อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไรต่อไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดโบกปลุกชีวิตฟื้นคืนตราบใดที่ยังมีผู้ชายก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะมีประเทศเกาะตงหลิวผุดขึ้นมาอีกหรือไม่ทันใดนั้น สายตาของเย่จิ่งหลานก็ขรึมขึ้น และพูดเสียงเข้มว่า “เก็บเอาไว้ทำไมกัน ชาวตงหลิวต่างสมควรตาย!”หวังซุ่นรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ หันหน้ามองไปที่เย่จิ่งหลานทันใดนั้น เย่จิ่งหลานก็หันมายิ้มให้เขา“วางใจได้ ข้าจะเก็บรักษาหัวของเจ้าเป็นอย่างดี”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”หวังซุ่นฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มกลับมีความฝืนเล็กน้อยอินชิงเสวียนเหลือบมองหวังซุ่น และมองไปที่เย่จิ่งอวี้กลับพบว่าตาคมคู่นั้นมองไปยังด้านหน้า สายตาดูคลุมเครือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัดลงในทันที ทั้งสี่คนต่างคิดเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีกขณะเดียวกันนั้น บนไหล่เขาทางตอนใต้ เด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีปรากฏตัวขึ้นเด็กหนุ่มร่างกายผอมเซียว หน้าตาธรรมดา ไม่ได้อัปลักษณ์แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลา เขาสวมชุดเสื้อผ้าหยาบที่ซอมซ่อ กำลังก้มหน้ามองเย่จิ่งอวี้และคนอื่นๆสายตาของเด็กห
เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง มือใหญ่กุมท้ายทอยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ทำให้นางแนบอยู่บนไหล่ของตัวเองเขาพูดเสียงเบาที่ข้างหูของนางว่า “ข้ารู้ นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากไม่ผ่านเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ เสวียนเอ๋อร์คงไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ทุกสิ่ง... เพราะข้าเป็นคนทำ!”อินชิงเสวียนผลักเขาออกเล็กน้อย เมื่อมองดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยก็พูดว่า “คำพูดของข้าไม่ได้มีความหมายอย่างที่ท่านคิด ข้าหมายความว่า ข้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง”นางมองเย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “อาอวี้ อินชิงเสวียนที่แต่งงานกับท่านตายไปในวังเย็นแล้ว นางสิ้นใจขณะให้กำเนิดลูก ข้าคืออีกคนหนึ่งที่ใช้ร่างของนางมายังโลกใบนี้”เย่จิ่งอวี้ตกใจในทันที รูม่านตาก็หดลงอย่างรุนแรง“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเพ้ออะไรกัน?”สีหน้าของอินชิงเสวียนสงบเงียบ วินาทีที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดก็หายไปในทันที และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือความรู้สึกยินดีที่หายไปนานนางคิดมาตลอดว่าคนที่รักกัน ควรมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีเรื่องใดปิดบังต่อกัน หลายวันก่อน นางก็เคยพูดคำเหล่านี้กับเย่
อินชิงเสวียนน้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกินกว่าความจริง เล่าเป็นเรื่องเป็นราวอย่างละเอียดมือคู่หนึ่งกลับกอดเข่าแน่นมากยิ่งขึ้น ไหล่บางก็สั่นเทิ้มเล็กน้อยท่ามกลางความสัมพันธ์นี้ นางก็เสียสละเช่นกัน และผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เป็นผู้ชายคนแรกที่มีความหมายต่อนางอย่างแท้จริงแม้การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยใหม่ แต่จุดจบของการแต่งงานก็ทำให้คนต้องเสียใจเช่นกันแม้อินชิงเสวียนไม่ถึงขนาดปลงไม่ตกเหมือนคนสมัยโบราณ แต่หากได้ฟังคำตอบนั้นจริงๆ นางยังคงรู้สึกเสียใจและผิดหวังมากนางในตอนนี้ราวกับนักโทษที่กำลังรอคนตัดสินโทษประหาร แต่ใบมีดที่อยู่บนศีรษะกลับยังไม่ฟันลงมาเสียทีนางไม่กล้าหันหลังกลับ และไม่กล้ามองหน้าของเย่จิ่งอวี้ ทำได้เพียงกลั้นลมหายใจ และรอคอยอย่างอดทนด้านหลังของนางประมาณสามก้าว เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงที่นิ่งดุจสายน้ำของเด็กสาว เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเพียงพริบตาเดียว ทุกสิ่งทั้งหมดก็ชัดเจนขึ้นมากไม่แปลกที่ทุกคนต่างรู้สึกว่านิสัยของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไป ไม่แปลกที่ทุกครั้งที่นางพูดถึงฮว๋าเซี
นิ้วมือของเย่จิ่งอวี้เลื่อนเข้าไปในคอเสื้อ ความรู้สึกหยาบกร้านจากการลูบไล้ ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกสั่นสะท้าน และหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้พูดเสียงสั่นว่า “อาอวี้ อย่าเล่นซนนะ เช่นนี้จะไม่ดีต่อลูก”อินชิงเสวียนหดร่างกาย น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการวิงวอน และนางก็จับมือที่ซุกซนเอาไว้แน่นลักษณะท่าทางเขินอายของนาง กลับยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้มีความปรารถนาเพิ่มมากขึ้น เขาอยากจับเด็กสาวคนนี้กดลงบนพื้นหญ้า และกลั่นแกล้งนางด้วยความรุนแรง“ข้าจะพาจ้าวเอ๋อร์ออกไปส่งด้านนอก”เย่จิ่งอวี้หอบหายใจครู่หนึ่ง พยายามกดเสียงแหบพร่าในลำคอแล้วพูดว่า “ท่านแม่คงกำลังรอจ้าวเอ๋อร์อยู่”“อย่านะเพคะ นานๆ จะได้อยู่กับลูก ท่านอย่าได้คิดแผนร้ายเด็ดขาด”อินชิงเสวียนคว้ามือของเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ชายผู้นั้นกลับเคลื่อนตัวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วพูดอย่างฮึกเหิมว่า “เมื่อมีความปรารถนา จึงแสวงหาหญิงรักผู้งดงาม เรื่องธรรมดาที่พบเห็นเป็นอาจิณ”ร่างกายของอินชิงเสวียนอ่อนไหวเป็นอย่างมาก จึงร้องตกใจและพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “อาอวี้ ท่านอย่าเล่นซนนะ”เย่จิ่งอวี้จึงต้องชักมือกลับไปด้วยความเสียดาย ความรู้สึกนุ่มนวลท
อินชิงเสวียนตกใจตื่นขึ้นมาทันที และเหงื่อเย็นก็ไหล่ท่วมทั้งตัวด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงยังคงหลับอยู่ ร่างที่อวบอ้วนนอนตะแคงด้านข้าง น่องทั้งสองพับเข้าหากัน และผ้าห่มผืนเล็กที่คลุมตัวไว้ก็ถูกเตะออกไปอีกด้านอินชิงเสวียนห่มผ้าให้เขาใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกตกใจกลัวยังไม่หายไปเหตุใดจู่ๆ ตัวเองถึงฝันเช่นนี้ได้?เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ในความฝัน คือเสื้อผ้าที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งนางไม่มีทางทำทรงผมที่สวยงามเช่นนั้นได้เมื่อลองเปลี่ยนมุมมองความคิด ความฝันคือสิ่งที่ไร้ข้อจำกัด ฝันเห็นอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คงเป็นเพราะตัวเองคิดถึงคุณย่ามากเกินไป จึงได้ฝันเห็นเธอเมื่อคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงบขึ้นมาทันที นางพนมมือและหลับตาอธิษฐานหวังว่าเทวดาจะคุ้มครองและปกปักรักษา ครอบครัวของอารอง ลูกพี่ลูกน้องชายและสะใภ้จะดูแลเธอเป็นอย่างดี เพื่อให้คุณย่ามีความสุขในบั้นปลายของชีวิต!เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด อินชิงเสวียนก็รีบวางมือลง เซี่ยวอิ๋นหวนหิ้วกล่องอาหารเข้ามาจากด้านนอก“ได้ยินอวี้เอ๋อร์บอกว่าเจ้าหลับแล้ว ข้าจึงไม่กล้าเข้ามาดู แต่กลัวว่าเจ้าจะหิว เพราะความอดไม่ได้จึงแ
“บังอาจ กล้าดีอย่างไรบุกเข้ามาในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์!”ลูกศิษย์หลายคนที่เฝ้าประตูต่างก็ชักดาบยาวออกมา และล้อมชายคนนั้นเอาไว้อินชิงเสวียนมองรูปร่างที่คุ้นตาของชายผู้นั้น และเดินเข้าไปหาเมื่อมองใบหน้าด้านข้างของเชา อินชิงเสวียนก็แทบไม่อยากเชื่อ“พี่ใหญ่?”ลูกศิษย์ได้ยินดังนั้นก็หันกลับมา“แม่นางอินรู้จักชายผู้นี้ด้วยหรือ?”อินชิงเสวียนจึงพยุงเขาขึ้นมา“พวกเจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจได้ นี่คือพี่ชายของข้า เขาเดินทางไกลนับพันลี้มาที่นี่ ต้องการมาหาข้าอย่างแน่นอน”“เช่นนี้นี่เอง”คนเหล่านั้นจึงรีบยกอินสิงอวิ๋นเข้าไปในห้องอินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมา และป้อนให้อินสิงอวิ๋นหนึ่งแก้วเพียงครู่หนึ่ง เขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นใบหน้าของอินชิงเสวียนที่อยู่ตรงหน้าก็ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อินสิงอวิ๋นจึงจับมือของนางด้วยความตื่นเต้น“น้องใหญ่ ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ!”อินชิงเสวียนกุมมือเขาตอบ ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พี่ใหญ่ถึงเป่ยไห่ได้อย่างไร หรือว่าเกิดเรื่องอะไรที่บ้าน?”“พี่สะใภ้ของเจ้านาง... น้องใหญ่รีบช่วยนางด้วยนะ!”อินสิงอวิ๋นพยายามลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นว่าบนเตียงมี
ระหว่างที่สองคนพูดคุยกัน อินชิงเสวียนได้นำเป่าเล่อเอ่อร์มายังห้องพักของเย่จิ่งหลาน“รีบตรวจให้นางหน่อยสิ ดูว่ามีโรคเกิดจากสารอินทรีย์หรือไม่?”เย่จิ่งหลานกำลังอ่านนิยายอยู่ในห้อง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนอุ้มคนหนึ่งเข้ามา เขาจึงกลอกตาแล้วพูดว่า “ใครอีกเนี่ย?”“องค์หญิงน้อยแห่งเจียงวู เป่าเล่อเอ่อร์”อินชิงเสวียนพูดรวบรัดชัดเจนนางก็ไม่ได้อยากทรมานเย่จิ่งหลาน แต่คิดว่าการได้ตรวจสักหน่อยก็จะทำให้สบายใจยิ่งขึ้น หากเป็นเพียงแค่หนอนกู่ก่อกวน นางค่อยไปหาเซี่ยวอิ๋นหวนก็ยังไม่สาย“หา? นางมาถึงเป่ยไห่ได้อย่างไร?”เย่จิ่งหลานโยนนิยายลง ค้ำเตียงและลุกขึ้นนั่ง“เป็นเพราะนังสารเลวจูอวี้เหยียนก่อเรื่องเอาไว้”อินชิงเสวียนนำเรื่องที่เป่าเล่อเอ่อร์มีพิษกู่ในร่างกาย และเรื่องที่แท้งลูกเล่าให้เขาฟังคร่าวๆเย่จิ่งหลานด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ “นังดอกทองนั่นช่างขาดศีลธรรมจริงๆ โชคดีที่นางตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำร้ายผู้อื่นอีกกี่คน”เขายกมือเรียกมิติห้องรักษา แต่สองเท้ายังขยับได้ไม่สะดวกนัก อินชิงเสวียนรีบพูดว่า “เจ้าไม่ต้องลุก บอกข้าว่าเครื่องมือใช้อย่างไรก็พอแล้ว?”เย่จิ่งหลานเลิกดวงตาหั
อินชิงเสวียนกระแอมแล้วพูดว่า “ข้าพูดสิ่งใดไว้งั้นหรือ ทำไมข้าจำไม่ได้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้โกรธขึ้นมาทันที“ไม่รักษาคำพูด จะเป็นปัญญาชนที่ดีได้อย่างไร?”อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่ปัญญาชนเสียหน่อย ข้าไม่สนใจหรอกว่าสิ่งใดเป็นไปได้หรือไม่ได้”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปจั๊กจี้นาง อินชิงเสวียนยิ้มและวิ่งหนีทันทีเย่จิ่งอวี้ยกเท้าเตรียมวิ่งตาม จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติอินชิงเสวียนก็ยืนนิ่งเช่นกัน พร้อมส่งสัญญาณให้ข้า เย่จิ่งอวี้ใจตรงกันและเข้าใจในทันทีเขาเดินสองสามก้าวไปยังอินชิงเสวียน ยิ้มแล้วถามว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพิณ เสวียนเอ๋อร์เป็นผู้บรรเลงใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนเอื้อมมือหยิบพิณการเวกออกมา และพูดด้วยความภูมิใจว่า “เจ้าค่ะ นั่นคือบทเพลงที่ข้าเพิ่งเรียนรู้ใหม่”เย่จิ่งอวี้เอ่ยชม “บทเพลงนี้สุกสว่างดั่งจันทร์ฉาย ราวกับบทเพลงเซียนเทพที่เข้ามาในหู ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข เพียงแต่บรรเลงที่นี่คงไม่เหมาะสมนัก”อินชิงเสวียนอุ้มพิณและถามเสียงอ้อนว่า “เช่นนั้นควรไปบรรเลงที่ใดดีเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มด้วยความรัก“หากมีเสียงคลื่นคอยประสาน นั่น
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี