อินชิงเสวียนกระแอมแล้วพูดว่า “ข้าพูดสิ่งใดไว้งั้นหรือ ทำไมข้าจำไม่ได้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้โกรธขึ้นมาทันที“ไม่รักษาคำพูด จะเป็นปัญญาชนที่ดีได้อย่างไร?”อินชิงเสวียนเม้มปากยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ใช่ปัญญาชนเสียหน่อย ข้าไม่สนใจหรอกว่าสิ่งใดเป็นไปได้หรือไม่ได้”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปจั๊กจี้นาง อินชิงเสวียนยิ้มและวิ่งหนีทันทีเย่จิ่งอวี้ยกเท้าเตรียมวิ่งตาม จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความผิดปกติอินชิงเสวียนก็ยืนนิ่งเช่นกัน พร้อมส่งสัญญาณให้ข้า เย่จิ่งอวี้ใจตรงกันและเข้าใจในทันทีเขาเดินสองสามก้าวไปยังอินชิงเสวียน ยิ้มแล้วถามว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงพิณ เสวียนเอ๋อร์เป็นผู้บรรเลงใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนเอื้อมมือหยิบพิณการเวกออกมา และพูดด้วยความภูมิใจว่า “เจ้าค่ะ นั่นคือบทเพลงที่ข้าเพิ่งเรียนรู้ใหม่”เย่จิ่งอวี้เอ่ยชม “บทเพลงนี้สุกสว่างดั่งจันทร์ฉาย ราวกับบทเพลงเซียนเทพที่เข้ามาในหู ทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข เพียงแต่บรรเลงที่นี่คงไม่เหมาะสมนัก”อินชิงเสวียนอุ้มพิณและถามเสียงอ้อนว่า “เช่นนั้นควรไปบรรเลงที่ใดดีเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มด้วยความรัก“หากมีเสียงคลื่นคอยประสาน นั่น
เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน ร่างของหลายคนกระโจนเข้าไปหาอินชิงเสวียน“สุนัขชั้นต่ำที่ไหนกัน!”เย่จิ่งอวี้พูดตะโกนด้วยความโมโห เขาพุ่งขึ้นมากลางอากาศ ลมที่ฝ่ามือมืดฟ้ามัวดิน กวาดชาวตงหลิวหลายคนชาวตงหลิวรีบแยกจากกันทันที ลำเลียงพลังฝ่ามือส่วนใหญ่ จากนั้นก็รวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง และแตกออกเป็นชิ้นๆอาวุธลับที่มีรูปร่างแปลกประหลาดมากมาย บินออกมาจากในมือของพวกเขา ปกคลุมทั้งสองไว้จนไม่เหลือช่องว่างเย่จิ่งอวี้สะบัดดาบออกมา เสียงกระทบกันกลางอากาศดังแกร๊งโมริตะคาวาสึบาเมะหลบอยู่ในที่มืดตลอดเวลา จ้องหาโอกาสจะเข้าไปชิงพิณ เดิมทียังเป็นห่วงว่าทุกคนจะได้รับผลกระทบจากเสียงพิณ โชคดีที่อินชิงเสวียนกอดพิณการเวกไว้แน่น และยังไม่บรรเลงออกมาในชั่วพริบตาก็เกิดการต่อสู้กันหลายสิบกระบวนท่าแม้ว่าเย่จิ่งอวี้มีวรยุทธ์ที่สูงส่ง แต่น่าเสียดายที่เสือไม่อาจต้านทานฝูงหมาป่าได้ หลังจากนั้นสิบห้านาทีก็เผยให้เห็นความพ่ายแพ้“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าไปก่อน ปกป้องพิณการเวกให้ดี”เย่จิ่งอวี้หันกลับมาตะโกนบอก แขนเสื้อกลับถูกกรีดด้วยมีดสั้น มีเลือดไหลออกมา แขนเสื้อและข้อมือก็กลายเป็นสีแดงทันที“อาอวี้”อินชิ
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”เจ้าสำนักเซี่ยวนิสัยโผงผาง ไม่สนใจว่าแอบฟังอะไรจากด้านนอกได้บ้าง จึงเดินเข้ามาอย่างโจ่งแจ้งฉุยอวี้ได้ยินเสียงฝีเท้า คิดว่าเป็นเพียงลูกศิษย์ของสำนักกระบี่สังหาร ไม่คิดว่าผู้มาเยือนคือเจ้าสำนักเซี่ยวจึงประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “เจ้าสำนักเซี่ยว สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”สายตาของเจ้าสำนักเซี่ยวเหลือบมองฉุยอวี้ด้วยความเย็นชา และถามอย่างไม่เกรงใจว่า “เวลาดึกดื่นเช่นนี้ เจ้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด?”เฮ่ออวิ๋นทงรู้สึกอึดอัดอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงที่ใช่ถามของเหล่าเซี่ยว ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกคนจับผิดเรื่องศีลธรรมอย่างน่าประหลาดรู้จักกันมานานหลายปี เขารู้จักนิสัยของเจ้าสำนักเซี่ยวเป็นอย่างดี หากตัวเองพูดอะไรออกไปในตอนนี้ จะยิ่งทำให้เหล่าเซี่ยวโกรธมากกว่าเดิม จึงหยิบแก้วขึ้นมาและค่อยๆ ดื่มชาฉุยอวี้กระแอมไอและพูดว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเจรจาเรื่องการโจมตีตงหลิว”เจ้าสำนักเซี่ยวฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ พูดด้วยความโมโหว่า “ฉุยอวี้ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนหูหนวกงั้นหรือ เจ้าคิดอย่างไร คิดว่าข้าไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้งั้นหรือ หากเข้ากล้าแย่งโจมตีคนของตงหลิวจากมือของข้า
เมื่อได้ยินเฮ่ออวิ๋นทงกล่าวชมเชยอินชิงเสวียนเช่นนี้ ในที่สุดใบหน้าของเจ้าสำนักเซี่ยวก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยถามเสียงเรียบว่า “ฉุยอวี้มาที่นี่ มีเรื่องอะไรกันแน่?”เฮ่ออวิ๋นทงรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องถาม“เหล่าเซี่ยวเคยได้ยินตำหนักเทพหอทองคำหรือไม่?”เจ้าสำนักเซี่ยวเลิกคิ้วยาวที่ขาวโพลนของเขา“ตำหนักเทพหอทองคำและเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง เรียกได้ว่าเป็นสองสำนักอมตะที่ซ่อนตัวอยู่ นอกจากนี้ยังถือได้ว่าเป็นการมีอยู่ที่ลึกลับที่สุดในโลก ข่าวลือเล่าว่าทั้งสองแห่งมีหอตำรามากมายนับไม่ถ้วน ส่วนมากเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ เป็นสถานที่ที่ชาวยุทธจักรจำนวนมากใฝ่ฝันหา แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับฉุยอวี้?”เจ้าสำนักเฮ่อลูบเคราแล้วพูดว่า “สถานที่ที่นางเชิญข้าไปก็คือตำหนักเทพหอทองคำ”“หา? นางรู้จักที่นี่ด้วยงั้นหรือ?”เจ้าสำนักเซี่ยวถามด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเจ้าสำนักเฮ่อพูดหัวเราะเยาะว่า “ท่านคงไม่มีความสนใจต่อที่แห่งนี้หรอกนะ?”เจ้าสำนักเซี่ยวทำเสียงฮึดฮัดและพูดว่า “ข้าอายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่มีใจที่จะแก่งแย่งชิงดีกับใครหรอก การมาที่เป่ยไห่ สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือการทำลายพวกผีแคระตง
ขณะนั้นเอง เย่จิ่งอวี้ได้นำอินชิงเสวียนกลับมายังหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เดิมทีอินชิงเสวียนต้องการไปดูเป่าเล่อเอ่อร์ แต่ไฟในห้องถูกดับแล้วเย่จิ่งอวี้จึงพูดเสียงเบาว่า “วันนี้ไม่ต้องไปรบกวนพวกเขาแล้ว การเดินทางที่แสนยาวนาน พวกเขาคงเพลียแย่แล้ว”หนอนกู่ของเป่าเล่อเอ่อร์เพิ่งถูกกำจัด นางจะเป็นต้องพักผ่อนให้มาก เมื่อคิดได้เช่นนี้อินชิงเสวียนก็พยักหน้า“เพคะ พวกเราไปพักผ่อนในมิติดีกว่า”เย่จิ่งอวี้ยิ้ม“ดีเลย”ทันทีที่อินชิงเสวียนคิดภาพ ทั้งสองก็ปรากฏตัวอยู่ด้านในมิติ“อาอวี้เจ็บแผลอยู่หรือไม่?”“แผลภายนอกไม่มีอะไรหรอก ล้างด้วยน้ำพุวิญญาณก็ดีขึ้นมากแล้ว”เย่จิ่งอวี้ปลดผ้าพันแผลสีขาวบนแขนเสื้อออก ปรากฏว่าบาดแผลตกสะเก็ดเรียบร้อยแล้วอินชิงเสวียนจึงวางใจลง เมื่อเห็นว่าพืชผลในมิติเติบโตเต็มที่แล้ว จึงทำการหว่านและเก็บเกี่ยว และเมล็ดพืชก็ถูกบดเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเย่จิ่งอวี้เพิ่งเคยเห็นอินชิงเสวียนเก็บเกี่ยวมิติเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าผลไม้ทั้งหมดร่วงหล่อลงมาเอง และถูกวางไว้ข้างๆ อย่างเป็นระเบียบ เปลือกข้าวสาลีก็ถูกแยกและบรรจุถุงด้วยตัวเอง เขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้ว
เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยน้ำเสียงที่คล้ายระฆังใหญ่ “ไม่ต้องพิธีรีตอง”อินชิงเสวียนยืดตัวตรง และพูดแนะนำพวกเขาเหล่านี้ “นี่คือท่านพี่ของข้าอินสิงอวิ๋น และพี่สะใภ้ของข้าเป่าเล่อเอ่อร์ ทั้งสองท่านนี้ก็คือเจ้าสำนักเซี่ยวและผู้คุมตราเซี่ยวของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ และเป็นท่านแม่ผู้ให้กำเนิดฝ่าบาท”อินสิงอวิ๋นตกใจเป็นอย่างมากหลายปีก่อนหวนไท่เฟยป่วยจนสิ้นพระชนม์ เรื่องนี้ทุกคนต่างทราบกันเป็นอย่างดี ไม่คิดว่าตอนนี้นางยังนั่งอยู่ที่นี่อย่างสบายดี และยังเป็นผู้คุมตราของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เมื่อเห็นว่าอินสิงอวิ๋นยืนนิ่งไม่ขยับ เป่าเล่อเอ่อร์จึงดึงแขนเสื้อของเขาเบาๆอินสิงอวิ๋นได้สติกลับมาทันที และพูดอย่างเคารพว่า “อินสิงอวิ๋นและภรรยาขอคำนับเจ้าสำนักเซี่ยว คำนับไท่เฟย ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองที่เมตตาและช่วยชีวิตเอาไว้”เซี่ยวอิ๋นหวนยิ้มด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก“ไม่ต้องเกรงใจ ผู้ที่ช่วยเจ้าไม่ใช่ข้า แต่เป็นเสวียนเอ๋อร์”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดต่อว่า “ในเมื่อมาแล้วก็พักสักสองสามวันก่อน ดูขนบธรรมเนียมและประเพณีของที่นี่ก็ดีเช่นกัน สองวันนี้ไม่มีธุระอะไร ให้อาอวี้และเสวียนเอ๋อร์พาพวกเ
อินสิงอวิ๋นกล่าวอย่างปลงอนิจจัง“ที่ตระกูลอินสามารถมีชีวิตสงบสุขได้ เพราะได้รับความช่วยเหลือจากน้องหญิงใหญ่ ว่ากันตามตรง ตระกูลอินต่างหากที่ติดค้างเจ้ามากมาย”อินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มสงบ “ไม่มีอะไรติดค้างหรือไม่ติดค้างหรอก ทั้งหมดนี้ข้าล้วนทำด้วยความเต็มใจ เป่าเล่อเอ่อร์คงจะตื่นแล้ว พี่ใหญ่รีบไปอยู่กับนางดีกว่าเจ้าค่ะ”“ได้ งั้นข้ากลับก่อนนะ”อินสิงอวิ๋นเหลือบมองน้องสาวอย่างซาบซึ้ง จากนั้นรีบกลับไปที่ห้อง ตัดสินใจในใจว่า เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ทุกคนจะกลับไปเมืองหลวงด้วยกันเปาะแปะๆ เสียงปรบมือดังขึ้นเสียงแสบๆ พูดว่า “จุ๊ จุ๊ จุ๊ พวกเจ้าพี่น้องรักกันลึกซึ้งจริงๆ”พออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นเย่จิ่งหลานที่กำลังถือไม้ค้ำยันของเด็กทันที“เอ็นร้อยหวายขาดแล้วยังไม่พักผ่อนดีๆ วิ่งออกมาทำอะไร”เย่จิ่งหลานก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วพูดว่า “คนที่บ้านของเจ้ามาไม่ใช่หรือ ข้าต้องออกมาทักทายหน่อย ถือโอกาสออกมาสูดอากาศด้วย”อินชิงเสวียนร้องชิ แล้วเอื้อมมือไปพยุงเขา“ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า”“ไม่เจ็บแล้ว แต่ข้าควรใช้ไม้เท้าสักสองวันดีกว่า เอ็นร้อยหวา
“คุณชายสุดยอดมาก บทกวีที่คุณชายท่องช่างมีศิลปะมาก ข้าคิดว่าทิวทัศน์ตรงนั้นดีกว่า เราไปดูดีหรือไม่”“แน่นอน”เสียงชัดเจนดังออกมาจากด้านหลังแนวหิน แล้วร่างหนึ่งในเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนก็เดินออกมาจากด้านหลังก้อนหินชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง บนศีรษะกลัดด้วยปิ่นกลัดมวยผมหยกสีขาวสง่า ประหนึ่งสายลมสีขาวพัดเอื่อยๆ ทะเลครามฟ้าใส ทำให้คนรู้สึกสดชื่นเมื่ออินชิงเสวียนหันไปมอง คุณชายผู้นั้นก็เห็นนาง แสดงท่าทางประหลาดใจในทันใด“แม่นางอิน เราพบกันอีกแล้ว!”หยวนเป่าพึมพำเสียงแผ่วเบาจากด้านหลัง “คุณชายตามแม่นางผู้นี้มาไม่ใช่หรือ ยังมาแกล้งทำอยู่นี่อีก”เฮ่อฉางเฟิงดีดนิ้ว ถั่วลิสงขนาดเท่าเล็บมือก็ลอยออกมาจากปลายนิ้ว และกระแทกโดนจุดใบ้ของหยวนเป่า หยวนเป่าเงียบลงทันทีเขากังวลจนเต้นแร้งเต้นกา กระโดดไปอยู่ข้างหน้าเฮ่อฉางเฟิง แต่ถูกดึงออกไปอย่างไม่ไยดี“อยู่เฉยๆ ไม่อย่างนั้นตลอดชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะพูดได้อีก”หางตาของหยวนเป่าหรี่ลงทันที แล้วเดินตามอยู่ข้างๆ ด้วยความเคารพเฮ่อฉางเฟิงเดินไปหาอินชิงเสวียนด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “แม่นางอิน ไม่เจอกันนานสบายดีหรือไม่!”
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ