ไม่นานฟ้าก็สว่าง ไป๋เสวี่ยยังคงวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปด้านหน้าเย่จิ่งอวี้รีบตามหลังไป๋เสวี่ยไปติดๆ และเรียกชื่อของเสวียนเอ๋อร์ทุกย่างก้าวที่เดินแม้เขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจเสียแรงไปเปล่าๆ แต่ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อความหวังใดๆ แม้แต่น้อยและยิ่งสำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไปหากเขาอยู่กับเด็กสาวคนนั้นตลอดเวลา คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเขายึดติดกับความรู้สึกของนางมากเกินไป ทั้งสองคนแบ่งปันความสุขและความเศร้าด้วยกันมานาน ประสบเรื่องราวอีกมากมาย พวกเขาควรพูดกันอย่างชัดเจนและไม่ควรสงสัยมากนักหากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เขาไม่มีทางอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตระหว่างที่เย่จิ่งอวี้แค้นใจในตัวเอง ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็เห่าออกมา ร่างที่ใหญ่โตกระโดดขึ้นสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ราวกับคันศรที่ดีดออกจากธนู พุ่งตรงไปยังด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงสีดอกบัว วิ่งออกไปจากถนนที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่ข้างหน้า ไป๋เสวี่ยกระโจนเข้าไปพอดี ทำให้ผู้หญิงร่างบอบบางถูกทับลงบนพื้นในทันที“โอ๊ย!”อินชิงเสวียนรีบวิ่งมาตลอดทาง แทบไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรกระโดดออกมาตรงหน้า ในขณะที่กำลังจะลงม
“อวี้เอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”เมื่อเห็นทั้งสองคน เจ้าสำนักเซี่ยวก็รีบเดินเข้ามา และมองสำรวจทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขายังคงเรียบร้อย ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็วางใจลงความเป็นห่วงของเจ้าสำนักเซี่ยว ทำให้ทั้งสองอบอุ่นหัวใจ“ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วง ข้าและเสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรขอรับ เถียนเซินหลินผู้นั้นยังอยู่หรือไม่ เขาคือชาวตงหลิว”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เจ้าสำนักเซี่ยวก็พูดด้วยความตกใจว่า “เขาเป็นชาวตงหลิวจริงหรือ?”อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ คนอื่นที่มากับเขาล้วนเป็นชาวตงหลิวทั้งนั้น ท่านตา ตอนนี้เถียนเซินหลินอยู่ที่ใด?”เจ้าสำนักเซี่ยวสีหน้าแย่ทันที“หนีไปแล้ว”ฮั่วเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งพูดขึ้นว่า “เถียนเซินหลินที่พวกท่านพูดถึง ก็คือผู้ที่ใช้วิชาเนตรกับพวกท่านสองสามีภรรยาใช่หรือไม่ ไม่คิดว่าดินแดนเล็กๆ จะสามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้”อินชิงเสวียนจึงเห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าสำนักเซี่ยว เมื่อมองหน้าตาท่าทางของเขาอย่างชัดเจน นางก
อินชิงเสวียนได้นำเย่จิ่งอวี้มายังมุมเหนือของภูเขาที่นี่ห่างไกลและเปลี่ยวมากจริงๆ ด้านข้างเป็นผืนป่าที่รกร้าง และมีหินขรุขระที่แปลกตาจำนวนไม่น้อย“ชาวตงหลิวบอกว่าที่นี่ถูกพวกเขาปลอมแปลงเอาไว้ พร้อมทั้งวางกลไกอยู่ พวกเราลองตามหาให้ละเอียด”ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างมากแล้ว สายตามองเห็นได้อย่างชัดเจนและหาได้ง่ายมากขึ้นทั้งสองแยกกันตามหา พวกเขาหาไปด้วย และตะโกนเรียกชื่อของเย่จิ่งหลานไปด้วยเย่จิ่งหลานกำลังนอนและฝึกฝนตนเองอยู่ในมิติดื่มโคล่า กินมันฝรั่งทอด ในมือถือหนังสือนิยายที่ยังอ่านไม่จบอยู่เล่มหนึ่ง ไม่ต้องถามว่าสบายใจแค่ไหนหวังซุ่นนอนอยู่ข้างๆ เขา ในปากกำลังเคี้ยวป๊อปคอร์นรสคาราเมลเสียงดังจ๊อบแจ๊บ ทำให้เย่จิ่งหลานรำคาญอย่างมาก จึงหันกลับไปด่าว่า “หากยังกินมีเสียงแบบนี้อีก ข้าจะไล่ให้เจ้าไปอยู่ห้องพักอื่นแล้วนะ”หวังซุ่นรีบหุบปากในทันที เขามองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร และใช้สี่ฟันหน้าเคี้ยวเบาๆ ราวกับสุนัขตัวเล็กเย่จิ่งหลานต้องด้วยความโหดเหี้ยม จากนั้นก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียกตัวเองอยู่ด้านนอก จึงลุกขึ้นนั่งในทันที การ
อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไรต่อไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดโบกปลุกชีวิตฟื้นคืนตราบใดที่ยังมีผู้ชายก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะมีประเทศเกาะตงหลิวผุดขึ้นมาอีกหรือไม่ทันใดนั้น สายตาของเย่จิ่งหลานก็ขรึมขึ้น และพูดเสียงเข้มว่า “เก็บเอาไว้ทำไมกัน ชาวตงหลิวต่างสมควรตาย!”หวังซุ่นรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ หันหน้ามองไปที่เย่จิ่งหลานทันใดนั้น เย่จิ่งหลานก็หันมายิ้มให้เขา“วางใจได้ ข้าจะเก็บรักษาหัวของเจ้าเป็นอย่างดี”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”หวังซุ่นฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มกลับมีความฝืนเล็กน้อยอินชิงเสวียนเหลือบมองหวังซุ่น และมองไปที่เย่จิ่งอวี้กลับพบว่าตาคมคู่นั้นมองไปยังด้านหน้า สายตาดูคลุมเครือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัดลงในทันที ทั้งสี่คนต่างคิดเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีกขณะเดียวกันนั้น บนไหล่เขาทางตอนใต้ เด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีปรากฏตัวขึ้นเด็กหนุ่มร่างกายผอมเซียว หน้าตาธรรมดา ไม่ได้อัปลักษณ์แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลา เขาสวมชุดเสื้อผ้าหยาบที่ซอมซ่อ กำลังก้มหน้ามองเย่จิ่งอวี้และคนอื่นๆสายตาของเด็กห
เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง มือใหญ่กุมท้ายทอยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ทำให้นางแนบอยู่บนไหล่ของตัวเองเขาพูดเสียงเบาที่ข้างหูของนางว่า “ข้ารู้ นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากไม่ผ่านเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ เสวียนเอ๋อร์คงไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ทุกสิ่ง... เพราะข้าเป็นคนทำ!”อินชิงเสวียนผลักเขาออกเล็กน้อย เมื่อมองดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยก็พูดว่า “คำพูดของข้าไม่ได้มีความหมายอย่างที่ท่านคิด ข้าหมายความว่า ข้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง”นางมองเย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “อาอวี้ อินชิงเสวียนที่แต่งงานกับท่านตายไปในวังเย็นแล้ว นางสิ้นใจขณะให้กำเนิดลูก ข้าคืออีกคนหนึ่งที่ใช้ร่างของนางมายังโลกใบนี้”เย่จิ่งอวี้ตกใจในทันที รูม่านตาก็หดลงอย่างรุนแรง“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเพ้ออะไรกัน?”สีหน้าของอินชิงเสวียนสงบเงียบ วินาทีที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดก็หายไปในทันที และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือความรู้สึกยินดีที่หายไปนานนางคิดมาตลอดว่าคนที่รักกัน ควรมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีเรื่องใดปิดบังต่อกัน หลายวันก่อน นางก็เคยพูดคำเหล่านี้กับเย่
อินชิงเสวียนน้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกินกว่าความจริง เล่าเป็นเรื่องเป็นราวอย่างละเอียดมือคู่หนึ่งกลับกอดเข่าแน่นมากยิ่งขึ้น ไหล่บางก็สั่นเทิ้มเล็กน้อยท่ามกลางความสัมพันธ์นี้ นางก็เสียสละเช่นกัน และผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เป็นผู้ชายคนแรกที่มีความหมายต่อนางอย่างแท้จริงแม้การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยใหม่ แต่จุดจบของการแต่งงานก็ทำให้คนต้องเสียใจเช่นกันแม้อินชิงเสวียนไม่ถึงขนาดปลงไม่ตกเหมือนคนสมัยโบราณ แต่หากได้ฟังคำตอบนั้นจริงๆ นางยังคงรู้สึกเสียใจและผิดหวังมากนางในตอนนี้ราวกับนักโทษที่กำลังรอคนตัดสินโทษประหาร แต่ใบมีดที่อยู่บนศีรษะกลับยังไม่ฟันลงมาเสียทีนางไม่กล้าหันหลังกลับ และไม่กล้ามองหน้าของเย่จิ่งอวี้ ทำได้เพียงกลั้นลมหายใจ และรอคอยอย่างอดทนด้านหลังของนางประมาณสามก้าว เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงที่นิ่งดุจสายน้ำของเด็กสาว เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเพียงพริบตาเดียว ทุกสิ่งทั้งหมดก็ชัดเจนขึ้นมากไม่แปลกที่ทุกคนต่างรู้สึกว่านิสัยของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไป ไม่แปลกที่ทุกครั้งที่นางพูดถึงฮว๋าเซี
นิ้วมือของเย่จิ่งอวี้เลื่อนเข้าไปในคอเสื้อ ความรู้สึกหยาบกร้านจากการลูบไล้ ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกสั่นสะท้าน และหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้พูดเสียงสั่นว่า “อาอวี้ อย่าเล่นซนนะ เช่นนี้จะไม่ดีต่อลูก”อินชิงเสวียนหดร่างกาย น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการวิงวอน และนางก็จับมือที่ซุกซนเอาไว้แน่นลักษณะท่าทางเขินอายของนาง กลับยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้มีความปรารถนาเพิ่มมากขึ้น เขาอยากจับเด็กสาวคนนี้กดลงบนพื้นหญ้า และกลั่นแกล้งนางด้วยความรุนแรง“ข้าจะพาจ้าวเอ๋อร์ออกไปส่งด้านนอก”เย่จิ่งอวี้หอบหายใจครู่หนึ่ง พยายามกดเสียงแหบพร่าในลำคอแล้วพูดว่า “ท่านแม่คงกำลังรอจ้าวเอ๋อร์อยู่”“อย่านะเพคะ นานๆ จะได้อยู่กับลูก ท่านอย่าได้คิดแผนร้ายเด็ดขาด”อินชิงเสวียนคว้ามือของเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ชายผู้นั้นกลับเคลื่อนตัวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วพูดอย่างฮึกเหิมว่า “เมื่อมีความปรารถนา จึงแสวงหาหญิงรักผู้งดงาม เรื่องธรรมดาที่พบเห็นเป็นอาจิณ”ร่างกายของอินชิงเสวียนอ่อนไหวเป็นอย่างมาก จึงร้องตกใจและพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “อาอวี้ ท่านอย่าเล่นซนนะ”เย่จิ่งอวี้จึงต้องชักมือกลับไปด้วยความเสียดาย ความรู้สึกนุ่มนวลท
อินชิงเสวียนตกใจตื่นขึ้นมาทันที และเหงื่อเย็นก็ไหล่ท่วมทั้งตัวด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงยังคงหลับอยู่ ร่างที่อวบอ้วนนอนตะแคงด้านข้าง น่องทั้งสองพับเข้าหากัน และผ้าห่มผืนเล็กที่คลุมตัวไว้ก็ถูกเตะออกไปอีกด้านอินชิงเสวียนห่มผ้าให้เขาใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกตกใจกลัวยังไม่หายไปเหตุใดจู่ๆ ตัวเองถึงฝันเช่นนี้ได้?เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ในความฝัน คือเสื้อผ้าที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งนางไม่มีทางทำทรงผมที่สวยงามเช่นนั้นได้เมื่อลองเปลี่ยนมุมมองความคิด ความฝันคือสิ่งที่ไร้ข้อจำกัด ฝันเห็นอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คงเป็นเพราะตัวเองคิดถึงคุณย่ามากเกินไป จึงได้ฝันเห็นเธอเมื่อคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงบขึ้นมาทันที นางพนมมือและหลับตาอธิษฐานหวังว่าเทวดาจะคุ้มครองและปกปักรักษา ครอบครัวของอารอง ลูกพี่ลูกน้องชายและสะใภ้จะดูแลเธอเป็นอย่างดี เพื่อให้คุณย่ามีความสุขในบั้นปลายของชีวิต!เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด อินชิงเสวียนก็รีบวางมือลง เซี่ยวอิ๋นหวนหิ้วกล่องอาหารเข้ามาจากด้านนอก“ได้ยินอวี้เอ๋อร์บอกว่าเจ้าหลับแล้ว ข้าจึงไม่กล้าเข้ามาดู แต่กลัวว่าเจ้าจะหิว เพราะความอดไม่ได้จึงแ