตั้งใจทำนายออกมาได้จริงๆ แต่ฝ่าบาทไม่เชื่อ เขาก็จนปัญญาเช่นกัน

เมื่อเห็นโหราจารย์ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงราวกับขอทาน น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนเบาลง

"ข้าเห็นแก่ความภักดีและความทุ่มเทของเจ้าที่มีต่อราชสำนัก จะไม่ถือสาเอาความในเรื่องนี้อีก กลับไปยืนตำแหน่งของเจ้าเถอะ"

เมื่อเห็นฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี เหล่าขุนนางต่างก็ไม่กล้าพูดมาก

เย่จิ่งอวี้รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่มีใครพูด จึงลุกขึ้นยืน

ขณะที่กำลังจะสั่งให้เลิกประชุม ทันใดนั้นเขาก็นึกเรื่องบ้างอย่างขึ้นมาได้

จึงเอ่ยปากถาม "พวกเจ้ามีใครรู้หรือไม่ว่าฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ใด?"

เหล่าขุนนางหันหน้ามองซึ่งกันและกัน แล้วก็พากันส่ายหัว

พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

เย่จิ่งอวี้ยกมือโบกปัด "ช่างเถอะ เลิกประชุม"

เมื่อออกจากตำหนักจินหลวน เขาก็เห็นหลี่เต๋อฝูที่ยืนรออยู่หน้าประตูทันที

"ฝ่าบาท"

หลี่เต๋อฝูเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า และยื่นมือพยุงเย่จิ่งอวี้ไว้

"เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?"

หลี่เต๋อฝูหลับตาแล้วพูดว่า "บ่าวติดตามดูท่านไป๋เสวี่ยมาหลายวัน และวิ่งจนขาแทบหักแล้ว แต่ก็ไม่เห็นท่านไป๋เสวี่ยเข้าหาผู้ใดเลย ตอนนี้มันกำลังนอน บ่าวจึงหาจังหวะครู่หนึ่งออกมารับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูอายุอานามไม่น้อยแล้ว การให้เขาไปวิ่งไล่สุนัขตัวใหญ่ที่มีพลังเหลือล้น มันก็เป็นเรื่องที่ลำบากเขาจริงๆ

จึงพูดขึ้นว่า "เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนคล่องแคล่วสองคน"

หลี่เต๋อฝูซาบซึ้งใจจนคุกเข่าลงในทันที

"ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

เขามองหลี่เต๋อฝู ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็คิดถึงขันทีหนุ่มเมื่อคืนนี้

นึกถึงตอนที่เขาเรียกตนเองว่าท่านพี่ทหารด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ รอยยิ้มก็ฉายแววอยุ่ในนัยย์ตานิ่งลึก

ในวังเต็มไปด้วยคนประจบสอพลอ ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน การได้พบกับขันทีน้อยที่ไม่รู้จักตนเองเป็นเรื่องที่สนุกดีเหมือนกัน

ช่างเถอะ ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะจริงหรือเท็จ เห็นแก่ที่เขาถูกตนเองทุ่มลงพื้น ครั้งนี้จะยอมช่วยเขาสักครั้งแล้วกัน

"ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องอื่นจะถามเจ้า"

หลี่เต๋อฝูพยุงเย่จิ่งอวี้ด้วยความระมัดระวัง เขาโค้งตัวแล้วพูดว่า "ฝ่าบาทเชิญตรัสพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้จึงพูดว่า "หญิงงามที่เข้าวังมาช่วงนี้ เจ้ารู้ไหมว่ามีใครที่ฐานะครอบครัวดีบ้าง?"

หลี่เต๋อฝูรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ฝ่าบาทถึงถามเรื่องนี้

แต่เขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ผู้ที่เข้าวังได้ล้วนแต่เป็นบุตรีของเหล่าขุนนาง ฐานะถือว่ามั่นคงพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้สะบัดชายเสื้อแล้วเดินเข้าห้องหนังสือ และชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ "เช่นนั้นก็เอาของเหล่านี้ไปขายพวกนาง อย่างละหนึ่งพันตำลึง"

หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามามอง แล้วก็ต้องตะลึง

กระจกบานนี้ส่องเห็นหน้าตาได้ชัดมาก มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่ากระจกทองแดงเป็นร้อยเท่า น้ำหอมนั้นยิ่งกว่า กลิ่นหอมติดจมูก แม้แต่ขวดก็ยังปราณีตไร้ที่ติ

ผงชาดอันนั้นไม่ใช่แค่สีสวยเท่านั้น ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย เขาหันมองไปฮ่องเต้ด้วยความตกตะลึง

"เอ่อ..."

เย่จิ่งอวี้ปั้นหน้าขรึม "อย่าถามที่มาของของเหล่านี้ เจ้าแค่เอาไปขายก็พอ"

"พ่ะย่ะค่ะ ของดีๆ เช่นนี้ ขายหนึ่งพันตำลึงได้ไม่มีปัญหาเลยพ่ะย่ะค่ะ"

ขณะที่หลี่เต๋อฝูกำลังจะเก็บของใส่กระเป๋า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องประดับกระทบกรุ้งกริ้งดังขึ้น

ลู่จิ้งเสียนเดินเข้ามาจากข้างนอกโดยมีคนพยุง

"หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลุกขึ้นเถิด ไม่ทราบว่าเสียนเฟยมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?"

ลู่จิ้งเสียนยิ้มแล้วพูดว่า "หม่อมฉันได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับงานราชสำนักมากจนละเลยการดูแลตนเอง จึงได้ทำขนมกุ้ยฮวามาให้ฝ่าบาทโดยเฉพาะเพคะ"

ขณะที่พูด เธอเหลือบไปเห็นกระจกที่อยู่บนโต๊ะ จึงถามด้วยความตะลึงปนประหลาดใจ "ฝ่าบาท นั่นคืออะไรหรือเพคะ?"
Comments (1)
goodnovel comment avatar
Aera Park
ฝ่าบาทจำหน้าพระสนมในตำหนักเย็นไม่ได้หรือ
VIEW ALL COMMENTS

Related chapters

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 13 อย่างละหนึ่งพันตำลึง

    เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มันคือสิ่งของของฮว๋าเซี่ย หากเสียนเฟยชอบ ก็มาดูก่อน"ลู่จิ้งเสียนนึกว่าเย่จิ่งอวี้จะมอบของพวกนี้ให้เธอ เธอจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้น"นี่คือกระจกงั้นหรือ ส่องชัดมากเลยเพคะ"จากนั้นก็หยิบลิปสติก ถามด้วยความตะลึง "แล้วนี่คืออะไรหรือเพคะ?"เย่จิ่งอวี้ขี้เกียจพูดกับเธอ เขาส่งสายตาไปให้หลี่เต๋อฝูหลี่เต๋อฝูจึงรีบโค้งตัวแล้วแนะนำ "นี่เรียกว่าลิปสติก ใช้แทนผงชาดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนี้คือน้ำหอม ทาแล้วจะมีกลิ่นหอมแตะจมูก กลิ่นจะคงอยู่นาน ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเขาเปิดฝาขวดน้ำหอมออก ลู่จิ้งเสียนก็ได้กลิ่นหอมในทันที และอดตาลุกววาวไม่ได้"ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันชอบทุกอย่างเพคะ"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ภายในแฝงแววเย้ยหยันและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "อย่างละหนึ่งพันตำลึง"ลู่จิ้งเสียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความตะลึงงัน"เอ่อ...ฝ่าบาทจะทรงขายของเหล่านี้ให้หม่อมฉันรึเพคะ?"เย่จิ่งอวี้พูดด้วยใบหน้าเฉยชาว่า "ตอนนี้ผู้คนอดอยากล้นบ้านเมือง ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน ข้าจะให้เสียนเฟยนำเงินเล็กน้อยมาช่วยเหลือเหล่าพสกนิก

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 14 นี่เป็นค่าตอบแทนของเจ้า

    เดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงถนนยาวหน้าตำหนักฉงหวู่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเดินมาไม่หลงทาง ดูท่าเดินถูกทางก็มีข้อดีเหมือนกันพอเดินมาถึงปากทาง อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และกังวลเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมาหน้าประตูตำหนักฉงหวู่เงาสูงโปร่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างทางแสงจันทร์ยามค่ำคืนยิ่งทำให้เงาของเขายืดยาวมากขึ้นผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้เขามองไปไกล และคิ้วขมวดเล็กน้อยพลางคิดใจในว่าควรพบกับบ่าวคนนี้รึไม่บางทีอาจเป็นเพราะบ่าวคนนี้ไม่รู้จักตนเอง จึงทำให้เย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกแปลกใหม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะการที่เขาไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน กล้าทำการค้าขายซึ่งๆ หน้าตัวเองก็ได้แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกกันผู้ติดตามออก และมาที่นี่คนเดียวเขามองดูพระจันทร์อีกครั้ง ตอนนี้เวลาสามทุ่มแล้วในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ได้ปะปนแววหงุดหงิดเล็กน้อยเจ้าสุนัขรับใช้ ใจกล้าจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ขณะที่กำลังจะหันหลังเข้าตำหนักฉงหวู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า "ท่านพี่ทหาร ใช่เจ้าไหม?"เย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนที่กำลังหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าเหมือนโจรในทัน

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 15 เสริมแคลเซียม

    อวิ๋นฉ่ายเบะปาก"สองพี่น้องตระกูลหวังอีกแล้วแน่เลย พวกเราอย่าสนใจพวกเขาอีกเลยเพคะ"ยายหลี่พูดว่า "ต่อให้เราไม่ให้ของพวกเขา เราก็ไม่ควรจะปฏิเสธด้วยวิธีนี้ โบราณว่าไว้ลูกน้องเบี้ยล่างรับมือยากกว่าหัวหน้า ถ้าเราทำให้พวกเขาโกรธ แล้วเที่ยวออกไปพูดจาเลอะเทอะ จะเกิดปัญหากับวังเย็นของเราได้"อินชิงเสวียนคิดไปคิดมา เธอก็รู้สึกเช่นกันว่าที่ยายหลี่พูดมีเหตุผล"เช่นนั้นก็ไปรับมือกับพวกเขาหน่อย""พระสนมวางใจ บ่าวทราบว่าควรจะพูดอย่างไรเพคะ"ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยให้อินชิงเสวียน แล้วก็เดินไปที่ประตูวังพี่น้องตระกูลหวังเคยได้กินกำไร จึงไม่แปลกที่จะเฝ้ารอเฝ้าถาม แต่ทว่าเวลาก็ล่วงเลยไปสามสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ของ จึงอดร้อนใจไม่ได้ยายหลี่เดินไปถึงตรงประตู"ช่วงนี้เราไม่มีสินค้า รออีกสักระยะก็แล้วกัน"หวังเอ้อร์หวู่หัวเราะในลำคอ "ที่จริงจะเอาแบบนี้ก็ได้ ยายบอกต้นทางสินค้ากับพวกเรา เดี๋ยวพวกเราไปซื้อกันเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเอาเงินมาให้พวกเจ้า แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ?"ยายหลี่แค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สารเลวสองคนนี้ช่างโลภมากจริงๆ พอบรรลุเป้าหมายแล้วก็คิดจะถีบหัวส่งแต่เธอกลับยิ้มและพูดว่า "เรื่อง

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 16 ใครรังแกเจ้า?

    หอฉงฮวาเจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนาเข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลยวิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลยจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรและเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้าซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอกเหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออกเมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 17 ผันน้ำจากใต้สู่เหนือ

    อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตาเธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?""เอ่อ..."อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?""เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าใน

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 18 หูตาอยู่รอบตัว

    จนกระทั่งเงาของอินชิงเสวียนหายลับไป เย่จิ่งอวี้ถึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องหนังสือหลี่เต๋อฝูกำลังชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความกังวลใจพักนี้อยู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ตนเองคอยติดตาม หรือว่าพระองค์จะยังโกรธตนเองเรื่องไป๋เสวี่ยอยู่?แต่ตนเองวิ่งไล่ไป๋เสวี่ยไม่ไหวจริงๆ นี่นา!และพอคิดว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ขันทีคนอื่นติดตามไปด้วย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหนกันแน่?และก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะพลิกป้ายของสนมคนใดเลย และเนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาถูกไทเฮาเรียกไปต่อว่าอยู่หลายครั้งมีฮ่องเต้ที่ไหนขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีแล้วยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับสนมคนใดเลย?หรือว่า...ฝ่าบาททรงประชวร?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินมาแต่ไกลๆ ในมือยังถือห่อกระดาษไขมาด้วยหลี่เต๋อฝูจึงรีบวิ่งไปรับทันที"ฝ่าบาท พระองค์เสด็จกลับมาเสียที บ่าวร้อนใจจะแย่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ยัดห่อกระดาษไขไปไว้ในมือของเขา"ตรวจดูสิว่าสิ่งนี้มีพิษไหม?""นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"หลี่เต๋อฝูคลี่กระดาษออก เห็นเพียงสิ่งของที่มีรูปร่างอ้วนๆ กลมๆ นอนอยู่ข้างใน หน้าตาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเย่จิ่งอวี

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 19 ยิ่งเหมือนฝ่าบาทขึ้นทุกวัน

    ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า "สงสารก็แต่คนแซ่อินนั่น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีรับสั่งให้แต่งงานเข้าจวนรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทก็ได้ครองบัลลังก์แล้ว แต่นางกลับถูกขับให้ไปอยู่ที่วังเย็นแทน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้เลยจริงๆ"เมื่อพูดจบ ไทเฮาก็วางตะเกียบในมือลง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องลู่จิ้งเสียนเห็นดังนั้นก็รีบถกกระโปรงแล้วเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า "มีสิ่งใดให้สงสารกันเพคะ หากว่าอินชิงเสวียนชอบอันผิงอ๋องจริง ก็ควรที่จะต่อต้านพระราชโองการจนถึงที่สุด นางไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด หากคนที่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคือหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็คงจะไม่เย็นชาต่อวังหลังเช่นทุกวันนี้"ไทเฮาตรัสตอบอย่างไม่พอพระทัยว่า "ตอนนั้นสถานการณ์มันไม่ชัดเจน จะให้ข้าเห็นด้วยได้อย่างไร หากว่าองค์รัชทายาทเสียอำนาจขึ้นมา เจ้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ตอนนี้เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก"เมื่อเห็นสีหน้าทะมึนทึงของไทเฮา ลู่จิ้งเสียนก็รีบร้อนคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัยทันที"ไทเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่พอใจ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 20 น่าเสียดาย

    พูดยังไม่ทันจบดี นางก็ต้องรีบปิดปากแล้วหันไปมองยังอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนยักไหล่ให้เหมือนไม่ใส่ใจอะไร จะคล้ายใครเหมือนใคร ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ก็เธอไม่ใช่แม่นิแต่ว่าถ้าฝ่าบาทหน้าตาแบบนี้จริง ก็ออกจะดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหน่อยหรือเปล่า!หน้าแบบนี้จะเอาอะไรไปสยบพวกขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหลายล่ะ?เมื่ออินชิงเสวียนจินตนาการไปถึงเจ้าหมาน้อยตอนโต ก็รู้สึกแอบขนลุกหน่อยๆเจ้าหมาน้อยยังคิดว่าอินชิงเสวียนแกล้งเขาเล่น จึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมายายหลี่รีบพูดต่อว่า "องค์ชายน้อยไม่ได้เห็นหน้าพระสนมมาหลายวันแล้ว จะต้องคิดถึงมากแน่ๆ พระสนมรีบเข้าไปอุ้มองค์ชายสักหน่อยเถิดเพคะ"ยายหลี่กลัวว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบเด็ก ถึงแม้ฝ่าบาทจะเลวร้ายเพียงไร แต่เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของพระสนมเอง หากว่าแม่แท้ๆ เองยังไม่รัก ก็คงจะน่าสงสารมากอินชิงเสวียนยื่นมือออกไปข้างหน้าทันที ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมอุ้ม ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบเด็ก แต่ว่าเด็กน้อยยังตัวเล็กมากๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอุ้มยังไง แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านั้นก็ย่อมหายไปเจ้าหมาน้อยใช้มือเล็กๆ กอดท

Latest chapter

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1540 สองพระองค์ครองราชย์ จบบริบูรณ์

    ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1539 เสวียนเอ๋อร์ขอบคุณเจ้านะ

    ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1538 ไท่เฟยไท่ผินออกจากวัง

    อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1537 ฮองเฮาทรงมีพระประสูติการ

    เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1536 องค์หญิงกำลังจะเสกสมรส

    ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1535 เหลวไหลจริงๆ

    เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1534 ท่านพี่ช่วยข้าได้ไหม

    “ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1533 เจ้าน่ะ ยังมีนิสัยดื้อรั้นเหมือนเดิม

    “ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1532 คืนชีวิตให้ท่านแล้วจะเป็นไร

    “เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status