เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มันคือสิ่งของของฮว๋าเซี่ย หากเสียนเฟยชอบ ก็มาดูก่อน"ลู่จิ้งเสียนนึกว่าเย่จิ่งอวี้จะมอบของพวกนี้ให้เธอ เธอจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้น"นี่คือกระจกงั้นหรือ ส่องชัดมากเลยเพคะ"จากนั้นก็หยิบลิปสติก ถามด้วยความตะลึง "แล้วนี่คืออะไรหรือเพคะ?"เย่จิ่งอวี้ขี้เกียจพูดกับเธอ เขาส่งสายตาไปให้หลี่เต๋อฝูหลี่เต๋อฝูจึงรีบโค้งตัวแล้วแนะนำ "นี่เรียกว่าลิปสติก ใช้แทนผงชาดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนี้คือน้ำหอม ทาแล้วจะมีกลิ่นหอมแตะจมูก กลิ่นจะคงอยู่นาน ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเขาเปิดฝาขวดน้ำหอมออก ลู่จิ้งเสียนก็ได้กลิ่นหอมในทันที และอดตาลุกววาวไม่ได้"ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันชอบทุกอย่างเพคะ"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ภายในแฝงแววเย้ยหยันและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "อย่างละหนึ่งพันตำลึง"ลู่จิ้งเสียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความตะลึงงัน"เอ่อ...ฝ่าบาทจะทรงขายของเหล่านี้ให้หม่อมฉันรึเพคะ?"เย่จิ่งอวี้พูดด้วยใบหน้าเฉยชาว่า "ตอนนี้ผู้คนอดอยากล้นบ้านเมือง ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน ข้าจะให้เสียนเฟยนำเงินเล็กน้อยมาช่วยเหลือเหล่าพสกนิก
เดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงถนนยาวหน้าตำหนักฉงหวู่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเดินมาไม่หลงทาง ดูท่าเดินถูกทางก็มีข้อดีเหมือนกันพอเดินมาถึงปากทาง อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และกังวลเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมาหน้าประตูตำหนักฉงหวู่เงาสูงโปร่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างทางแสงจันทร์ยามค่ำคืนยิ่งทำให้เงาของเขายืดยาวมากขึ้นผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้เขามองไปไกล และคิ้วขมวดเล็กน้อยพลางคิดใจในว่าควรพบกับบ่าวคนนี้รึไม่บางทีอาจเป็นเพราะบ่าวคนนี้ไม่รู้จักตนเอง จึงทำให้เย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกแปลกใหม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะการที่เขาไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน กล้าทำการค้าขายซึ่งๆ หน้าตัวเองก็ได้แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกกันผู้ติดตามออก และมาที่นี่คนเดียวเขามองดูพระจันทร์อีกครั้ง ตอนนี้เวลาสามทุ่มแล้วในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ได้ปะปนแววหงุดหงิดเล็กน้อยเจ้าสุนัขรับใช้ ใจกล้าจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ขณะที่กำลังจะหันหลังเข้าตำหนักฉงหวู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า "ท่านพี่ทหาร ใช่เจ้าไหม?"เย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนที่กำลังหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าเหมือนโจรในทัน
อวิ๋นฉ่ายเบะปาก"สองพี่น้องตระกูลหวังอีกแล้วแน่เลย พวกเราอย่าสนใจพวกเขาอีกเลยเพคะ"ยายหลี่พูดว่า "ต่อให้เราไม่ให้ของพวกเขา เราก็ไม่ควรจะปฏิเสธด้วยวิธีนี้ โบราณว่าไว้ลูกน้องเบี้ยล่างรับมือยากกว่าหัวหน้า ถ้าเราทำให้พวกเขาโกรธ แล้วเที่ยวออกไปพูดจาเลอะเทอะ จะเกิดปัญหากับวังเย็นของเราได้"อินชิงเสวียนคิดไปคิดมา เธอก็รู้สึกเช่นกันว่าที่ยายหลี่พูดมีเหตุผล"เช่นนั้นก็ไปรับมือกับพวกเขาหน่อย""พระสนมวางใจ บ่าวทราบว่าควรจะพูดอย่างไรเพคะ"ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยให้อินชิงเสวียน แล้วก็เดินไปที่ประตูวังพี่น้องตระกูลหวังเคยได้กินกำไร จึงไม่แปลกที่จะเฝ้ารอเฝ้าถาม แต่ทว่าเวลาก็ล่วงเลยไปสามสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ของ จึงอดร้อนใจไม่ได้ยายหลี่เดินไปถึงตรงประตู"ช่วงนี้เราไม่มีสินค้า รออีกสักระยะก็แล้วกัน"หวังเอ้อร์หวู่หัวเราะในลำคอ "ที่จริงจะเอาแบบนี้ก็ได้ ยายบอกต้นทางสินค้ากับพวกเรา เดี๋ยวพวกเราไปซื้อกันเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเอาเงินมาให้พวกเจ้า แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ?"ยายหลี่แค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สารเลวสองคนนี้ช่างโลภมากจริงๆ พอบรรลุเป้าหมายแล้วก็คิดจะถีบหัวส่งแต่เธอกลับยิ้มและพูดว่า "เรื่อง
หอฉงฮวาเจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนาเข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลยวิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลยจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรและเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้าซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอกเหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออกเมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแ
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตาเธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?""เอ่อ..."อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?""เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าใน
จนกระทั่งเงาของอินชิงเสวียนหายลับไป เย่จิ่งอวี้ถึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องหนังสือหลี่เต๋อฝูกำลังชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความกังวลใจพักนี้อยู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ตนเองคอยติดตาม หรือว่าพระองค์จะยังโกรธตนเองเรื่องไป๋เสวี่ยอยู่?แต่ตนเองวิ่งไล่ไป๋เสวี่ยไม่ไหวจริงๆ นี่นา!และพอคิดว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ขันทีคนอื่นติดตามไปด้วย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหนกันแน่?และก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะพลิกป้ายของสนมคนใดเลย และเนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาถูกไทเฮาเรียกไปต่อว่าอยู่หลายครั้งมีฮ่องเต้ที่ไหนขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีแล้วยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับสนมคนใดเลย?หรือว่า...ฝ่าบาททรงประชวร?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินมาแต่ไกลๆ ในมือยังถือห่อกระดาษไขมาด้วยหลี่เต๋อฝูจึงรีบวิ่งไปรับทันที"ฝ่าบาท พระองค์เสด็จกลับมาเสียที บ่าวร้อนใจจะแย่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ยัดห่อกระดาษไขไปไว้ในมือของเขา"ตรวจดูสิว่าสิ่งนี้มีพิษไหม?""นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"หลี่เต๋อฝูคลี่กระดาษออก เห็นเพียงสิ่งของที่มีรูปร่างอ้วนๆ กลมๆ นอนอยู่ข้างใน หน้าตาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเย่จิ่งอวี
ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า "สงสารก็แต่คนแซ่อินนั่น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีรับสั่งให้แต่งงานเข้าจวนรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทก็ได้ครองบัลลังก์แล้ว แต่นางกลับถูกขับให้ไปอยู่ที่วังเย็นแทน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้เลยจริงๆ"เมื่อพูดจบ ไทเฮาก็วางตะเกียบในมือลง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องลู่จิ้งเสียนเห็นดังนั้นก็รีบถกกระโปรงแล้วเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า "มีสิ่งใดให้สงสารกันเพคะ หากว่าอินชิงเสวียนชอบอันผิงอ๋องจริง ก็ควรที่จะต่อต้านพระราชโองการจนถึงที่สุด นางไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด หากคนที่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคือหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็คงจะไม่เย็นชาต่อวังหลังเช่นทุกวันนี้"ไทเฮาตรัสตอบอย่างไม่พอพระทัยว่า "ตอนนั้นสถานการณ์มันไม่ชัดเจน จะให้ข้าเห็นด้วยได้อย่างไร หากว่าองค์รัชทายาทเสียอำนาจขึ้นมา เจ้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ตอนนี้เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก"เมื่อเห็นสีหน้าทะมึนทึงของไทเฮา ลู่จิ้งเสียนก็รีบร้อนคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัยทันที"ไทเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่พอใจ
พูดยังไม่ทันจบดี นางก็ต้องรีบปิดปากแล้วหันไปมองยังอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนยักไหล่ให้เหมือนไม่ใส่ใจอะไร จะคล้ายใครเหมือนใคร ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ก็เธอไม่ใช่แม่นิแต่ว่าถ้าฝ่าบาทหน้าตาแบบนี้จริง ก็ออกจะดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหน่อยหรือเปล่า!หน้าแบบนี้จะเอาอะไรไปสยบพวกขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหลายล่ะ?เมื่ออินชิงเสวียนจินตนาการไปถึงเจ้าหมาน้อยตอนโต ก็รู้สึกแอบขนลุกหน่อยๆเจ้าหมาน้อยยังคิดว่าอินชิงเสวียนแกล้งเขาเล่น จึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมายายหลี่รีบพูดต่อว่า "องค์ชายน้อยไม่ได้เห็นหน้าพระสนมมาหลายวันแล้ว จะต้องคิดถึงมากแน่ๆ พระสนมรีบเข้าไปอุ้มองค์ชายสักหน่อยเถิดเพคะ"ยายหลี่กลัวว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบเด็ก ถึงแม้ฝ่าบาทจะเลวร้ายเพียงไร แต่เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของพระสนมเอง หากว่าแม่แท้ๆ เองยังไม่รัก ก็คงจะน่าสงสารมากอินชิงเสวียนยื่นมือออกไปข้างหน้าทันที ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมอุ้ม ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบเด็ก แต่ว่าเด็กน้อยยังตัวเล็กมากๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอุ้มยังไง แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านั้นก็ย่อมหายไปเจ้าหมาน้อยใช้มือเล็กๆ กอดท