แชร์

บทที่ 12 ฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ไหน?

อินชิงเสวียนกลับไปถึงวังแล้ว

แม้ว่าเธอจะเป็นจอมหลงทาง แต่ขอแค่ท่องไว้ว่าเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็ยังสามารถกลับถึงได้อย่างสบายๆ

อวิ๋นฉ่ายเฝ้ารออยู่ที่รูกำแพง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคลานเข้ามา เธอก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเจ้านาย

"พระสนม ราบรื่นไหมเพคะ?"

อินชิงเสวียนยืดตัวตรง

"แม้ว่าจะมีติดขัดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าราบรื่น"

อย่างแย่ก็แค่สูญเสียคะแนนสะสมไปนิดหน่อย แต่ก็ย่อมดีกว่าโดนเจ้าชาติชั่วสองคนนั้นโกง

"ยายหลี่หลับแล้วหรือ?"

อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบา "กำลังกล่อมองค์ชายน้อยอยู่ คงใกล้นอนแล้วเช่นกันเพคะ"

"เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ อย่ารบกวนพวกเขาเลย"

อวิ๋นฉ่ายรับคำ แล้วพยุงอินชิงเสวียนเข้าไปในเรือน

เมื่อเธอเข้าไปดูในช่องว่าง ก็อดดีใจไม่ได้ ในที่สุดพืชผักก็ออกดอกแล้ว ถ้านับเวลาตามนี้ละก็ ประมาณสักสามสี่วันก็คงจะติดผล

แม้ว่าจะไม่ทันใจเหมือนตอนมือใหม่ แต่ได้เก็บเกี่ยวทุกครึ่งเดือน เธอก็ยังรับได้

พอหลับตา เธอก็นึกถึงทหารที่พบวันนี้อีก

ที่อินชิงเสวียนดึงดันจะไปหาเขา ก็ไม่ได้เพียงเพื่อขายของเท่านั้น แต่เธออยากผูกสัมพันธ์อื่นกับเขาไว้ด้วย

สองพี่น้องตระกูลหวังถ้ามีความสามารถก็คงไม่ต้องมาทำงานที่วังเย็น ดังนั้นเธอจึงต้องหาคนที่เหมาะสมกว่าให้ได้

ทหารคนนั้นดูท่าทีไม่ธรรมดา ดีไม่ดีอาจจะเป็นผู้บัญชาก็ได้ หรือถ้าแย่กว่านั้นก็เป็นรองผู้บัญชา ถ้าสามารถเชื่อมสัมพันธ์นี้ได้ บางทีอาจจะทำให้เธอออกจากวังได้เร็วยิ่งขึ้น

ยิ่งคิดอินชิงเสวียนก็ยิ่งตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ เธอกลิ้งไปกลิ้งมากระทั่งกลางดึกถึงค่อยๆ เคลิ้มหลับไป

วันรุ่งขึ้น

ตำหนักจินหลวน

ฮ่องเต้ว่าราชการยามเช้า เหล่าขุนนางก้มถวายบังคม

เย่จิ่งอวี้นั่งตัวตรงผ่าเผยอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาเรียวกว้านมองเหล่าขุนนางด้วยสายตาราบเรียบ

"ยืนตัวตรงเถิด"

"หมื่นปีหมื่นปีหมื่นๆ ปี!"

เหล่าขุนนางน้อมขอบพระทัย แล้วยกชายเสื้อเดินแยกออกเป็นสองฝั่ง

เสนาบดีกรมพระคลังเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง "เมื่อวานกระหม่อได้นำคนไปแจกจ่ายอาหารให้ราษฎรที่วัดฮว้าอัน เมื่อราษฎรทราบว่าทรงเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้พ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า "ทำได้ดี บอกพวกเขาว่าไม่ต้องขอบคุณ ราษฎรใต้หล้านี้ล้วนเป็นบุตรหลานของข้า พวกเขายากลำบาก ข้าก็ไม่สบายใจเช่นกัน"

เสนาบดีกรมพระคลังคุกเข่าลงบนพื้นทันที

"ใต้หล้ามีกษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาเฉกเช่นฝ่าบาท นับเป็นบุญเหลือล้นของพสกนิกรและทั่วหล้าพ่ะย่ะค่ะ"

เหล่าขุนนางต่างก็เห็นด้วยทันที

เย่จิ่งอวี้ปัดมือด พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "คำพูดไร้สาระเช่นนี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าอยากรู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดกันแน่ถึงจะแก้ปัญหาภัยแล้งครั้งนี้ได้"

เสนาบดีกรมโยธารีบเดินขึ้นหน้าและพูดว่า "เมื่อวานนี้กระหม่อมได้รับสานส์ด่วนจากแปดร้อยลี้ว่าบัดนี้บริเวณก้านหนานได้ขุดพบน้ำบาดาลนับร้อยบ่อ และโดยปกติแล้วที่นั่นสามารถเพาะปลูกข้าวฟ่างได้สองฤดู คาดว่าน่าจะไม่ได้รับความเสียหายมากพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อได้ยินดังนั้น เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นไม่น้อย

"ในเมื่อได้ผล ก็ให้เมืองอื่นๆ เอาเป็นแบบอย่างทำตามโดยเร็ว ต้องรับประกันผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้"

เสนาบดีกรมโยธาโค้งตัวแล้วพูดว่า "กระหม่อมได้ส่งจดหมายไปแล้ว คาดว่าใช้เวลาไม่กี่วันก็จะส่งไปถึงมือของจวิ้นอ๋องแต่ละมณฑลแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

เพิ่งพูดจบ ก็มีคนผมเผ้ายุ่งเหยิงวิ่งเข้ามา เขาคุกเข่าเสียงดังตึ้ง เอาหัวโขกพื้นและพูดว่า "ฝ่าบาท กระหม่อมได้ทำการทำนายมาหลายวันหลายคืนแล้ว และในที่สุดก็ได้คำตอบ ฝนฟ้าคะนองในตอนนั้นเป็นเพราะมีผู้อุปถัมภ์ถือกำเนิดมาจริงๆ หากฝ่าบาทสามารถรับเเลี้ยงไว้ข้างกาย จะช่วยค้ำชูให้บ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรืองพ่ะย่ะค่ะ"

แววตาเย่จิ่งอวี้เยือกเย็นลง พูดอย่างไม่พอใจว่า "ข้าสั่งให้เจ้าคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังตั้งหลายวัน ที่เจ้าคิดได้ก็คือสิ่งเหล่านี้งั้นหรือ?"

คนที่มาก็คือโหราจารย์ที่ถูกสั่งให้คุกเข่าไปหลายวัน

เขาโขกหัวกับพื้นไม่หยุด "กระหม่อมมิกล้ากล่าวสุ่มสี่สุ่มห้า นี่เป็นผลลัพธ์ที่กระหม่อมทำนายออกมาได้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ"

สีหน้าเย่จิ่งอวี้อึมครึม พูดเย้ยหยันว่า "หากลำพังแค่เด็กน้อยๆ คนเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาบ้านเมืองได้ แล้วข้าจะต้องมีขุนนางอำมาตย์อย่างพวกเจ้าไว้ทำไมกัน แค่ข้ารับเลี้ยงเด็กจากที่ต่างๆ หลายๆ คน ข้าก็จะมีได้ทุกอย่างแล้วไม่ใช่รึ?"

โหราจารย์อ้าปาก แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร

นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาใช้เวลาหลายวัน และทุ่มสุดความตั้งใจทำนายออกมาได้จริงๆ แต่ฝ่าบาทไม่เชื่อ เขาก็จนปัญญาเช่นกัน

เมื่อเห็นโหราจารย์ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงราวกับขอทาน น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ผ่อนเบาลง

"ข้าเห็นแก่ความภักดีและความทุ่มเทของเจ้าที่มีต่อราชสำนัก จะไม่ถือสาเอาความในเรื่องนี้อีก กลับไปยืนตำแหน่งของเจ้าเถอะ"

เมื่อเห็นฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี เหล่าขุนนางต่างก็ไม่กล้าพูดมาก

เย่จิ่งอวี้รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่มีใครพูด จึงลุกขึ้นยืน

ขณะที่กำลังจะสั่งให้เลิกประชุม ทันใดนั้นเขาก็นึกเรื่องบ้างอย่างขึ้นมาได้

จึงเอ่ยปากถาม "พวกเจ้ามีใครรู้หรือไม่ว่าฮว๋าเซี่ยอยู่ที่ใด?"

เหล่าขุนนางหันหน้ามองซึ่งกันและกัน แล้วก็พากันส่ายหัว

พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

เย่จิ่งอวี้ยกมือโบกปัด "ช่างเถอะ เลิกประชุม"

เมื่อออกจากตำหนักจินหลวน เขาก็เห็นหลี่เต๋อฝูที่ยืนรออยู่หน้าประตูทันที

"ฝ่าบาท"

หลี่เต๋อฝูเร่งฝีเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า และยื่นมือพยุงเย่จิ่งอวี้ไว้

"เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปตรวจสอบเป็นอย่างไรบ้าง?"

หลี่เต๋อฝูหลับตาแล้วพูดว่า "บ่าวติดตามดูท่านไป๋เสวี่ยมาหลายวัน และวิ่งจนขาแทบหักแล้ว แต่ก็ไม่เห็นท่านไป๋เสวี่ยเข้าหาผู้ใดเลย ตอนนี้มันกำลังนอน บ่าวจึงหาจังหวะครู่หนึ่งออกมารับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

หลี่เต๋อฝูอายุอานามไม่น้อยแล้ว การให้เขาไปวิ่งไล่สุนัขตัวใหญ่ที่มีพลังเหลือล้น มันก็เป็นเรื่องที่ลำบากเขาจริงๆ

จึงพูดขึ้นว่า "เช่นนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนคล่องแคล่วสองคน"

หลี่เต๋อฝูซาบซึ้งใจจนคุกเข่าลงในทันที

"ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ"

เขามองหลี่เต๋อฝู ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็คิดถึงขันทีหนุ่มเมื่อคืนนี้

นึกถึงตอนที่เขาเรียกตนเองว่าท่านพี่ทหารด้วยน้ำเสียงเอาอกเอาใจ รอยยิ้มก็ฉายแววอยุ่ในนัยย์ตานิ่งลึก

ในวังเต็มไปด้วยคนประจบสอพลอ ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกเบื่อหน่ายเต็มทน การได้พบกับขันทีน้อยที่ไม่รู้จักตนเองเป็นเรื่องที่สนุกดีเหมือนกัน

ช่างเถอะ ไม่ว่าสิ่งที่เขาพูดจะจริงหรือเท็จ เห็นแก่ที่เขาถูกตนเองทุ่มลงพื้น ครั้งนี้จะยอมช่วยเขาสักครั้งแล้วกัน

"ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องอื่นจะถามเจ้า"

หลี่เต๋อฝูพยุงเย่จิ่งอวี้ด้วยความระมัดระวัง เขาโค้งตัวแล้วพูดว่า "ฝ่าบาทเชิญตรัสพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้จึงพูดว่า "หญิงงามที่เข้าวังมาช่วงนี้ เจ้ารู้ไหมว่ามีใครที่ฐานะครอบครัวดีบ้าง?"

หลี่เต๋อฝูรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดอยู่ดีๆ ฝ่าบาทถึงถามเรื่องนี้

แต่เขาก็ยังตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า "ผู้ที่เข้าวังได้ล้วนแต่เป็นบุตรีของเหล่าขุนนาง ฐานะถือว่ามั่นคงพ่ะย่ะค่ะ"

เย่จิ่งอวี้สะบัดชายเสื้อแล้วเดินเข้าห้องหนังสือ และชี้นิ้วไปยังสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ "เช่นนั้นก็เอาของเหล่านี้ไปขายพวกนาง อย่างละหนึ่งพันตำลึง"

หลี่เต๋อฝูเดินเข้ามามอง แล้วก็ต้องตะลึง

กระจกบานนี้ส่องเห็นหน้าตาได้ชัดมาก มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่ากระจกทองแดงเป็นร้อยเท่า น้ำหอมนั้นยิ่งกว่า กลิ่นหอมติดจมูก แม้แต่ขวดก็ยังปราณีตไร้ที่ติ

ผงชาดอันนั้นไม่ใช่แค่สีสวยเท่านั้น ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย เขาหันมองไปฮ่องเต้ด้วยความตกตะลึง

"เอ่อ..."

เย่จิ่งอวี้ปั้นหน้าขรึม "อย่าถามที่มาของของเหล่านี้ เจ้าแค่เอาไปขายก็พอ"

"พ่ะย่ะค่ะ ของดีๆ เช่นนี้ ขายหนึ่งพันตำลึงได้ไม่มีปัญหาเลยพ่ะย่ะค่ะ"

ขณะที่หลี่เต๋อฝูกำลังจะเก็บของใส่กระเป๋า ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องประดับกระทบกรุ้งกริ้งดังขึ้น

ลู่จิ้งเสียนเดินเข้ามาจากข้างนอกโดยมีคนพยุง

"หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ลุกขึ้นเถิด ไม่ทราบว่าเสียนเฟยมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด?"

ลู่จิ้งเสียนยิ้มแล้วพูดว่า "หม่อมฉันได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับงานราชสำนักมากจนละเลยการดูแลตนเอง จึงได้ทำขนมกุ้ยฮวามาให้ฝ่าบาทโดยเฉพาะเพคะ"

ขณะที่พูด เธอเหลือบไปเห็นกระจกที่อยู่บนโต๊ะ จึงถามด้วยความตะลึงปนประหลาดใจ "ฝ่าบาท นั่นคืออะไรหรือเพคะ?"
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Aera Park
ฝ่าบาทจำหน้าพระสนมในตำหนักเย็นไม่ได้หรือ
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status