“ของขวัญอะไร”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายระยิบระยับคิดในใจว่าเป็นเงื่อนปมผูกรักที่เห็นเมื่อวานนี้หรือเปล่าไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม การรับของขวัญ ย่อมทำให้คนรู้สึกดีเสมอเย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ของสิ่งนี้ข้าใช้เวลาหาคนมาแกะสลักอยู่ตั้งนาน เสวียนเอ๋อร์ต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ”เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้พูดถึงขนาดนี้ อินชิงเสวียนก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น“เป็นอะไรหรือ”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้าลึกลับ “เสวียนเอ๋อร์หลับตาก่อน”อินชิงเสวียนปิดตาทันที กลับรู้สึกถึงความอบอุ่นบนริมฝีปาก จากนั้นก็ได้กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยนางลืมตาขึ้น มองเย่จิ่งอวี้ด้วยความโกรธ“อาอวี้ทำไมถึงกะล่อนแบบนี้”“ที่ไหนกัน”เย่จิ่งอวี้ถอนริมฝีปากออก หัวเราะเบาๆ แบมือออกเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในฝ่ามือของเขา อินชิงเสวียนก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจในฝ่ามือของเขาคือหยกขนาดเท่าหัวแม่มือ ส่วนสีขาวแกะสลักเป็นรูปคนเล็กๆ สวมชุดสีฟ้าอ่อน มองเห็นเสื้อผ้าและผ้าคาดเอวได้ชัดเจน บนศีรษะยังสวมหมวกสีกรม มีจมูกมีลูกตา เหมือนจริงมากคนตัวเล็กมือทั้งสองข้างประสานกัน ถือของบางอย่างที่เป็นสีขา
อีกประเดี๋ยวต้องออกลาดตระเวนกลางคืน ทั้งสองจึงไม่ได้ไปที่โต๊ะหลักของเจ้าสำนักเซี่ยวฮวาเชียนเตรียมโต๊ะสุราอาหารให้สองพี่น้องตระกูลเย่ อินชิงเสวียนกับสาวใช้ รวมถึงโมริตะคาวาสึบาเมะและคนอื่นๆ ไว้โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่สุราอาหารบนโต๊ะใหญ่นี้ เย่จิ่งหลานก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายยัยเด็กบ้านี่มีน้ำใจทีเดียว ทุกสิ่งที่เขาต้องการก็ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยนอกจากนี้ยังมีอาหารบางจานที่เขาไม่เคยชิมมาก่อน มองแวบแรกก็รู้ว่าอาหารสมัยใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองชิมทุกอย่าง เขาจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา และลงมือกินทันทีแม้ว่าโมริตะคาวาสึบาเมะจะอยู่ในจงหยวนมานานแล้ว แต่ไม่เคยเห็นอาหารที่ซับซ้อนมากมายขนาดนี้มาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับอาหารในตงหลิว มันต่างกันราวฟ้ากับเหวเดิมทีสิ่งเหล่านี้ควรจะเป็นของพวกเขา แต่ชาวจงหยวนเหล่านี้หาข้ออ้างขึ้นมาส่งเดช ขับไล่ไสส่งพวกเขาไปที่เกาะ ปล่อยให้ใช้ชีวิตตามยถากรรมโมริตะคาวาสึบาเมะยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น คีบไก่ผักพริกเข้าปาก แล้วเคี้ยวหยับๆ หวังซุ่นนั่งอยู่ข้างโมริตะคาวาสึบาเมะ กลิ่นหญ้าเทียนเหลี่ยวก็โชยเข้าจมูก จึงอดไม่ได้ที่จัมองโมริตะอีกโมริตะคาวาสึบาเมะถือจอกสุรา พ
หวังซุ่นหมดสติไป แต่เย่จิ่งหลานยังคงเมาอยู่ โมริตะคาวาสึบาเมะพาทั้งสองคนไปที่ถ้ำที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ทางเข้าถ้ำแคบมาก แต่ด้านในกว้างขวาง โมริตะคาวาสึบาเมะและผู้ติดตามสองคนคลานเข้าไป เหวี่ยงเย่จิ่งหลานและหวังซุ่นสองคนลงไปที่พื้นขณะที่มองเย่จิ่งหลาน เขาก็ยิ้มอย่างเย็นชา“ตัดเอ็นร้อยหวายของพวกเขาซะ จะได้หนีไปไม่ได้ หวังซุ่นเจ้าคนทรยศ รอให้ข้าจัดการผู้หญิงบ้าแซ่อินนั่นก่อนเถอะ แล้วจะมาสะสางบัญชีกับเจ้า”ทั้งสองตอบรับพร้อมกัน ดึงมีดสั้นออกมาจากเอวโมริตะคาวาสึบาเมะมองด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นออกจากถ้ำไป แล้วเอาหญ้าแห้งมาปิดทางเข้าถ้ำไว้เขายังพุ่งเป้าไปที่เด็กน้อยที่ชื่อจ้าวเอ๋อร์ด้วย แต่สุนัขสีขาวตัวใหญ่นั่นมักจะติดตามเขาเป็นเงาตามตัวเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามเข้าใกล้ เจ้าสุนัขนั่นก็จะแยกเขี้ยวใส่เขาเพื่อไม่ให้คนสังเกตเห็น โมริตะคาวาสึบาเมะจึงต้องยอมแพ้แต่ความแค้นนี้เขาจดจำไว้แล้ว หากจัดการให้เป่ยไห่มาอยู่ในกำมือได้ เขาจะถลกหนังสุนัขแล้วเอาไปตุ๋นในหม้อซะพอนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างอาฆาตแค้น และรีบกลับเข้าเมืองเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนที
หยาดฝนเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า กลายเป็นสายฝนพรั่งพรู เปลวไฟบนเรือก็ดับลงอย่างรวดเร็ว แม้จะพบตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าไฟไหม้ แต่ก็เสียหายไปหลายส่วนของชิ้นใหญ่พวกนี้ไม่ใช่ถูกๆ อินชิงเสวียนทั้งโมโหทั้งปวดใจ“เป็นไอ้สารเลวคนไหนกันแน่ ถึงชั่วร้ายขนาดจุดไฟเผาเรือ?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “คงมีสายลับปะปนเข้ามาในเป่ยไห่ และกบดานอยู่ที่นี่ตลอด เพื่อรอการป้องกันที่หละหลวมในวันนี้”อินชิงเสวียนเดือดดาลจนหน้าแดง“ไม่รู้ว่าศิษย์สำนักใดเป็นคนเฝ้าเรือวันนี้ พรุ่งนี้ต้องลงโทษให้หนัก”ทันทีที่พูดจบ ก็เหมือนจะได้ยินเสียงผ้าสะบัดดังมาจากข้างหลังเย่จิ่งอวี้หันหลังซัดฝ่ามือไปทันที“ผู้ใด”ชายสวมหน้ากากยิ้มเยาะ“คนที่ต้องการชีวิตของพวกเจ้า”“ตายซะ!”อินชิงเสวียนกำลังโกรธจัด นางแลกความเร็วและพลังจากมิติทันที แล้วเหาะเข้าไปเตะทันทีนอกจากนี้ยังใช้ทักษะช่วงชิงโชคลาภจากคนผู้นี้อีกด้วยจะสนใจทำไมว่าเขาเป็นใคร ตราบใดที่กล้าลงมือกับตัวเอง ย่อมไม่ใช่คนดีแน่นอนโมริตะคาวาสึบาเมะรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ เดิมทีหลังจากตากฝน เขารู้สึกว่าตัวเองมีกำลังภายในท่วมท้น แต่เพียงครู่หนึ่ง ก็รู้สึก
“อาอวี้ อาอวี้!”อินชิงเสวียนมองไปที่เย่จิ่งอวี้ด้วยความหวาดกลัวในเวลานี้ ประตูห้องถัดไปเปิดออก เสี่ยวหนานเฟิงเดินเตาะแตะออกมาจากห้องเขาพุ่งตัวไปหาเย่จิ่งอวี้อย่างมีความสุข ตะโกนด้วยเสียงนุ่มนิ่ม “เด็จพ่อ ลูกคิดถึงเด็จพ่อ!”อินชิงเสวียนตกใจ ตะโกนอย่างสิ้นหวัง “เสี่ยวหนานเฟิง อย่าไป!”แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เย่จิ่งอวี้หายตัวมาปรากฏต่อหน้าเสี่ยวหนานเฟิง แล้วกระบี่นั้นก็แทงทะลุร่างเล็กๆ จากนั้นมุมปากก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายเขายกกระบี่ขึ้น โดยมีร่างเล็กๆ ของเสี่ยวหนานเฟิงห้อยอยู่บนนั้น เลือดไหลลงมาที่ปลายกระบี่ ย้อมรองเท้าปักดิ้นมังกรทองเป็นสีแดงฉานอินชิงเสวียนไม่อาจสาธยายถึงความประหวั่นพรั่นพรึงของตัวเองได้ ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเย่จิ่งอวี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ ภาพที่ปรากฏสู่สายตาล้วนมีแต่ร่างอันไร้วิญญาณไม่เพียงแต่ศิษย์ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลอินด้วย อินจ้งถูกมีดยาวตอกร่างติดต้นไม้ ที่ปลายเท้า เป็นซูหมิงหลานที่เอื้อมมือไปที่ต้นไม้ ดวงตาเบิกโพลง ตายตาไม่หลับสองพี่น้องตระกูลอินก็ล้มอยู่ข้างๆ แม้แต่เป่าเล่อเอ่อร์ก็ไม่รอด ถัดจากนั้นก็คืออินจื่อลั่วท
ในเวลานี้ มโนภาพของเย่จิ่งอวี้ยังคงดำเนินต่อไป กิ่งไม้บนหน้าผาส่งเสียงกรอบแกรบ กิ่งไม้ปริหักแล้ว มีเพียงเปลือกไม้เล็กๆ ที่เชื่อมติดไว้ อินชิงเสวียนที่ถูกมัดมือทั้งสองข้างจมลงทันทีดวงตาของเย่จิ่งอวี้ตกใจจนดวงตาแทบถลน คำรามลั่น“เสวียนเอ๋อร์ ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ใช้ทั้งมือและเท้าปีนขึ้นไปบนหน้าผา กอดร่างกายที่เริ่มเย็นเฉียบของอินชิงเสวียนอย่างไรก็ตาม กิ่งไม้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักของคนสองคนได้ มันหักดังแกร๊กแล้วก็ร่วงลงไปเย่จิ่งอวี้ปกป้องสมองส่วนหลังของอินชิงเสวียน และกลิ้งไปกับพื้นพร้อมนางเพื่อปกป้องหญิงสาวจากอันตราย เย่จิ่งอวี้ยอมให้สมองส่วนหลังของตัวเองกระแทกก้อนหินขรุขระ“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เสวียนเอ๋อร์ เจ้าลืมตามองหน้าข้าเร็ว ข้าคือโอรสสวรรค์ตัวจริง หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าห้ามตายเด็ดขาด!”เขาเขย่าอินชิงเสวียนอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน“เจ้ารีบคุยกับข้าเร็ว พวกเรายังมีจ้าวเอ๋อร์ ในอนาคตก็จะมีองค์หญิงน้อยน่ารัก เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อนุญาต ข้าไม่อนุญาต!”เขาปกป้องอินชิงเสวียนด้วย
นอกมโนภาพทั้งสองอาเจียนเป็นเลือด ล้มอยู่ท่ามกลางสายฝนโมริตะคาวาสึบาเมะหัวเราะลั่น“เจ้าเด็กเปรตไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ด้วยความสามารถอย่างพวกเจ้าน่ะ อย่าฝันว่าจะจับตัวชาวตงหลิวได้ วันนี้ ข้าจะใช้เลือดของเจ้าสังเวยวันปีใหม่”เขางอนิ้ว คว้าคอของทั้งสองคนคนละข้างทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมแปลกๆ มาจากด้านหลัง มีคนตะโกนว่า “พวกผิดทำนองคลองธรรม กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนที่นี่!”โมริตะคาวาสึบาเมะตกใจมากเสียงฝนตกโปรยปรายรบกวนการได้ยินของเขา จึงไม่สังเกตว่ามีใครเข้าใกล้ตัวเขารีบหันหลังกลับและซัดฝ่ามือออกไป ถือโอกาสถอยหลังครึ่งก้าว แล้วมองดูคนที่อยู่ข้างหลังคนผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ เป็นชายในวัยสามสิบถึงสี่สิบปี ในเวลานี้ เขาดึงแถบผ้าผืนหนึ่งออกมาปิดตาของตัวเองคนผู้นี้สามารถมองวิชาเนตรของเขาออก โมริตะคาวาสึบาเมะอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังตัวรูปลักษณ์ในตอนนี้ของเขา ใช้พลังโจมตีไปมาก วิชาเนตรก็อยู่ได้อีกไม่นาน ฉะนั้นต้องจัดการคนผู้นี้โดยเร็ว“พวกหนูที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ยังกล้าตะโกนใส่ข้า ตายซะเถอะ”หูของชายคนนั้นกระตุกเล็กน้อย แล้วร่างนั้นก็ทะยานไปเตะเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กระหน
“แม่มเอ๊ย!”เย่จิ่งหลานผรุสวาทด้วยความเจ็บปวด ลืมตาขึ้นทันทีแต่พอเห็นเลือดไหลออกมาจากข้อเท้า พร้อมด้วยความเจ็บปวดเฉียบพลัน จากประสบการณ์การเรียนแพทย์มาหลายปี ก็วินิจฉัยได้ว่าน่าจะเป็นเอ็นร้อยหวายขาดหวังซุ่นก็กรีดร้อง นั่งตัวแข็งทื่อราวกับซากศพ“โอ้ย เท้าข้า!”ชาวตงหลิวสองคนหัวเราะเยาะ“ทางที่ดีพวกเจ้าควรอยู่นิ่งๆ ดีกว่า ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปที่จะตัด ก็คือหัวของพวกเจ้า”“ตัดโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งหลานก่นด่าเสียงดัง จากนั้นหยิบปืนพกออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยิงออกไปสองนัดแม้ว่าแสงในถ้ำจะเลือนราง แต่ก็เล็กมาก ทั้งสองอยู่ห่างจากเย่จิ่งหลานเพียงหนึ่งเมตร ระยะใกล้เท่านี้ ยากที่จะพลาดเป้าหลังจากฝึกฝนมานาน ความเร็วในการยิงปืนของเย่จิ่งหลานก็ก้าวหน้าถึงระดับหนึ่ง เขายิงเข้าหัวสองคนอย่างแม่นยำทั้งสองไม่คาดคิดว่า คลื่นใหญ่ลมแรงจะซัดสาดเข้ามา พ่ายแพ้ให้กับเด็กเปรตแค่คนหนึ่ง ไม่ทันได้กรีดร้อง วิญญาณก็ออกจากร่างไปเข้าเฝ้ายมบาลเสียแล้วเย่จิ่งหลานใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในห้องผ่าตัด“แม่มเอ๊ย ต้องรีบผ่าตัดต่อเอ็นกลับคืน ไม่เช่นนั้นขาคู่นี้ต้องพิการแน่ๆ ห