หอฉงฮวาเจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนาเข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลยวิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลยจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรและเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้าซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอกเหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออกเมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแ
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตาเธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?""เอ่อ..."อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?""เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าใน
จนกระทั่งเงาของอินชิงเสวียนหายลับไป เย่จิ่งอวี้ถึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องหนังสือหลี่เต๋อฝูกำลังชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความกังวลใจพักนี้อยู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ตนเองคอยติดตาม หรือว่าพระองค์จะยังโกรธตนเองเรื่องไป๋เสวี่ยอยู่?แต่ตนเองวิ่งไล่ไป๋เสวี่ยไม่ไหวจริงๆ นี่นา!และพอคิดว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ขันทีคนอื่นติดตามไปด้วย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหนกันแน่?และก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะพลิกป้ายของสนมคนใดเลย และเนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาถูกไทเฮาเรียกไปต่อว่าอยู่หลายครั้งมีฮ่องเต้ที่ไหนขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีแล้วยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับสนมคนใดเลย?หรือว่า...ฝ่าบาททรงประชวร?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินมาแต่ไกลๆ ในมือยังถือห่อกระดาษไขมาด้วยหลี่เต๋อฝูจึงรีบวิ่งไปรับทันที"ฝ่าบาท พระองค์เสด็จกลับมาเสียที บ่าวร้อนใจจะแย่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ยัดห่อกระดาษไขไปไว้ในมือของเขา"ตรวจดูสิว่าสิ่งนี้มีพิษไหม?""นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"หลี่เต๋อฝูคลี่กระดาษออก เห็นเพียงสิ่งของที่มีรูปร่างอ้วนๆ กลมๆ นอนอยู่ข้างใน หน้าตาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเย่จิ่งอวี
ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า "สงสารก็แต่คนแซ่อินนั่น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีรับสั่งให้แต่งงานเข้าจวนรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทก็ได้ครองบัลลังก์แล้ว แต่นางกลับถูกขับให้ไปอยู่ที่วังเย็นแทน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้เลยจริงๆ"เมื่อพูดจบ ไทเฮาก็วางตะเกียบในมือลง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องลู่จิ้งเสียนเห็นดังนั้นก็รีบถกกระโปรงแล้วเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า "มีสิ่งใดให้สงสารกันเพคะ หากว่าอินชิงเสวียนชอบอันผิงอ๋องจริง ก็ควรที่จะต่อต้านพระราชโองการจนถึงที่สุด นางไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด หากคนที่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคือหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็คงจะไม่เย็นชาต่อวังหลังเช่นทุกวันนี้"ไทเฮาตรัสตอบอย่างไม่พอพระทัยว่า "ตอนนั้นสถานการณ์มันไม่ชัดเจน จะให้ข้าเห็นด้วยได้อย่างไร หากว่าองค์รัชทายาทเสียอำนาจขึ้นมา เจ้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ตอนนี้เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก"เมื่อเห็นสีหน้าทะมึนทึงของไทเฮา ลู่จิ้งเสียนก็รีบร้อนคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัยทันที"ไทเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่พอใจ
พูดยังไม่ทันจบดี นางก็ต้องรีบปิดปากแล้วหันไปมองยังอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนยักไหล่ให้เหมือนไม่ใส่ใจอะไร จะคล้ายใครเหมือนใคร ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ก็เธอไม่ใช่แม่นิแต่ว่าถ้าฝ่าบาทหน้าตาแบบนี้จริง ก็ออกจะดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหน่อยหรือเปล่า!หน้าแบบนี้จะเอาอะไรไปสยบพวกขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหลายล่ะ?เมื่ออินชิงเสวียนจินตนาการไปถึงเจ้าหมาน้อยตอนโต ก็รู้สึกแอบขนลุกหน่อยๆเจ้าหมาน้อยยังคิดว่าอินชิงเสวียนแกล้งเขาเล่น จึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมายายหลี่รีบพูดต่อว่า "องค์ชายน้อยไม่ได้เห็นหน้าพระสนมมาหลายวันแล้ว จะต้องคิดถึงมากแน่ๆ พระสนมรีบเข้าไปอุ้มองค์ชายสักหน่อยเถิดเพคะ"ยายหลี่กลัวว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบเด็ก ถึงแม้ฝ่าบาทจะเลวร้ายเพียงไร แต่เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของพระสนมเอง หากว่าแม่แท้ๆ เองยังไม่รัก ก็คงจะน่าสงสารมากอินชิงเสวียนยื่นมือออกไปข้างหน้าทันที ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมอุ้ม ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบเด็ก แต่ว่าเด็กน้อยยังตัวเล็กมากๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอุ้มยังไง แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านั้นก็ย่อมหายไปเจ้าหมาน้อยใช้มือเล็กๆ กอดท
เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขาละสายตาไปยังที่อื่น เผยให้เห็นถึงท่าทางที่ยากจะเข้าถึง"ข้าแค่เพียงกำลังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถคิดสิ่งที่วิเศษเช่นนี้ออกมาได้"อินชิงเสวียนถอดหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงได้พูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผายว่า "บ้านเมืองจะรุ่งเรืองหรือฉิบหาย ทุกคนล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบ ถึงบ่าวจะเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อแผ่นดินได้ ดังนั้นจึงพยายามคิดหาวิธีการออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้พิจรณาอีกที"เย่จิ่งอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนไฟในใจถูกจุดให้ลุกโชนคิดไม่ถึงเลยว่าขันทีตัวเล็กๆ จะสามารถพูดอะไรที่มีความหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้หากว่าขุนนางทุกคนในต้าโจวมีความคิดเช่นเดียวกับเขาได้ เช่นนั้นแผ่นดินนี้ก็คงไม่มีความเดือดร้อนอีกเสียดายเพียงแค่ เขาเป็นชายที่ถูกตอนแล้ว ไม่สามารถแต่งตั้งให้รับตำแหน่งในราชการได้ ไม่เช่นนั้น...เมื่อเห็นว่าสายตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ฉายแววประหลาด อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อด้วยฐานะของเธอตอนนี้ จะต้องไม่พยายามเป็นจุดสนใจ ดังนั้นเธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งค
ที่วังเย็นเดิมทีอินชิงเสวียนก็จะออกไปแล้ว แต่เจ้าหมาน้อยไม่รู้เป็นอะไร พอกินนมเสร็จก็เริ่มร้องไห้ ไม่ว่าจะปลอบยังไงก็ไม่ยอมเงียบเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยร้องไห้จนหน้าตาแดงก่ำ ยายหลี่ก็เป็นกังวลจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มศีรษะ จวนจะร้องไห้ออกมาแล้ว"เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่องค์ชายน้อยยังดีๆ อยู่เลย ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ จึงร้องไห้มากมายเช่นนี้?""หรือว่าจะยังกินไม่อิ่ม อวิ๋นฉ่ายเจ้าไปชงนมมาเพิ่มสิ"เมื่อเห็นเจ้าหมาน้อยกำหมัดเล็กๆ แน่น น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง อินชิงเสวียนก็รู้สึกกระวนกระวายจนหน้าแดงตามไปด้วยอวิ๋นฉ่ายรับคำแล้วก็รีบไปชงนมมาเพิ่มอีกสองช้อน ชงเสร็จก็รีบเอาไปจ่อไว้ข้างปากของเจ้าหมาน้อยทันที แต่หมัดสีชมพูเล็กๆ กลับปัดออกทันที จากนั้นเด็กน้อยก็ยังร้องไห้ต่อไม่ยอมหยุดอินชิงเสวียนรีบเดินไปปิดประตูหน้าต่างทุกบาน ในตอนกลางดึกเช่นนี้เสียงดังออกไปได้ไกลนักเชียว อีกอย่างที่หน้าประตูใหญ่ก็ยังมีสองพี่น้องตระกูลหวังยืนเฝ้าอยู่ด้วย ถึงแม้ที่ตั้งของวังเย็นจะห่างไกล แต่ก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาดหากว่ามีคนรู้ว่านางคลอดเด็กออกมาล่ะก็ ดีไม่ดีพวกนางทั้งหมดอาจจะต้องไปพบยมบาลเลยทันทีก็ได้"ไม่ร้องนะๆ ล
ซูฉ่ายเวยกำลังเตรียมตัวเข้านอน ก็ได้ยินคำพูดที่น่ายินดีเสียก่อนนางคว้าคอเสื้อของนางกำนัลคนหนึ่งมาถามเพื่อความแน่ใจ "ฝ่าบาทเสด็จมา? ข้าได้ยินไม่ผิดไปใช่หรือไม่?"นางกำนัลซงลั่วพูดตอบอย่างดีใจว่า "เจ้านายได้ยินไม่ผิดแล้วเพคะ ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ เจ้านายรีบออกไปรับเสด็จเถิดเพคะ"ซูฉ่ายเวยทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะนางเพิ่งจะถอดเครื่องประดับออก สีปากก็ลบออกแล้ว ชะ...เช่นนี้จะไปกล้าพบผู้คนได้อย่างไร"มานี่ รีบมาแต่งตัวให้ข้า เร็ว เอาเครื่องประดับของข้ามาด้วย สีทาปากด้วย"ซูฉ่ายเวยรีบร้อน จนทำเครื่องประทินโฉมต่างๆ หกลงเลอะพื้นห้องไปหมด เหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้ก็ยิ่งพากันร้อนรนจนวุ่นวาย เพื่อจะช่วยซูฉ่ายเวยแต่งตัวได้แล้วเสร็จเย่จิ่งอวี้เดินลงมาจากเกี้ยวที่ประทับแล้ว เขากำลังใช้สายตาอันเย็นเยียบกวาดมองไปทั่วหอจากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "เรียกทุกคนที่อยู่ข้างในออกมาให้หมด ไม่เว้นแม้แต่เหล่าขันทีและนางกำนัล"หลี่เต๋อฝูมองไปที่ฝ่าบาทหนึ่งครั้ง ในใจก็ได้แต่สงสัย เมื่อครู่เขายังคิดอยู่เลยว่าฝ่าบาทถูกใจในตัวหญิงงามนางนี้ แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ดูจะไม่ใช่อย่างนั้น"พ่ะย่ะค่ะ"เขาเดิน
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี