ไม่นานฟ้าก็สว่าง ไป๋เสวี่ยยังคงวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปด้านหน้าเย่จิ่งอวี้รีบตามหลังไป๋เสวี่ยไปติดๆ และเรียกชื่อของเสวียนเอ๋อร์ทุกย่างก้าวที่เดินแม้เขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจเสียแรงไปเปล่าๆ แต่ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อความหวังใดๆ แม้แต่น้อยและยิ่งสำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไปหากเขาอยู่กับเด็กสาวคนนั้นตลอดเวลา คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเขายึดติดกับความรู้สึกของนางมากเกินไป ทั้งสองคนแบ่งปันความสุขและความเศร้าด้วยกันมานาน ประสบเรื่องราวอีกมากมาย พวกเขาควรพูดกันอย่างชัดเจนและไม่ควรสงสัยมากนักหากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เขาไม่มีทางอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตระหว่างที่เย่จิ่งอวี้แค้นใจในตัวเอง ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็เห่าออกมา ร่างที่ใหญ่โตกระโดดขึ้นสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ราวกับคันศรที่ดีดออกจากธนู พุ่งตรงไปยังด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงสีดอกบัว วิ่งออกไปจากถนนที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่ข้างหน้า ไป๋เสวี่ยกระโจนเข้าไปพอดี ทำให้ผู้หญิงร่างบอบบางถูกทับลงบนพื้นในทันที“โอ๊ย!”อินชิงเสวียนรีบวิ่งมาตลอดทาง แทบไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรกระโดดออกมาตรงหน้า ในขณะที่กำลังจะลงม
“อวี้เอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ?”เมื่อเห็นทั้งสองคน เจ้าสำนักเซี่ยวก็รีบเดินเข้ามา และมองสำรวจทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของพวกเขายังคงเรียบร้อย ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็วางใจลงความเป็นห่วงของเจ้าสำนักเซี่ยว ทำให้ทั้งสองอบอุ่นหัวใจ“ท่านตาไม่ต้องเป็นห่วง ข้าและเสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไรขอรับ เถียนเซินหลินผู้นั้นยังอยู่หรือไม่ เขาคือชาวตงหลิว”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เจ้าสำนักเซี่ยวก็พูดด้วยความตกใจว่า “เขาเป็นชาวตงหลิวจริงหรือ?”อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะ คนอื่นที่มากับเขาล้วนเป็นชาวตงหลิวทั้งนั้น ท่านตา ตอนนี้เถียนเซินหลินอยู่ที่ใด?”เจ้าสำนักเซี่ยวสีหน้าแย่ทันที“หนีไปแล้ว”ฮั่วเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งพูดขึ้นว่า “เถียนเซินหลินที่พวกท่านพูดถึง ก็คือผู้ที่ใช้วิชาเนตรกับพวกท่านสองสามีภรรยาใช่หรือไม่ ไม่คิดว่าดินแดนเล็กๆ จะสามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ได้”อินชิงเสวียนจึงเห็นว่ามีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเจ้าสำนักเซี่ยว เมื่อมองหน้าตาท่าทางของเขาอย่างชัดเจน นางก
อินชิงเสวียนได้นำเย่จิ่งอวี้มายังมุมเหนือของภูเขาที่นี่ห่างไกลและเปลี่ยวมากจริงๆ ด้านข้างเป็นผืนป่าที่รกร้าง และมีหินขรุขระที่แปลกตาจำนวนไม่น้อย“ชาวตงหลิวบอกว่าที่นี่ถูกพวกเขาปลอมแปลงเอาไว้ พร้อมทั้งวางกลไกอยู่ พวกเราลองตามหาให้ละเอียด”ขณะนั้นท้องฟ้าสว่างมากแล้ว สายตามองเห็นได้อย่างชัดเจนและหาได้ง่ายมากขึ้นทั้งสองแยกกันตามหา พวกเขาหาไปด้วย และตะโกนเรียกชื่อของเย่จิ่งหลานไปด้วยเย่จิ่งหลานกำลังนอนและฝึกฝนตนเองอยู่ในมิติดื่มโคล่า กินมันฝรั่งทอด ในมือถือหนังสือนิยายที่ยังอ่านไม่จบอยู่เล่มหนึ่ง ไม่ต้องถามว่าสบายใจแค่ไหนหวังซุ่นนอนอยู่ข้างๆ เขา ในปากกำลังเคี้ยวป๊อปคอร์นรสคาราเมลเสียงดังจ๊อบแจ๊บ ทำให้เย่จิ่งหลานรำคาญอย่างมาก จึงหันกลับไปด่าว่า “หากยังกินมีเสียงแบบนี้อีก ข้าจะไล่ให้เจ้าไปอยู่ห้องพักอื่นแล้วนะ”หวังซุ่นรีบหุบปากในทันที เขามองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร และใช้สี่ฟันหน้าเคี้ยวเบาๆ ราวกับสุนัขตัวเล็กเย่จิ่งหลานต้องด้วยความโหดเหี้ยม จากนั้นก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียกตัวเองอยู่ด้านนอก จึงลุกขึ้นนั่งในทันที การ
อินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไรต่อไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดโบกปลุกชีวิตฟื้นคืนตราบใดที่ยังมีผู้ชายก็จะขยายเผ่าพันธุ์ได้ ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้าจะมีประเทศเกาะตงหลิวผุดขึ้นมาอีกหรือไม่ทันใดนั้น สายตาของเย่จิ่งหลานก็ขรึมขึ้น และพูดเสียงเข้มว่า “เก็บเอาไว้ทำไมกัน ชาวตงหลิวต่างสมควรตาย!”หวังซุ่นรู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้ หันหน้ามองไปที่เย่จิ่งหลานทันใดนั้น เย่จิ่งหลานก็หันมายิ้มให้เขา“วางใจได้ ข้าจะเก็บรักษาหัวของเจ้าเป็นอย่างดี”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”หวังซุ่นฉีกยิ้มออกมา รอยยิ้มกลับมีความฝืนเล็กน้อยอินชิงเสวียนเหลือบมองหวังซุ่น และมองไปที่เย่จิ่งอวี้กลับพบว่าตาคมคู่นั้นมองไปยังด้านหน้า สายตาดูคลุมเครือ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงัดลงในทันที ทั้งสี่คนต่างคิดเรื่องของตัวเอง ไม่มีใครพูดอะไรอีกขณะเดียวกันนั้น บนไหล่เขาทางตอนใต้ เด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าปีปรากฏตัวขึ้นเด็กหนุ่มร่างกายผอมเซียว หน้าตาธรรมดา ไม่ได้อัปลักษณ์แต่ก็ไม่ได้หล่อเหลา เขาสวมชุดเสื้อผ้าหยาบที่ซอมซ่อ กำลังก้มหน้ามองเย่จิ่งอวี้และคนอื่นๆสายตาของเด็กห
เย่จิ่งอวี้กอดนางไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง มือใหญ่กุมท้ายทอยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ทำให้นางแนบอยู่บนไหล่ของตัวเองเขาพูดเสียงเบาที่ข้างหูของนางว่า “ข้ารู้ นิสัยของคนเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากไม่ผ่านเหตุการณ์มากมายเช่นนี้ เสวียนเอ๋อร์คงไม่เปลี่ยนไปเป็นอย่างทุกวันนี้ได้ ทุกสิ่ง... เพราะข้าเป็นคนทำ!”อินชิงเสวียนผลักเขาออกเล็กน้อย เมื่อมองดวงตาที่แดงก่ำเล็กน้อยก็พูดว่า “คำพูดของข้าไม่ได้มีความหมายอย่างที่ท่านคิด ข้าหมายความว่า ข้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง”นางมองเย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ “อาอวี้ อินชิงเสวียนที่แต่งงานกับท่านตายไปในวังเย็นแล้ว นางสิ้นใจขณะให้กำเนิดลูก ข้าคืออีกคนหนึ่งที่ใช้ร่างของนางมายังโลกใบนี้”เย่จิ่งอวี้ตกใจในทันที รูม่านตาก็หดลงอย่างรุนแรง“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดเพ้ออะไรกัน?”สีหน้าของอินชิงเสวียนสงบเงียบ วินาทีที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมา สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอดก็หายไปในทันที และสิ่งที่เข้ามาทดแทนก็คือความรู้สึกยินดีที่หายไปนานนางคิดมาตลอดว่าคนที่รักกัน ควรมีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีเรื่องใดปิดบังต่อกัน หลายวันก่อน นางก็เคยพูดคำเหล่านี้กับเย่
อินชิงเสวียนน้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกินกว่าความจริง เล่าเป็นเรื่องเป็นราวอย่างละเอียดมือคู่หนึ่งกลับกอดเข่าแน่นมากยิ่งขึ้น ไหล่บางก็สั่นเทิ้มเล็กน้อยท่ามกลางความสัมพันธ์นี้ นางก็เสียสละเช่นกัน และผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เป็นผู้ชายคนแรกที่มีความหมายต่อนางอย่างแท้จริงแม้การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติของยุคสมัยใหม่ แต่จุดจบของการแต่งงานก็ทำให้คนต้องเสียใจเช่นกันแม้อินชิงเสวียนไม่ถึงขนาดปลงไม่ตกเหมือนคนสมัยโบราณ แต่หากได้ฟังคำตอบนั้นจริงๆ นางยังคงรู้สึกเสียใจและผิดหวังมากนางในตอนนี้ราวกับนักโทษที่กำลังรอคนตัดสินโทษประหาร แต่ใบมีดที่อยู่บนศีรษะกลับยังไม่ฟันลงมาเสียทีนางไม่กล้าหันหลังกลับ และไม่กล้ามองหน้าของเย่จิ่งอวี้ ทำได้เพียงกลั้นลมหายใจ และรอคอยอย่างอดทนด้านหลังของนางประมาณสามก้าว เย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงที่นิ่งดุจสายน้ำของเด็กสาว เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหกเพียงพริบตาเดียว ทุกสิ่งทั้งหมดก็ชัดเจนขึ้นมากไม่แปลกที่ทุกคนต่างรู้สึกว่านิสัยของอินชิงเสวียนเปลี่ยนไป ไม่แปลกที่ทุกครั้งที่นางพูดถึงฮว๋าเซี
นิ้วมือของเย่จิ่งอวี้เลื่อนเข้าไปในคอเสื้อ ความรู้สึกหยาบกร้านจากการลูบไล้ ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกสั่นสะท้าน และหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้พูดเสียงสั่นว่า “อาอวี้ อย่าเล่นซนนะ เช่นนี้จะไม่ดีต่อลูก”อินชิงเสวียนหดร่างกาย น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยการวิงวอน และนางก็จับมือที่ซุกซนเอาไว้แน่นลักษณะท่าทางเขินอายของนาง กลับยิ่งทำให้เย่จิ่งอวี้มีความปรารถนาเพิ่มมากขึ้น เขาอยากจับเด็กสาวคนนี้กดลงบนพื้นหญ้า และกลั่นแกล้งนางด้วยความรุนแรง“ข้าจะพาจ้าวเอ๋อร์ออกไปส่งด้านนอก”เย่จิ่งอวี้หอบหายใจครู่หนึ่ง พยายามกดเสียงแหบพร่าในลำคอแล้วพูดว่า “ท่านแม่คงกำลังรอจ้าวเอ๋อร์อยู่”“อย่านะเพคะ นานๆ จะได้อยู่กับลูก ท่านอย่าได้คิดแผนร้ายเด็ดขาด”อินชิงเสวียนคว้ามือของเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ชายผู้นั้นกลับเคลื่อนตัวลงไปอีกเล็กน้อยแล้วพูดอย่างฮึกเหิมว่า “เมื่อมีความปรารถนา จึงแสวงหาหญิงรักผู้งดงาม เรื่องธรรมดาที่พบเห็นเป็นอาจิณ”ร่างกายของอินชิงเสวียนอ่อนไหวเป็นอย่างมาก จึงร้องตกใจและพูดด้วยความโกรธเล็กน้อย “อาอวี้ ท่านอย่าเล่นซนนะ”เย่จิ่งอวี้จึงต้องชักมือกลับไปด้วยความเสียดาย ความรู้สึกนุ่มนวลท
อินชิงเสวียนตกใจตื่นขึ้นมาทันที และเหงื่อเย็นก็ไหล่ท่วมทั้งตัวด้านข้าง เสี่ยวหนานเฟิงยังคงหลับอยู่ ร่างที่อวบอ้วนนอนตะแคงด้านข้าง น่องทั้งสองพับเข้าหากัน และผ้าห่มผืนเล็กที่คลุมตัวไว้ก็ถูกเตะออกไปอีกด้านอินชิงเสวียนห่มผ้าให้เขาใหม่อีกครั้ง ความรู้สึกตกใจกลัวยังไม่หายไปเหตุใดจู่ๆ ตัวเองถึงฝันเช่นนี้ได้?เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ในความฝัน คือเสื้อผ้าที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งนางไม่มีทางทำทรงผมที่สวยงามเช่นนั้นได้เมื่อลองเปลี่ยนมุมมองความคิด ความฝันคือสิ่งที่ไร้ข้อจำกัด ฝันเห็นอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น คงเป็นเพราะตัวเองคิดถึงคุณย่ามากเกินไป จึงได้ฝันเห็นเธอเมื่อคิดได้เช่นนี้ อินชิงเสวียนก็รู้สึกสงบขึ้นมาทันที นางพนมมือและหลับตาอธิษฐานหวังว่าเทวดาจะคุ้มครองและปกปักรักษา ครอบครัวของอารอง ลูกพี่ลูกน้องชายและสะใภ้จะดูแลเธอเป็นอย่างดี เพื่อให้คุณย่ามีความสุขในบั้นปลายของชีวิต!เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด อินชิงเสวียนก็รีบวางมือลง เซี่ยวอิ๋นหวนหิ้วกล่องอาหารเข้ามาจากด้านนอก“ได้ยินอวี้เอ๋อร์บอกว่าเจ้าหลับแล้ว ข้าจึงไม่กล้าเข้ามาดู แต่กลัวว่าเจ้าจะหิว เพราะความอดไม่ได้จึงแ
อินชิงเสวียนออกมาจากมิติทันที และต่อสู้กับชายคนนี้พร้อมกับลั่วสุ่ยชิง อย่างไรก็ตาม พลังของชายคนนี้ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำหลายร้อยสาย ที่มันไหลบ่าออกมาไม่หยุด ถึงแม้จะใช้กำลังของทั้งสองคนรวมกัน ก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้เมื่อเห็นว่าต่อสู้มานานแล้วยังไม่สามารถเอาชนะได้ ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “หาทางโจมตีเขาบนที่นั่งนั้น ข้าเคยได้ยินเสด็จพ่อบอกว่าพิษนี้แพร่กระจายผ่านดอกไม้ พืช และต้นไม้บนภูเขา มีเถาวัลย์มากมายพันอยู่รอบตัวของเขา ต้องอาศัยการดูดซับพลังงานจากมันแน่ๆ”อินชิงเสวียนมองไปที่คนผู้นั้นด้วยความตกใจ“มีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ด้วยรึ เป็นไปได้ไหมที่พิษจะซ่อนอยู่ในดอกไม้ ต้นไม้ และเถาวัลย์เหล่านี้”“เจ้าพูดถูก วิชานี้สูญหายไปนานแล้ว ข้าเคยอ่านเรื่องนี้ในตำราของราชวงศ์เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถทำซ้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ”ลั่วสุ่ยชิงเคยเห็นวิชาต้องห้ามของเฟยเหยาหลายครั้ง ทำให้นางจำต้องคิดมาก ชาวเฟยเหยาที่สามารถอยู่รอดได้จนถึงทุกวันนี้ นอกจากเซี่ยอานซื่อและชิงฮุยแล้ว ก็มีแค่นาง ตอนนี้เซี่ยอานซื่อเสียชีวิตแล้ว เช่นนั้นก็เหลือเพียงชิงฮุยเท่านั้น เขาไม่ใช่บุคคลสำคัญในราชว
ทั้งสองทะยานร่างไต่ขึ้นไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว ลมปราณนั้นเป็นเหมือนตาข่ายไร้รูป ที่ไหลทะลักลงมาจากยอดเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกี่ยวกระหวัดพันเข้าหาคนทั้งสองลั่วสุ่ยชิงเหวี่ยงกระบี่ตลอดทาง เพื่อตัดพลังที่กระจัดกระจายออกมาเหล่านั้น อินชิงเสวียนตามหลังนางไปติดๆ คอยระวังภัยรอบด้านอยู่เสมอบนภูเขาลูกนี้ นางไม่รู้สึกถึงลมปราณของมนุษย์ผู้ใด แต่พลังนี้กลับมีอยู่จริงอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่ายังอีกหลายร้อยเมตรกว่าจะถึงยอดเขา อินชิงเสวียนจึงเอื้อมมือคว้าแขนเสื้อของลั่วสุ่ยชิง“นี่ใช่ค่ายกลหรือไม่ ระวังจะถูกหลอก?”ลั่วสุ่ยชิงหยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วและพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นค่ายกลเช่นนี้มาก่อน”“เช่นนั้นก็ต้องเป็นคน”ผู้ที่มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ต้องเป็นชิงฮุยแน่ๆอินชิงเสวียนมีความคิดนี้อยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป พวกนางตามหามาหลายวันแล้ว ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้ลั่วสุ่ยชิงยกกระบี่ยาวในมือขึ้นสูงอีกเล็กน้อย“จะเป็นคนหรือค่ายกลก็ช่างเถอะ ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องขึ้นไปดู”“ได้”อินชิงเสวียนเดินตามหลังลั่วสุ่ยชิงห่างห้าก้าว เวลาในการฟื้นฟูของใบมีดทะมึนแห่งมิติสิ้นสุดลงแล้ว ถ้าเป็นชิงฮุยจริง นางก็ส
ณ เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง“อวี้เอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ไปหลายวันแล้ว เราควรส่งคนออกไปตามหาหรือไม่ ที่ไปด้วยคือลั่วสุ่ยชิงที่มีชีวิตอยู่มานับพันปี วรยุทธ์ของนางไม่ได้อ่อนแอเลย ถ้าเกิดนางเปลี่ยนใจกะทันหัน แล้วลงมือกับเสวียนเอ๋อร์...”เซี่ยวอิ๋นหวนกังวลมากเย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ไม่ต้อง นี่เป็นข้อตกลงระหว่างข้ากับเสวียนเอ๋อร์”“อ้อ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”เซี่ยวอิ๋นหวนรู้ว่าคู่รักหนุ่มสาวมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง หากเป็นในอดีต เย่จิ่งอวี้ต้องออกไปตามหาคนอย่างแน่นอน แต่วันนี้ดูเหมือนเขาจะแตกต่างออกไป ดูท่าทางไม่กระวนกระวายเย่จิ่งอวี้ช่วยพยุงแม่ขานั่งลง เทชาหนึ่งแก้วแล้วยื่นให้เขาจะไม่กระวนกระวายใจได้อย่างไร ทุกชั่วยามทุกนาทีทุกวินาที เขาล้วนเป็นห่วงอินชิงเสวียนตลอดเวลาไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่านางจะเผชิญปัญหาแบบไหน แต่ตอนนี้ เขาทำได้เพียงเชื่อในตัวนางเท่านั้น“ลั่วสุ่ยชิงซับซ้อนจริงๆ แม้ว่านางไม่อยากเห็นใต้หล้าที่พังทลาย แต่นางอาจไม่ต้องการจัดการกับชิงฮุยจริงๆ เสวียนเอ๋อร์ออกไปตามลำพังกับนางในครั้งนี้ เพราะต้องการทดสอบนางเป็นครั้งสุดท้าย”เซี่ยวอิ๋นหวนเริ่มวิตกกังวลทันที“แล้วถ้าเ
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ