เย่จิ่งอวี้รีบพุ่งตัวเดินเข้าไปในห้อง เพียงเหลือบมองก็เห็นรอยขูดนั้นเก่อหงยวนพูด “ครั้งก่อนที่ข้ามายังไม่มี รอยขีดนี้เหมือนยังใหม่มาก อินชิงเสวียนคงไม่ถูกใครลักพาตัวไปหรอกนะ”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วมือกดลงบนรอยเล็กน้อย ใบหน้าก็เปลี่ยนสีทันที“ใหม่มากจริงๆ ข้าจะไปหาท่านตาเดี๋ยวนี้!”ขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนได้อุ้มพิณออกไปจากเป่ยไห่แล้วค่ำคืนอันมืดมิด ดวงดาวไม่กี่ดวงปรากฏวับวาบอยู่ในก้อนเมฆ และลมทะเลรสเค็มพัดผ่านข้างหู ราวกับเสียงผีร้องครวญคราง ทำให้ผู้คนรู้สึกขวัญอ่อนหวาดกลัวนางก็เคยคิดจะถอยเช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงเย่จิ่งหลานที่ทำตามคำขอของนางทุกประการมาตลอด ตัวเองจะเพิกเฉยต่อชีวิตของเขาเพียงเพราะความกลัวในใจได้อย่างไรอินชิงเสวียนยิ่งไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเย่จิ่งอวี้และเจ้าสำนักเซี่ยว หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆ นางไม่มีทางให้อภัยตัวเองตลอดชีวิตเมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ตราบใดที่ได้พบกับผู้ติดต่อ นางจะใช้การช่วงชิงโชคลาภกับพวกเขา ตากนั้นค่อยหาโอกาสนำตัวเย่จิ่งหลานกลับนางตะบึงอย่างบ้าระห่ำตลอดทาง โดยไม่กล้าเสียเวลาแม้เสี้ยวนาทีเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงทางเข้าเมื
เฮ่อฉางเฟิงพูดวาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรม “คุณชายอย่างข้าเป็นห่วงว่านางจะได้รับอันตราย ตอนนี้นางได้พลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นความปลอดภัย ข้ายังต้องออกไปทำไมเล่า?”หยวนเป่าชูนิ้วโป้งขึ้นมาในทันที ฉวยโอกาสนี้เอ่ยว่า “ทำความดีแต่ไม่ประสงค์ออกนาม คุณชายเป็นนักบุญโดยแท้!”เฮ่อฉางเฟิงยกเท้าเตะเขาหนึ่งที“เพิ่งพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว”ระหว่างที่พูด อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เธอก็ตกใจเล็กน้อยนางฆ่าคนเหล่านี้งั้นหรือ? การใช้พิณครั้งก่อน เป็นเพราะว่ามีลูกศิษย์ร่วมทำสงครามด้วยกัน นางจึงไม่รู้ว่าเสียงพิณมีความเก่งกาจถึงระดับไหนกันแน่ ตอนนี้เห็นคนตายเกลื่อนพื้น จึงรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้นางนำพิณการเวกวางไว้ในมิติ และโผร่างบินลงมา จากนั้นก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน นางจะไปตามหาเย่จิ่งหลานจากที่ใดอินชิงเสวียนรีบเข้าไปในกองคนตาย นางตามหาจนพบคนหนึ่งหายใจรวยรินอยู่ คนคนนี้ก็คือชายกำยำที่ปิดบังใบหน้าก่อนหน้านี้อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมหน้าของเขาออก เมื่อเห็นใบหน้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยนี่คือ...
ระหว่างที่อินชิงเสวียนกลับไปที่เป่ยไห่ โมริตะคาวาสึบาเมะได้ตามหาฮั่วเทียนเฉิงพบแล้วเขาจำชื่อของโรงเตี๊ยมเอาไว้ และวิ่งหายวับกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ขณะนั้น ฮั่วเทียนเฉิงกำลังดื่มเหล้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ในใจกำลังครุ่นคิดถึงน้ำฝนที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณว่ามันคือสิ่งใดกันแน่หรือเป็นเพียงแค่ความบังเอิญจริงๆ? แต่ทุกปีก็มีฝนตก ซึ่งไม่เคยเห็นฝนแห่งพลังจิตวิญญาณมาก่อน อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างที่เป่ยไห่เกิดความวุ่นวาย คนดีคนชั่วปะปนกันอยู่ จึงทำให้คิดมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากเกิดขึ้นโดยการกระทำของคน คนผู้นี้ต้องมีพลังเหนือธรรมชาติที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงมีความสามารถในการเรียกฟ้าเรียกฝนได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เขายังสามารถนำพลังจิตวิญญาณเข้าไปในสายฝนได้เมื่อคิดว่าผู้ที่ไปยังเป่ยไห่ล้วนเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้ตงหลิว ฝนครั้งนั้นต้องเป็นฝีมือพวกเขาแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮั่วเทียนเฉิงก็รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาอย่างอดไม่ได้หากสามารถนำผู้นำกลับไปยังตำหนักเทพ บางทีอาจช่วยให้พวกเขาเข้าสู่สวรรค์และได้รับความลับที่ไม่ได้สืบทอดมาจากสมัยโบราณ... เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเกือบ
ไม่นานฟ้าก็สว่าง ไป๋เสวี่ยยังคงวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปด้านหน้าเย่จิ่งอวี้รีบตามหลังไป๋เสวี่ยไปติดๆ และเรียกชื่อของเสวียนเอ๋อร์ทุกย่างก้าวที่เดินแม้เขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจเสียแรงไปเปล่าๆ แต่ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อความหวังใดๆ แม้แต่น้อยและยิ่งสำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไปหากเขาอยู่กับเด็กสาวคนนั้นตลอดเวลา คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเขายึดติดกับความรู้สึกของนางมากเกินไป ทั้งสองคนแบ่งปันความสุขและความเศร้าด้วยกันมานาน ประสบเรื่องราวอีกมากมาย พวกเขาควรพูดกันอย่างชัดเจนและไม่ควรสงสัยมากนักหากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เขาไม่มีทางอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตระหว่างที่เย่จิ่งอวี้แค้นใจในตัวเอง ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็เห่าออกมา ร่างที่ใหญ่โตกระโดดขึ้นสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ราวกับคันศรที่ดีดออกจากธนู พุ่งตรงไปยังด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงสีดอกบัว วิ่งออกไปจากถนนที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่ข้างหน้า ไป๋เสวี่ยกระโจนเข้าไปพอดี ทำให้ผู้หญิงร่างบอบบางถูกทับลงบนพื้นในทันที“โอ๊ย!”อินชิงเสวียนรีบวิ่งมาตลอดทาง แทบไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรกระโดดออกมาตรงหน้า ในขณะที่กำลังจะลงม
“อวี้เอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”เมื่อเห็นทั้งสองคน เจ้าสำนักเซี่ยวก็รีบเดินเข้ามา และมองสำรวจทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขายังคงเรียบร้อย ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็วางใจลงความเป็นห่วงของเจ้าสำนักเซี่ยว ทำให้ทั้งสองอบอุ่นหัวใจ“ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วง ข้าและเสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรขอรับ เถียนเซินหลินผู้นั้นยังอยู่หรือไม่ เขาคือชาวตงหลิว”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เจ้าสำนักเซี่ยวก็พูดด้วยความตกใจว่า “เขาเป็นชาวตงหลิวจริงหรือ?”อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ คนอื่นที่มากับเขาล้วนเป็นชาวตงหลิวทั้งนั้น ท่านตา ตอนนี้เถียนเซินหลินอยู่ที่ใด?”เจ้าสำนักเซี่ยวสีหน้าแย่ทันที“หนีไปแล้ว”ฮั่วเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งพูดขึ้นว่า “เถียนเซินหลินที่พวกท่านพูดถึง ก็คือผู้ที่ใช้วิชาเนตรกับพวกท่านสองสามีภรรยาใช่หรือไม่ ไม่คิดว่าดินแดนเล็กๆ จะสามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้”อินชิงเสวียนจึงเห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าสำนักเซี่ยว เมื่อมองหน้าตาท่าทางของเขาอย่างชัดเจน นางก
อินชิงเสวียนได้นำเย่จิ่งอวี้มายังมุมเหนือของภูเขาที่นี่ห่างไกลและเปลี่ยวมากจริงๆ ด้านข้างเป็นผืนป่าที่รกร้าง และมีหินขรุขระที่แปลกตาจำนวนไม่น้อย“ชาวตงหลิวบอกว่าที่นี่ถูกพวกเขาปลอมแปลงเอาไว้ พร้อมทั้งวางกลไกอยู่ พวกเราลองตามหาให้ละเอียด”ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างมากแล้ว สายตามองเห็นได้อย่างชัดเจนและหาได้ง่ายมากขึ้นทั้งสองแยกกันตามหา พวกเขาหาไปด้วย และตะโกนเรียกชื่อของเย่จิ่งหลานไปด้วยเย่จิ่งหลานกำลังนอนและฝึกฝนตนเองอยู่ในมิติดื่มโคล่า กินมันฝรั่งทอด ในมือถือหนังสือนิยายที่ยังอ่านไม่จบอยู่เล่มหนึ่ง ไม่ต้องถามว่าสบายใจแค่ไหนหวังซุ่นนอนอยู่ข้างๆ เขา ในปากกำลังเคี้ยวป๊อปคอร์นรสคาราเมลเสียงดังจ๊อบแจ๊บ ทำให้เย่จิ่งหลานรำคาญอย่างมาก จึงหันกลับไปด่าว่า “หากยังกินมีเสียงแบบนี้อีก ข้าจะไล่ให้เจ้าไปอยู่ห้องพักอื่นแล้วนะ”หวังซุ่นรีบหุบปากในทันที เขามองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร และใช้สี่ฟันหน้าเคี้ยวเบาๆ ราวกับสุนัขตัวเล็กเย่จิ่งหลานต้องด้วยความโหดเหี้ยม จากนั้นก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียกตัวเองอยู่ด้านนอก จึงลุกขึ้นนั่งในทันที การ
อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไรต่อไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดโบกปลุกชีวิตฟื้นคืนตราบใดที่ยังมีผู้ชายก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะมีประเทศเกาะตงหลิวผุดขึ้นมาอีกหรือไม่ทันใดนั้น สายตาของเย่จิ่งหลานก็ขรึมขึ้น และพูดเสียงเข้มว่า “เก็บเอาไว้ทำไมกัน ชาวตงหลิวต่างสมควรตาย!”หวังซุ่นรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ หันหน้ามองไปที่เย่จิ่งหลานทันใดนั้น เย่จิ่งหลานก็หันมายิ้มให้เขา“วางใจได้ ข้าจะเก็บรักษาหัวของเจ้าเป็นอย่างดี”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”หวังซุ่นฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มกลับมีความฝืนเล็กน้อยอินชิงเสวียนเหลือบมองหวังซุ่น และมองไปที่เย่จิ่งอวี้กลับพบว่าตาคมคู่นั้นมองไปยังด้านหน้า สายตาดูคลุมเครือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัดลงในทันที ทั้งสี่คนต่างคิดเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีกขณะเดียวกันนั้น บนไหล่เขาทางตอนใต้ เด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีปรากฏตัวขึ้นเด็กหนุ่มร่างกายผอมเซียว หน้าตาธรรมดา ไม่ได้อัปลักษณ์แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลา เขาสวมชุดเสื้อผ้าหยาบที่ซอมซ่อ กำลังก้มหน้ามองเย่จิ่งอวี้และคนอื่นๆสายตาของเด็กห
เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง มือใหญ่กุมท้ายทอยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ทำให้นางแนบอยู่บนไหล่ของตัวเองเขาพูดเสียงเบาที่ข้างหูของนางว่า “ข้ารู้ นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากไม่ผ่านเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ เสวียนเอ๋อร์คงไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ทุกสิ่ง... เพราะข้าเป็นคนทำ!”อินชิงเสวียนผลักเขาออกเล็กน้อย เมื่อมองดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยก็พูดว่า “คำพูดของข้าไม่ได้มีความหมายอย่างที่ท่านคิด ข้าหมายความว่า ข้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง”นางมองเย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “อาอวี้ อินชิงเสวียนที่แต่งงานกับท่านตายไปในวังเย็นแล้ว นางสิ้นใจขณะให้กำเนิดลูก ข้าคืออีกคนหนึ่งที่ใช้ร่างของนางมายังโลกใบนี้”เย่จิ่งอวี้ตกใจในทันที รูม่านตาก็หดลงอย่างรุนแรง“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเพ้ออะไรกัน?”สีหน้าของอินชิงเสวียนสงบเงียบ วินาทีที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดก็หายไปในทันที และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือความรู้สึกยินดีที่หายไปนานนางคิดมาตลอดว่าคนที่รักกัน ควรมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีเรื่องใดปิดบังต่อกัน หลายวันก่อน นางก็เคยพูดคำเหล่านี้กับเย่
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี