Home / โรแมนติก / สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์ / บทที่ 13 อย่างละหนึ่งพันตำลึง

Share

บทที่ 13 อย่างละหนึ่งพันตำลึง

Author: ม่อเยี่ยน
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "มันคือสิ่งของของฮว๋าเซี่ย หากเสียนเฟยชอบ ก็มาดูก่อน"

ลู่จิ้งเสียนนึกว่าเย่จิ่งอวี้จะมอบของพวกนี้ให้เธอ เธอจึงเดินไปที่โต๊ะด้วยความตื่นเต้น

"นี่คือกระจกงั้นหรือ ส่องชัดมากเลยเพคะ"

จากนั้นก็หยิบลิปสติก ถามด้วยความตะลึง "แล้วนี่คืออะไรหรือเพคะ?"

เย่จิ่งอวี้ขี้เกียจพูดกับเธอ เขาส่งสายตาไปให้หลี่เต๋อฝู

หลี่เต๋อฝูจึงรีบโค้งตัวแล้วแนะนำ "นี่เรียกว่าลิปสติก ใช้แทนผงชาดพ่ะย่ะค่ะ ด้านนี้คือน้ำหอม ทาแล้วจะมีกลิ่นหอมแตะจมูก กลิ่นจะคงอยู่นาน ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อเขาเปิดฝาขวดน้ำหอมออก ลู่จิ้งเสียนก็ได้กลิ่นหอมในทันที และอดตาลุกววาวไม่ได้

"ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงเมตตาเพคะ หม่อมฉันชอบทุกอย่างเพคะ"

เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง ภายในแฝงแววเย้ยหยัน

และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ "อย่างละหนึ่งพันตำลึง"

ลู่จิ้งเสียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความตะลึงงัน

"เอ่อ...ฝ่าบาทจะทรงขายของเหล่านี้ให้หม่อมฉันรึเพคะ?"

เย่จิ่งอวี้พูดด้วยใบหน้าเฉยชาว่า "ตอนนี้ผู้คนอดอยากล้นบ้านเมือง ภัยแล้งทั่วแผ่นดิน ข้าจะให้เสียนเฟยนำเงินเล็กน้อยมาช่วยเหลือเหล่าพสกนิกร รึว่าเสียนเฟยไม่ยินยอมอย่างนั้นหรือ?"

ลู่จิ้งเสียนมองสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะด้วยสายตาละโมบ

สิ่งที่เรียกว่าลิปสติกนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ซึ่งมันสุดยอดกว่าผงชาดที่รสขมฝาดมากจริงๆ แล้วก็น้ำหอมกับกระจกด้วย เธอชอบทุกอย่างเลย

เธอกัดฟันและพูดว่า "ในเมื่อฝ่าบาททรงกระทำเพื่อความสงบสุขของมวลหมู่ราษฎร หม่อมฉันก็ต้องช่วยเหลือเต็มที่ หม่อมฉันขอรับทุกอย่างตรงนี้เพคะ"

เย่จิ่งอวี้มองนางด้วยสายตาเหน็บแนม "เสียนเฟยช่างมีเงิน"

ลู่จิ้งเสียนรีบคุกเข่าลงอย่างลนลาน และพูดด้วยเสียงออดอ้อน "ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและไทเฮาประทานให้หม่อมฉันทั้งนั้น หม่อมฉันมิได้หักลดจากวังอื่นๆ แน่นอนเพคะ"

"ลุกขึ้นเถอะ หลี่เต๋อฝู ตามเสียนเฟยไปรับเงิน"

เย่จิ่งอวี้หยิบฎีกาขึ้นมาอ่าน เขาไม่แม้แต่ชายตามองลู่จิ้งเสียนเสียด้วยซ้ำ

หลี่เต๋อฝูพูดในใจ ขุนพระ ฝ่าบาทจะขายจริงๆ รึนี่!

เมื่อกราบบังคมทูลลาแล้ว หลี่เต๋อฝูก็ตามลู่จิ้งเสียนไปยังที่อยู่ของเธอ

อยู่ๆ ต้องเสียเงินทองมากมายขนาดนี้ ทำให้ลู่จิ้งเสียนรู้สึกเจ็บใจ แล้วเมื่อมองดูสิ่งของน่าอัศจรรย์เหล่านี้ เงินที่เสียไปก็ยังนับว่าคุ้มค่า

เธอรีบเช็ดผงชาดที่ปากออก แล้วทาลิปสติกแทน

ชุ่ยจู๋พูดชมในทันที "พระสนมทาลิปสติกแล้วดูดีมากเพคะ ปากดูชุ่มชื่น และเป็นมันเงา เย้ายวนชวนหลงใหลมากเพคะ"

ลู่จิ้งเสียนทำปากจู๋ แล้วส่องกระจกดูตัวเอง เธอก็รู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน

จากนั้นเธอก็ทาน้ำหอมไปที่หลังมือเล็กน้อย ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ฟุ้งกระจายทั่วห้อง ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งของทั่วๆ ไปจะเเอามาทียบกันได้เลย

ฝ่าบาทขายสิ่งของเหล่านี้ให้กับเธอ ก็พิสูจน์ว่าสำหรับเขาแล้ว ตนเองนั้นมีความแตกต่างอยู่ แม้ว่าเธอจะเสียเงินซื้อของ แต่นั่นก็เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย ฝ่าบาทจะต้องซาบซึ้งในความใจกว้างของเธอแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้ ลู่จิ้งเสียนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เธอนั่งแต่งหน้าตรงหน้ากระจกเสร็จสรรพ ก็ลุกขึ้นพูดว่า "ชุ่ยจู๋ ไปเดินเยี่ยมแต่ละวังกับข้าหน่อย แม้ว่าตอนนี้พวกนางยังไม่แต่งตั้งยศศักดิ์ แต่อย่างไรเสียวันหลังก็ต้องเป็นพี่เป็นน้องกัน"

ชุ่ยจู๋รู้ว่าเจ้านายตนเองอยากออกไปโอ้อวด จึงรีบมาพยุงมือของลู่จิ้งเสียน

"พระสนม ช้าหน่อยเพคะ..."

ใช้เวลาเพียงหนึ่งช่วงบ่าย เรื่องที่พระสนมเสียนเฟยมีกลิ่นหอมติดตัวก็แพร่กระจายไปทั่วพระราชวัง

เมื่อรู้ว่าเป็นของขวัญที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้ เหล่าหญิงงามต่างก็อิจฉาตาร้อน

ทุกคนก็หวังเพียงว่าจะได้พบฮ่องเต้โดยบังเอิญสักครั้ง เพื่อจะวอนขอพระราชทานสิ่งของบ้างสักหนึ่งอย่าง

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดหาวิธีกันให้วุ่น อินชิงเสวียนกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านเพียงวันดุจดั่งผ่านเป็นปี

ตอนที่ให้ของไป เธอมั่นใจมาก คิดว่าทหารคนนั้นสามารถช่วยตัวเองได้แน่นอน

แต่ตอนนี้พอใจเย็นลงแล้วก็แอบรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง

ถ้าเกิดว่าเขามีความภักดีมากเกินไป จนไม่ยอมช่วยตนเองควรจะทำอย่างไรดี?

ตอนนี้พืชผลของเธอเพิ่งจะออกดอก กว่าจะเก็บเกี่ยวได้ต้องรออีกนานแค่ไหนเธอก็ไม่รู้เช่นกัน ทว่าคะแนนสะสมที่อยู่ในมือนั้นชัดเจนมากว่าเหลือเพียง 50 กว่าคะแนนแล้ว

เพื่อป้องกันเจ้าหมาน้อยต้องอดอาหาร อินชิงเสวียนจึงแลกนมผงมาก่อนสิบถุง ที่เหลือก็แลกซื้อแป้งพัพบีบีมาสามตลับ และไม่กล้าใช้จ่ายอย่างอื่นอีก

เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปสองวันแล้ว คืนนี้คือวันที่เธอกับทหารคนนั้นนัดพบกัน

อินชิงเสวียนทั้งตื่นเต้นและคาดหวัง แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองใจร้อนมากเกินไป เธอจึงไปหยอกเล่นเจ้าหมาน้อย

เด็กน้อยมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน เพียงเวลาไม่กี่วันก็ลืมตาได้เต็มตาแล้ว

ดวงตาคู่นั้นทั้งดำและสว่าง ราวกับผลองุ่นสองผล ขนตาก็หนาด เรียงตัวเป็นเส้นราวกับกรีดขอบตาไว้ คิ้วน้อยบางๆ ก็เริ่มหนาขึ้นไม่น้อย

ตอนที่ไม่ยิ้มใบหน้าน้อยๆ นิ่งขรึม ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอยู่บ้าง

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าอินชิงเสวียนเป็นแม่ของตนเอง ทุกครั้งที่เห็นอินชิงเสวียน เขาจะโบกมือไปมา และส่งเสียงร้องอู้อี้ให้เธอ

ตอนที่อินชิงเสวียนเข้าไปในบ้าน เขาก็กำลังนอนเตะขาอยู่

ขาน้อยอวบแน่นเป็นท่อนๆ

อินชิงเสวียนเห็นว่าน่ารัก จึงจับขาของเขาเอาไว้

"เจ้าหมาน้อย เจ้าหน้าตาน่ารักจริงๆ เลยนะ"

เจ้าหมาน้อยหัวเราะคิกๆ ขึ้นมาทันที

แล้วอินชิงเสวียนปั้นหน้าขรึม พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า "เจ้าหมาน้อย เจ้าน่าเกลียดเสียจริง"

ราวกับเจ้าหมาน้อยจะเข้าใจความหมายของเธอ คิ้วน้อยๆ ขมวดเข้าหากัน ปากเล็กเบะลงทำท่าจะร้องไห้ทันที

อินชิงเสวียนรีบพูดขึ้นว่า "ไม่น่าเกลียดๆ เจ้าหมาน้อยคือสุดหล่อที่หล่อสุดในวังนี้ หล่อกว่าพ่อเฮ่องเต้เฮงซวยของเจ้าเป็นหมื่นเท่าเลย"

เจ้าหมาน้อยก็อ้าปากยิ้มพร้อมโบกมือไปมาทันที

ยายหลี่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกไร้คำบรรยาย

มีใครเขาหยอกล้อกับเด็กแบบนี้บ้าง

ส่วนอวิ๋นฉ่ายกลับแอบขำอยู่ข้างๆ

เจ้านายในตอนนี้แม้ว่ามักจะพูดจาไม่ยับยั้งชั่งใจบ่อยครั้ง แต่กลับทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น

ตอนเที่ยง อินชิงเสวียนตักน้ำพุวิญญาณมาแล้วนำไปต้มและอาบให้เจ้าหมาน้อย เด็กน้อยเมื่อเห็นน้ำก็ดีใจมาก ขาน้อยๆ ออกแรงถีบยกน้ำใหญ่

อวิ๋นฉ่ายและอินชิงเสวียนถูกเจ้าตัวแสบถีบน้ำกระเด็นจนเปียนไปทั้งตัว รอจนเขายอมอยู่นิ่ง ทั้งสองคนจึงเข้าใกล้กะละมังอีกครั้ง ทว่าเจ้าหมาน้อยแอ่นท้องขึ้น พร้อมกับปลดปล่อยน้ำพุ

อินชิงเสวียนเกือบโดนฉี่ใส่ เธอจึงใช้มือตีเบาๆ ไปที่ก้นน้อยกลมๆ ของเขาอย่างอดไม่ได้

เจ้าตัวแสบ แสบซนยิ่งกว่าหลานชายของเธอเสียอีก

หลังจากวุ่นวายมาครึ่งชั่วยาม เจ้าหมาน้อยก็เหนื่อยแล้ว และนอนหลับไปในอ้อมอกของยายหลี่

อินชิงเสวียนยกมือขึ้นปาดเหงื่อ การเลี้ยงลูกลำบากใช่เล่นเลย หากไม่มียายหลี่กับอวิ๋นฉ่าย เธอไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองจะเลี้ยงลูกอย่างไร

ตอนบ่าย สองพี่น้องตระกูลหวังโยนก้อนหินเข้ามาในสวน และถามหาสินค้ากับยายหลี่

ยายหลี่ไม่อยากมีเรื่องกับพวกเขา จึงตอบไปว่าเรายังไม่มีของ

พี่น้องตระกูลหวังจึงได้แต่ยอมถอยไป

เพียงพริบตา พระอาทิตย์ก็ตกดิน ท้องฟ้าเริ่มมืดค่ำลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัด

ทันทีที่พ้นสามทุ่ม อินชิงเสวียนก็เปลี่ยนใส่ชุดขันที

อวิ๋นฉ่ายอดกังวลไม่ได้ "พระสนม บ่าวไปกับพระองค์ดีกว่าเพคะ"

"ไม่ต้อง คนเยอะจะยิ่งสะดุดตาได้ง่าย วางใจเถอะ ข้าบอกว่าข้ามาจากหอฉงฮวา ที่นั่นน่าจะเป็นที่อยู่ของหญิงงาม ถ้าไม่มีรับสั่งจากฮ่องเต้ แค่ทหารคนเดียว เขาไม่กล้าไปตรวจสอบที่นั่นหรอก"

อินชิงเสวียนพูดจบก็คลานออกไปจากรูบนกำแพง

Related chapters

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 14 นี่เป็นค่าตอบแทนของเจ้า

    เดินเลี้ยวไปสองครั้ง เธอก็มาถึงถนนยาวหน้าตำหนักฉงหวู่ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้จะเดินมาไม่หลงทาง ดูท่าเดินถูกทางก็มีข้อดีเหมือนกันพอเดินมาถึงปากทาง อินชิงเสวียนก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวาย และกังวลเรื่องผลได้ผลเสียขึ้นมาหน้าประตูตำหนักฉงหวู่เงาสูงโปร่งกำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างทางแสงจันทร์ยามค่ำคืนยิ่งทำให้เงาของเขายืดยาวมากขึ้นผู้นี้ก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้เขามองไปไกล และคิ้วขมวดเล็กน้อยพลางคิดใจในว่าควรพบกับบ่าวคนนี้รึไม่บางทีอาจเป็นเพราะบ่าวคนนี้ไม่รู้จักตนเอง จึงทำให้เย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกแปลกใหม่ หรือบางทีอาจเป็นเพราะการที่เขาไม่หวั่นฟ้ากลัวดิน กล้าทำการค้าขายซึ่งๆ หน้าตัวเองก็ได้แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกกันผู้ติดตามออก และมาที่นี่คนเดียวเขามองดูพระจันทร์อีกครั้ง ตอนนี้เวลาสามทุ่มแล้วในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ได้ปะปนแววหงุดหงิดเล็กน้อยเจ้าสุนัขรับใช้ ใจกล้าจริงๆ ที่ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ขณะที่กำลังจะหันหลังเข้าตำหนักฉงหวู่ ก็ได้ยินเสียงเรียกเบาๆ ว่า "ท่านพี่ทหาร ใช่เจ้าไหม?"เย่จิ่งอวี้หันกลับมา ก็เห็นอินชิงเสวียนที่กำลังหลบๆ ซ่อนๆ ทำท่าเหมือนโจรในทัน

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 15 เสริมแคลเซียม

    อวิ๋นฉ่ายเบะปาก"สองพี่น้องตระกูลหวังอีกแล้วแน่เลย พวกเราอย่าสนใจพวกเขาอีกเลยเพคะ"ยายหลี่พูดว่า "ต่อให้เราไม่ให้ของพวกเขา เราก็ไม่ควรจะปฏิเสธด้วยวิธีนี้ โบราณว่าไว้ลูกน้องเบี้ยล่างรับมือยากกว่าหัวหน้า ถ้าเราทำให้พวกเขาโกรธ แล้วเที่ยวออกไปพูดจาเลอะเทอะ จะเกิดปัญหากับวังเย็นของเราได้"อินชิงเสวียนคิดไปคิดมา เธอก็รู้สึกเช่นกันว่าที่ยายหลี่พูดมีเหตุผล"เช่นนั้นก็ไปรับมือกับพวกเขาหน่อย""พระสนมวางใจ บ่าวทราบว่าควรจะพูดอย่างไรเพคะ"ยายหลี่อุ้มเจ้าหมาน้อยให้อินชิงเสวียน แล้วก็เดินไปที่ประตูวังพี่น้องตระกูลหวังเคยได้กินกำไร จึงไม่แปลกที่จะเฝ้ารอเฝ้าถาม แต่ทว่าเวลาก็ล่วงเลยไปสามสี่วันแล้ว ยังไม่ได้ของ จึงอดร้อนใจไม่ได้ยายหลี่เดินไปถึงตรงประตู"ช่วงนี้เราไม่มีสินค้า รออีกสักระยะก็แล้วกัน"หวังเอ้อร์หวู่หัวเราะในลำคอ "ที่จริงจะเอาแบบนี้ก็ได้ ยายบอกต้นทางสินค้ากับพวกเรา เดี๋ยวพวกเราไปซื้อกันเอง ถึงตอนนั้นเราค่อยเอาเงินมาให้พวกเจ้า แบบนี้ไม่ง่ายกว่าหรือ?"ยายหลี่แค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สารเลวสองคนนี้ช่างโลภมากจริงๆ พอบรรลุเป้าหมายแล้วก็คิดจะถีบหัวส่งแต่เธอกลับยิ้มและพูดว่า "เรื่อง

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 16 ใครรังแกเจ้า?

    หอฉงฮวาเจ้านายน้อยซูฉ่ายเวยกำลังมองตนเองในกระจกทองแดงด้วยความเวทนาเข้าวังมาได้สามเดือนกว่าแล้ว ยังไม่ได้พบแม้แต่พระพักตร์ฝ่าบาทเลยวิธีที่สามารถใช้ได้เธอก็ใช้ทุกอย่างแล้ว เงินก็ใช้ไปไม่น้อย แต่กลับไม่พบหนทางเลยจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปถึงเมื่อไรและเมื่อคิดถึงอาหารจืดชืดในทุกๆ วัน ซึ่งเทียบไม่ได้กับที่บ้านด้วยซ้ำ เธอก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ จึงยืนขึ้นและยกเท้าเตะเก้าอี้สาวใช้รู้ว่าเธออารมณ์ไม่ดี ต่างก็พากันยืนชิดกำแพง ไม่กล้าเงยหน้าซูฉ่ายเวยหาความผิดของพวกนางไม่พบ จึงไประบายอารมณ์กับต้นไม้ใบหญ้าในสวน ขณะที่กำลังเดินเตะพวกมันอยู่ ทันใดนั้นก็เห็นขันทีหนุ่มชุดหนึ่งถือปิ่นโตอย่างดีเดินเข้ามาจากด้านนอกเหล่าขันทีเข้ามาถึงก็พูดว่า "แจ้งข่าวดีนายน้อยขอรับ ฝ่าบาทมีรับสั่งโดยเฉพาะว่าให้เพิ่มเนื้อทุกมื้ออาหารให้กับนายน้อยหอฉงฮวา บ่าวจึงได้จัดเตรียมอาหารมาให้หกอย่าง ไม่ทราบว่าจะถูกใจนายน้อยหรือไม่?"ขันทีคนแรกเดินก้าวมาข้างหน้าแล้วเปิดฝาปิ่นโตออกเมื่อเห็นอาหารภายในนั้น ตาของซูฉ่ายเวยก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที"นี่...นี่เป็นรับสั่งของฝ่าบาทจริงๆ หรือ?"ขันทีคนหน้าสุดยิ้มแ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 17 ผันน้ำจากใต้สู่เหนือ

    อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ภาพใบหน้าหล่อเหลาก็ปรากฎในดวงตาเธอรีบเช็ดน้ำตา ลุกขึ้นยืน แล้วฉีกยิ้ม"ท่านพี่ทหาร เจ้ามาแล้วหรือ"บนขนตาของเธอยังมีคราบน้ำตา มองดูแล้วน่าสงสารจับใจเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเบาๆ มองดูดวงตาที่เปรอะเปื้อนน้ำตาคู่นั้น ก็รู้สึกไม่สบายในใจ"ข้ากำลังถามเจ้า ใครรังแกเจ้า?"อินชิงเสวียนสูดหายใจแล้วพูดว่า "ไม่มีใครรังแกข้าหรอก ข้าแค่คิดถึงบ้าน"เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงในลำคอ "ในเมื่อติดบ้านขนาดนั้น แล้วเข้าวังมาทำไม?"อินชิงเสวียนยิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า "คนเรามักมีหลากสิ่งหลายอย่างที่ต้องจำยอม ท่านพี่ทหาร เจ้าได้ซื้อเนื้อมาให้ข้าไหม?"ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ฉายแววมืดลง"หอฉงฮวาของพวกเจ้าไม่ได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทหรือ?""เอ่อ..."อย่าบอกนะว่าฮ่องเต้ประทานเนื้อไปให้หอฉงฮวา?เย่จิ่งอวี้ถามต่อว่า "เจ้านายของพวกเจ้าไม่ได้แบ่งอาหารให้พวกเจ้าสักนิดเลยหรือ?""เอ่อ...เจ้านายของพวกเราก็ไม่ได้มีเนื้อทานเลย ต่อให้แบ่งให้บ่าว มันก็มีแค่นิดเดียวจะพอทานได้อย่างไร ท่านพี่ทหาร ครั้งหน้าเจ้าซื้อเนื้อมาให้ข้าเถอะ เช่นนี้ข้าก็สามารถแอบทำทานเองได้แล้ว"อินชิงเสวียนมโนแต่งเรื่องขึ้น ทว่าใน

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 18 หูตาอยู่รอบตัว

    จนกระทั่งเงาของอินชิงเสวียนหายลับไป เย่จิ่งอวี้ถึงหันหลังเดินกลับไปที่ห้องหนังสือหลี่เต๋อฝูกำลังชะเง้อคอมองอยู่หน้าประตูด้วยความกังวลใจพักนี้อยู่ๆ ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ตนเองคอยติดตาม หรือว่าพระองค์จะยังโกรธตนเองเรื่องไป๋เสวี่ยอยู่?แต่ตนเองวิ่งไล่ไป๋เสวี่ยไม่ไหวจริงๆ นี่นา!และพอคิดว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ขันทีคนอื่นติดตามไปด้วย ก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยฝ่าบาทเสด็จไปที่ไหนกันแน่?และก็ไม่เห็นว่าพระองค์จะพลิกป้ายของสนมคนใดเลย และเนื่องด้วยเรื่องนี้ เขาถูกไทเฮาเรียกไปต่อว่าอยู่หลายครั้งมีฮ่องเต้ที่ไหนขึ้นครองราชย์มาหนึ่งปีแล้วยังไม่เคยร่วมหลับนอนกับสนมคนใดเลย?หรือว่า...ฝ่าบาททรงประชวร?ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้เดินมาแต่ไกลๆ ในมือยังถือห่อกระดาษไขมาด้วยหลี่เต๋อฝูจึงรีบวิ่งไปรับทันที"ฝ่าบาท พระองค์เสด็จกลับมาเสียที บ่าวร้อนใจจะแย่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้ยัดห่อกระดาษไขไปไว้ในมือของเขา"ตรวจดูสิว่าสิ่งนี้มีพิษไหม?""นี่คืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?"หลี่เต๋อฝูคลี่กระดาษออก เห็นเพียงสิ่งของที่มีรูปร่างอ้วนๆ กลมๆ นอนอยู่ข้างใน หน้าตาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเย่จิ่งอวี

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 19 ยิ่งเหมือนฝ่าบาทขึ้นทุกวัน

    ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสต่อว่า "สงสารก็แต่คนแซ่อินนั่น ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีรับสั่งให้แต่งงานเข้าจวนรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทก็ได้ครองบัลลังก์แล้ว แต่นางกลับถูกขับให้ไปอยู่ที่วังเย็นแทน ไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้เลยจริงๆ"เมื่อพูดจบ ไทเฮาก็วางตะเกียบในมือลง แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องลู่จิ้งเสียนเห็นดังนั้นก็รีบถกกระโปรงแล้วเดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า "มีสิ่งใดให้สงสารกันเพคะ หากว่าอินชิงเสวียนชอบอันผิงอ๋องจริง ก็ควรที่จะต่อต้านพระราชโองการจนถึงที่สุด นางไม่มีความกล้าหาญเลยสักนิด หากคนที่เป็นพระชายาองค์รัชทายาทคือหม่อมฉัน ฝ่าบาทก็คงจะไม่เย็นชาต่อวังหลังเช่นทุกวันนี้"ไทเฮาตรัสตอบอย่างไม่พอพระทัยว่า "ตอนนั้นสถานการณ์มันไม่ชัดเจน จะให้ข้าเห็นด้วยได้อย่างไร หากว่าองค์รัชทายาทเสียอำนาจขึ้นมา เจ้าเองนั่นแหละที่จะเดือดร้อน ตอนนี้เจ้าก็ได้ตำแหน่งเป็นถึงพระสนมแต่เพียงผู้เดียว เจ้ายังมีอะไรให้ไม่พอใจอีก"เมื่อเห็นสีหน้าทะมึนทึงของไทเฮา ลู่จิ้งเสียนก็รีบร้อนคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัยทันที"ไทเฮาโปรดประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ไม่พอใจ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 20 น่าเสียดาย

    พูดยังไม่ทันจบดี นางก็ต้องรีบปิดปากแล้วหันไปมองยังอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนยักไหล่ให้เหมือนไม่ใส่ใจอะไร จะคล้ายใครเหมือนใคร ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว ก็เธอไม่ใช่แม่นิแต่ว่าถ้าฝ่าบาทหน้าตาแบบนี้จริง ก็ออกจะดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหน่อยหรือเปล่า!หน้าแบบนี้จะเอาอะไรไปสยบพวกขุนนางบุ๋นบู้ทั้งหลายล่ะ?เมื่ออินชิงเสวียนจินตนาการไปถึงเจ้าหมาน้อยตอนโต ก็รู้สึกแอบขนลุกหน่อยๆเจ้าหมาน้อยยังคิดว่าอินชิงเสวียนแกล้งเขาเล่น จึงได้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมายายหลี่รีบพูดต่อว่า "องค์ชายน้อยไม่ได้เห็นหน้าพระสนมมาหลายวันแล้ว จะต้องคิดถึงมากแน่ๆ พระสนมรีบเข้าไปอุ้มองค์ชายสักหน่อยเถิดเพคะ"ยายหลี่กลัวว่าอินชิงเสวียนจะไม่ชอบเด็ก ถึงแม้ฝ่าบาทจะเลวร้ายเพียงไร แต่เด็กคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของพระสนมเอง หากว่าแม่แท้ๆ เองยังไม่รัก ก็คงจะน่าสงสารมากอินชิงเสวียนยื่นมือออกไปข้างหน้าทันที ก่อนหน้านี้ที่เธอไม่ยอมอุ้ม ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบเด็ก แต่ว่าเด็กน้อยยังตัวเล็กมากๆ เธอไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอุ้มยังไง แต่ตอนนี้เด็กน้อยก็แข็งแรงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านั้นก็ย่อมหายไปเจ้าหมาน้อยใช้มือเล็กๆ กอดท

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 21 ถึงข้าน้อยจะเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อแผ่นดินได้

    เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นยืนตัวตรง เขาละสายตาไปยังที่อื่น เผยให้เห็นถึงท่าทางที่ยากจะเข้าถึง"ข้าแค่เพียงกำลังสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถคิดสิ่งที่วิเศษเช่นนี้ออกมาได้"อินชิงเสวียนถอดหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงได้พูดต่ออย่างเด็ดเดี่ยวและผึ่งผายว่า "บ้านเมืองจะรุ่งเรืองหรือฉิบหาย ทุกคนล้วนมีส่วนต้องรับผิดชอบ ถึงบ่าวจะเป็นคนต่ำศักดิ์ แต่ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อแผ่นดินได้ ดังนั้นจึงพยายามคิดหาวิธีการออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องที่มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้พิจรณาอีกที"เย่จิ่งอวี้ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนไฟในใจถูกจุดให้ลุกโชนคิดไม่ถึงเลยว่าขันทีตัวเล็กๆ จะสามารถพูดอะไรที่มีความหมายยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาได้หากว่าขุนนางทุกคนในต้าโจวมีความคิดเช่นเดียวกับเขาได้ เช่นนั้นแผ่นดินนี้ก็คงไม่มีความเดือดร้อนอีกเสียดายเพียงแค่ เขาเป็นชายที่ถูกตอนแล้ว ไม่สามารถแต่งตั้งให้รับตำแหน่งในราชการได้ ไม่เช่นนั้น...เมื่อเห็นว่าสายตาของเย่จิ่งอวี้เป็นประกาย ฉายแววประหลาด อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อด้วยฐานะของเธอตอนนี้ จะต้องไม่พยายามเป็นจุดสนใจ ดังนั้นเธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปโดยไม่ยั้งค

Latest chapter

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1465 คนแพศยามักจะสำออยแบบนี้แหละ

    ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1464 แพศยาอย่างเธอ

    เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1463 ฉันชื่อเย่จิ่งหลาน

    ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1462 ปีศาจในชุดดำ

    “แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1461 เศษสวะ

    ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1460 ความคิดชั่วร้าย

    ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1459 เรื่องด่วน

    “ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1458 ขายความน่ารัก

    เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง

  • สนมร้างรักขอทวงบัลลังก์   บทที่ 1457 อย่าพูดจาเหลวไหล

    “แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ

DMCA.com Protection Status