ในเวลานี้ มโนภาพของเย่จิ่งอวี้ยังคงดำเนินต่อไป กิ่งไม้บนหน้าผาส่งเสียงกรอบแกรบ กิ่งไม้ปริหักแล้ว มีเพียงเปลือกไม้เล็กๆ ที่เชื่อมติดไว้ อินชิงเสวียนที่ถูกมัดมือทั้งสองข้างจมลงทันทีดวงตาของเย่จิ่งอวี้ตกใจจนดวงตาแทบถลน คำรามลั่น“เสวียนเอ๋อร์ ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”เขาใช้กำลังทั้งหมดที่มี ใช้ทั้งมือและเท้าปีนขึ้นไปบนหน้าผา กอดร่างกายที่เริ่มเย็นเฉียบของอินชิงเสวียนอย่างไรก็ตาม กิ่งไม้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักของคนสองคนได้ มันหักดังแกร๊กแล้วก็ร่วงลงไปเย่จิ่งอวี้ปกป้องสมองส่วนหลังของอินชิงเสวียน และกลิ้งไปกับพื้นพร้อมนางเพื่อปกป้องหญิงสาวจากอันตราย เย่จิ่งอวี้ยอมให้สมองส่วนหลังของตัวเองกระแทกก้อนหินขรุขระ“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เสวียนเอ๋อร์ เจ้าลืมตามองหน้าข้าเร็ว ข้าคือโอรสสวรรค์ตัวจริง หากไม่มีคำสั่งจากข้า เจ้าห้ามตายเด็ดขาด!”เขาเขย่าอินชิงเสวียนอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน“เจ้ารีบคุยกับข้าเร็ว พวกเรายังมีจ้าวเอ๋อร์ ในอนาคตก็จะมีองค์หญิงน้อยน่ารัก เจ้าจะทิ้งข้าไว้อย่างโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าไม่อนุญาต ข้าไม่อนุญาต!”เขาปกป้องอินชิงเสวียนด้วย
นอกมโนภาพทั้งสองอาเจียนเป็นเลือด ล้มอยู่ท่ามกลางสายฝนโมริตะคาวาสึบาเมะหัวเราะลั่น“เจ้าเด็กเปรตไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ด้วยความสามารถอย่างพวกเจ้าน่ะ อย่าฝันว่าจะจับตัวชาวตงหลิวได้ วันนี้ ข้าจะใช้เลือดของเจ้าสังเวยวันปีใหม่”เขางอนิ้ว คว้าคอของทั้งสองคนคนละข้างทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงลมแปลกๆ มาจากด้านหลัง มีคนตะโกนว่า “พวกผิดทำนองคลองธรรม กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนที่นี่!”โมริตะคาวาสึบาเมะตกใจมากเสียงฝนตกโปรยปรายรบกวนการได้ยินของเขา จึงไม่สังเกตว่ามีใครเข้าใกล้ตัวเขารีบหันหลังกลับและซัดฝ่ามือออกไป ถือโอกาสถอยหลังครึ่งก้าว แล้วมองดูคนที่อยู่ข้างหลังคนผู้นั้นร่างกายสูงใหญ่ เป็นชายในวัยสามสิบถึงสี่สิบปี ในเวลานี้ เขาดึงแถบผ้าผืนหนึ่งออกมาปิดตาของตัวเองคนผู้นี้สามารถมองวิชาเนตรของเขาออก โมริตะคาวาสึบาเมะอดไม่ได้ที่จะระแวดระวังตัวรูปลักษณ์ในตอนนี้ของเขา ใช้พลังโจมตีไปมาก วิชาเนตรก็อยู่ได้อีกไม่นาน ฉะนั้นต้องจัดการคนผู้นี้โดยเร็ว“พวกหนูที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา ยังกล้าตะโกนใส่ข้า ตายซะเถอะ”หูของชายคนนั้นกระตุกเล็กน้อย แล้วร่างนั้นก็ทะยานไปเตะเขาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กระหน
“แม่มเอ๊ย!”เย่จิ่งหลานผรุสวาทด้วยความเจ็บปวด ลืมตาขึ้นทันทีแต่พอเห็นเลือดไหลออกมาจากข้อเท้า พร้อมด้วยความเจ็บปวดเฉียบพลัน จากประสบการณ์การเรียนแพทย์มาหลายปี ก็วินิจฉัยได้ว่าน่าจะเป็นเอ็นร้อยหวายขาดหวังซุ่นก็กรีดร้อง นั่งตัวแข็งทื่อราวกับซากศพ“โอ้ย เท้าข้า!”ชาวตงหลิวสองคนหัวเราะเยาะ“ทางที่ดีพวกเจ้าควรอยู่นิ่งๆ ดีกว่า ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปที่จะตัด ก็คือหัวของพวกเจ้า”“ตัดโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งหลานก่นด่าเสียงดัง จากนั้นหยิบปืนพกออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยิงออกไปสองนัดแม้ว่าแสงในถ้ำจะเลือนราง แต่ก็เล็กมาก ทั้งสองอยู่ห่างจากเย่จิ่งหลานเพียงหนึ่งเมตร ระยะใกล้เท่านี้ ยากที่จะพลาดเป้าหลังจากฝึกฝนมานาน ความเร็วในการยิงปืนของเย่จิ่งหลานก็ก้าวหน้าถึงระดับหนึ่ง เขายิงเข้าหัวสองคนอย่างแม่นยำทั้งสองไม่คาดคิดว่า คลื่นใหญ่ลมแรงจะซัดสาดเข้ามา พ่ายแพ้ให้กับเด็กเปรตแค่คนหนึ่ง ไม่ทันได้กรีดร้อง วิญญาณก็ออกจากร่างไปเข้าเฝ้ายมบาลเสียแล้วเย่จิ่งหลานใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในห้องผ่าตัด“แม่มเอ๊ย ต้องรีบผ่าตัดต่อเอ็นกลับคืน ไม่เช่นนั้นขาคู่นี้ต้องพิการแน่ๆ ห
เย่จิ่งหลานนำหนังสือการ์ตูนมาให้เขา หวังซุ่นรับไปด้วยรอยยิ้ม และเริ่มอ่านด้วยความเพลิดเพลินขณะที่ทั้งสองกำลังพักฟื้นอยู่ในมิติ เย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนก็ถูกพาไปที่โรงเตี๊ยมชั้นล่างยังมีลูกค้าร่ำสุรากันเสียงดัง ได้ยินเสียงคนเล่นเกมดื่มเหล้าเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นคนที่เหาะขึ้นไปชั้นบนฮั่วเทียนเฉิงวางทั้งสองคนบนเตียงข้างๆ กัน ตรวจสอบลมหายใจ ทั้งสองยังคงหายใจอยู่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฝึกฝนวิชาเนตรที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน คงต้องตกหลุมพรางของคู่ต่อสู้ไปแล้วครั้งนี้ยังตรวจไม่พบแหล่งที่มาของน้ำพุวิญญาณได้ แต่ได้ช่วยชีวิตคู่สามีภรรยาไว้ได้ นับว่าไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฮั่วเทียนเฉิงก็ลอบโคจรกำลังภายใน แสงสีม่วงจางๆ ก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาเขาวางมือบนหัวของเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนตามลำดับ โคจรกำลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาวิทยายุทธ์ของแต่ละสำนักมีความแตกต่างกัน ฮั่วเทียนเฉิงจึงไม่กล้าถ่ายทอดกำลังภายในให้มากเกินไป เพื่อไม่ให้ทำเกินเหตุจนเสียเรื่อง และกลับกลายเป็นการทำร้ายพวกเขาทั้งสองราวๆ สิบห้านาทีผ่านไป เย่จิ่งอว
เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลานี้ สมองของอินชิงเสวียนก็นึกย้อนกลับไปที่ภาพที่โหดเหี้ยมที่เขาแทงทะลุร่างของเสี่ยวหนานเฟิง เหยียบเลือดสดๆ ค่อยๆ ย่างเข้ามาหานางทีละก้าวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเจ้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง เจ้าเป็นตัวปลอมฉากในมโนภาพนั้นสมจริงราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านนางหลุบตาลง พูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ได้ ท่านไปเถอะ!”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปาก“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับห้อง”ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบงันตลอดทาง จนกระทั่งถึงห้องนอน อินชิงเสวียนก็ปิดประตู“ฝันดีนะ!”นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นที่หน้าประตู“เสวียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องลับข้างในนั้นมืดมิด และเย่จิ่งอวี้ไม่ได้จุดตะเกียง เดินตามทางที่จำได้ แล้วนั่งลงบนแผ่นหินที่เขามักจะนั่งสมาธิบ่อยๆจิตใจยังคิดถึงมโนภาพที่เหมือนจริงจนไม่อาจลืมเลือนสิ่งที่เสวียนเอ๋อร์พูดไม่ผิด ตัวเองติดค้างนางมากเกินไปจริงๆ อินชิงเสวียนและเย่จิ่งเย่าต่างมีความรักให้แก่กัน ไม่มีใครในเมืองหลวงที่ไม่รู้เรื่องนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานอภิเษกสมรสให้อิ
ทั้งคู่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เพียงชั่วพริบตาก็รุ่งสางแล้วเสียงหัวเราะของเซี่ยวอิ๋นหวนและเสี่ยวหนานเฟิงมาจากนอกประตูอินชิงเสวียนสวมรองเท้าและลุกจากเตียงทันที เดินไปที่ประตู แล้วหยุดชะงักนางไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหนานเฟิง จะมีสิทธิ์อะไรไปกอดเขาครั้นได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งกระดิ่งเงินของเด็ก อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงของต่งจื่ออวี๋มาจากข้างนอก“แม่นางชิงเสวียน อยู่หรือไม่ พวกเราจะกลับแล้ว”อินชิงเสวียนรีบกลืนความขมขื่นในลำคออย่างรวดเร็ว ลูบผมให้เรียบแล้วเปิดประตูฝืนยิ้มถามว่า “ทำไมถึงกลับไปเร็วนัก”“เรากินเลี้ยงมาทั้งคืนแล้ว ได้เวลากลับแล้ว”ต่งจื่ออวี๋หัวเราะอย่างซื่อบื้อ แล้วถามอีกว่า “แม่นางชิงเสวียน เจ้าร้องไห้รึ ทำไมตาของเจ้าถึงแดงขนาดนี้”ต่งจื่ออวี๋ซื่อบื้อเกินไป คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ทั้งยังพูดจาโผงผาง เซี่ยวอิ๋นหวนจึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงของอินชิงเสวียน นางก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น อวี้เอ๋อร์รังแกเจ้าหรือเปล่า”อินชิงเสวียนพูดโดยเร็ว “ไม่
ณ เป่ยไห่ บริเวณชายฝั่งอินชิงเสวียนมาถึงชายทะเลพร้อมกับศิษย์สองคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ ศิษย์สำนักต่างๆ จำนวนมากมารวมตัวกันรอบเรือ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ยืนชุมนุมกันชี้ไม้ชี้มือไปที่เรือช่างฝีมือหลายคนก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเรือถูกไฟไหม้ พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง“คุณชายน้อยเย่อยู่ที่นี่หรือเปล่า”อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเย่จิ่งหลาน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีฟางรั่วเดินออกมาจากด้านหลังเรือ กระซิบ “ข้าออกมาตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่เห็นคุณชายน้อยเย่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่”เมื่อคืนฟางรั่ว อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นกำลังดื่มอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานกัน ฟางรั่วก็ดื่มไปหลายจอก จึงเข้านอนเร็วพอฟ้าสางก็ลุกขึ้นมาปัสสาวะ แต่นอนไม่หลับ จึงออกมาที่ชายทะเล รับลมทะเล และบรรเทาอาการเมาค้าง ทันทีที่มาถึงก็เห็นเรือเสียหายอย่างไม่คาดคิดเพื่อป้องกันไม่ให้เรือได้รับความเสียหายอีก จึงเฝ้าปกป้องเรืออยู่ที่นี่อินชิงเสวียนรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ“เมื่อคืนเขาออกไปข้างนอกหรือw,j”ฟางรั่วคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง“ไม่มี เพียงครู่เ
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการเข้ามาปลอบใจหญิงสาว แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เต็มใจที่จะมองตัวเอง ในใจก็รู้สึกไม่ดี เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องก็วางกลับที่เดิมเงียบๆ “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะง่วงมาก พักผ่อนเยอะๆ ข้าจะพาไป๋เสวี่ยออกไปตามหาเอง”เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปดูที่ประตู เย่จิ่งอวี้พาไป๋เสวี่ยออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาไม่ได้นอนทั้งคืน อินชิงเสวียนต้องการให้เย่จิ่งอวี้พักผ่อนสักพักหนึ่ง จนกระทั่งร่างสูงหายไป คำพูดอึกอักอยู่บนริมฝีปากเป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดออกไปไม่เพียงแต่นางรู้สึกแปลกแยก นางยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเย่จิ่งอวี้อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ต้องตามหาคนก่อนไม่นานเหล่าศิษย์ก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีใครมีข่าวคราวของเย่จิ่งหลาน จู่ๆ หัวใจของอินชิงเสวียนก็ตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุดตอนเที่ยง อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นจูงมือเสี่ยวหนานเฟิงไปส่งอาหารให้อินชิงเสวียน แต่นางไม่มีความอยากอาหารเลย พอกินได้สองสามคำนางก็วางลงเสี่ยวหนานเฟิงเหมือน