เย่จิ่งหลานนำหนังสือการ์ตูนมาให้เขา หวังซุ่นรับไปด้วยรอยยิ้ม และเริ่มอ่านด้วยความเพลิดเพลินขณะที่ทั้งสองกำลังพักฟื้นอยู่ในมิติ เย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนก็ถูกพาไปที่โรงเตี๊ยมชั้นล่างยังมีลูกค้าร่ำสุรากันเสียงดัง ได้ยินเสียงคนเล่นเกมดื่มเหล้าเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นคนที่เหาะขึ้นไปชั้นบนฮั่วเทียนเฉิงวางทั้งสองคนบนเตียงข้างๆ กัน ตรวจสอบลมหายใจ ทั้งสองยังคงหายใจอยู่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฝึกฝนวิชาเนตรที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน คงต้องตกหลุมพรางของคู่ต่อสู้ไปแล้วครั้งนี้ยังตรวจไม่พบแหล่งที่มาของน้ำพุวิญญาณได้ แต่ได้ช่วยชีวิตคู่สามีภรรยาไว้ได้ นับว่าไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฮั่วเทียนเฉิงก็ลอบโคจรกำลังภายใน แสงสีม่วงจางๆ ก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาเขาวางมือบนหัวของเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนตามลำดับ โคจรกำลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาวิทยายุทธ์ของแต่ละสำนักมีความแตกต่างกัน ฮั่วเทียนเฉิงจึงไม่กล้าถ่ายทอดกำลังภายในให้มากเกินไป เพื่อไม่ให้ทำเกินเหตุจนเสียเรื่อง และกลับกลายเป็นการทำร้ายพวกเขาทั้งสองราวๆ สิบห้านาทีผ่านไป เย่จิ่งอว
เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลานี้ สมองของอินชิงเสวียนก็นึกย้อนกลับไปที่ภาพที่โหดเหี้ยมที่เขาแทงทะลุร่างของเสี่ยวหนานเฟิง เหยียบเลือดสดๆ ค่อยๆ ย่างเข้ามาหานางทีละก้าวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเจ้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง เจ้าเป็นตัวปลอมฉากในมโนภาพนั้นสมจริงราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านนางหลุบตาลง พูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ได้ ท่านไปเถอะ!”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปาก“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับห้อง”ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบงันตลอดทาง จนกระทั่งถึงห้องนอน อินชิงเสวียนก็ปิดประตู“ฝันดีนะ!”นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นที่หน้าประตู“เสวียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องลับข้างในนั้นมืดมิด และเย่จิ่งอวี้ไม่ได้จุดตะเกียง เดินตามทางที่จำได้ แล้วนั่งลงบนแผ่นหินที่เขามักจะนั่งสมาธิบ่อยๆจิตใจยังคิดถึงมโนภาพที่เหมือนจริงจนไม่อาจลืมเลือนสิ่งที่เสวียนเอ๋อร์พูดไม่ผิด ตัวเองติดค้างนางมากเกินไปจริงๆ อินชิงเสวียนและเย่จิ่งเย่าต่างมีความรักให้แก่กัน ไม่มีใครในเมืองหลวงที่ไม่รู้เรื่องนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานอภิเษกสมรสให้อิ
ทั้งคู่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เพียงชั่วพริบตาก็รุ่งสางแล้วเสียงหัวเราะของเซี่ยวอิ๋นหวนและเสี่ยวหนานเฟิงมาจากนอกประตูอินชิงเสวียนสวมรองเท้าและลุกจากเตียงทันที เดินไปที่ประตู แล้วหยุดชะงักนางไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหนานเฟิง จะมีสิทธิ์อะไรไปกอดเขาครั้นได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งกระดิ่งเงินของเด็ก อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงของต่งจื่ออวี๋มาจากข้างนอก“แม่นางชิงเสวียน อยู่หรือไม่ พวกเราจะกลับแล้ว”อินชิงเสวียนรีบกลืนความขมขื่นในลำคออย่างรวดเร็ว ลูบผมให้เรียบแล้วเปิดประตูฝืนยิ้มถามว่า “ทำไมถึงกลับไปเร็วนัก”“เรากินเลี้ยงมาทั้งคืนแล้ว ได้เวลากลับแล้ว”ต่งจื่ออวี๋หัวเราะอย่างซื่อบื้อ แล้วถามอีกว่า “แม่นางชิงเสวียน เจ้าร้องไห้รึ ทำไมตาของเจ้าถึงแดงขนาดนี้”ต่งจื่ออวี๋ซื่อบื้อเกินไป คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ทั้งยังพูดจาโผงผาง เซี่ยวอิ๋นหวนจึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงของอินชิงเสวียน นางก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น อวี้เอ๋อร์รังแกเจ้าหรือเปล่า”อินชิงเสวียนพูดโดยเร็ว “ไม่
ณ เป่ยไห่ บริเวณชายฝั่งอินชิงเสวียนมาถึงชายทะเลพร้อมกับศิษย์สองคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ ศิษย์สำนักต่างๆ จำนวนมากมารวมตัวกันรอบเรือ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ยืนชุมนุมกันชี้ไม้ชี้มือไปที่เรือช่างฝีมือหลายคนก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเรือถูกไฟไหม้ พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง“คุณชายน้อยเย่อยู่ที่นี่หรือเปล่า”อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเย่จิ่งหลาน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีฟางรั่วเดินออกมาจากด้านหลังเรือ กระซิบ “ข้าออกมาตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่เห็นคุณชายน้อยเย่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่”เมื่อคืนฟางรั่ว อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นกำลังดื่มอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานกัน ฟางรั่วก็ดื่มไปหลายจอก จึงเข้านอนเร็วพอฟ้าสางก็ลุกขึ้นมาปัสสาวะ แต่นอนไม่หลับ จึงออกมาที่ชายทะเล รับลมทะเล และบรรเทาอาการเมาค้าง ทันทีที่มาถึงก็เห็นเรือเสียหายอย่างไม่คาดคิดเพื่อป้องกันไม่ให้เรือได้รับความเสียหายอีก จึงเฝ้าปกป้องเรืออยู่ที่นี่อินชิงเสวียนรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ“เมื่อคืนเขาออกไปข้างนอกหรือw,j”ฟางรั่วคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง“ไม่มี เพียงครู่เ
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการเข้ามาปลอบใจหญิงสาว แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เต็มใจที่จะมองตัวเอง ในใจก็รู้สึกไม่ดี เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องก็วางกลับที่เดิมเงียบๆ “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะง่วงมาก พักผ่อนเยอะๆ ข้าจะพาไป๋เสวี่ยออกไปตามหาเอง”เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปดูที่ประตู เย่จิ่งอวี้พาไป๋เสวี่ยออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาไม่ได้นอนทั้งคืน อินชิงเสวียนต้องการให้เย่จิ่งอวี้พักผ่อนสักพักหนึ่ง จนกระทั่งร่างสูงหายไป คำพูดอึกอักอยู่บนริมฝีปากเป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดออกไปไม่เพียงแต่นางรู้สึกแปลกแยก นางยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเย่จิ่งอวี้อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ต้องตามหาคนก่อนไม่นานเหล่าศิษย์ก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีใครมีข่าวคราวของเย่จิ่งหลาน จู่ๆ หัวใจของอินชิงเสวียนก็ตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุดตอนเที่ยง อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นจูงมือเสี่ยวหนานเฟิงไปส่งอาหารให้อินชิงเสวียน แต่นางไม่มีความอยากอาหารเลย พอกินได้สองสามคำนางก็วางลงเสี่ยวหนานเฟิงเหมือน
อินชิงเสวียนลุกขึ้นนั่งทันที อาศัยแสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน นางมองเห็นม้วนไม้ไผ่หนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือติดอยู่ที่ขอบไม้ข้างเตียงม้วนไม้ไผ่ลึกเข้าเนื้อไม้สามเฟิน เหลือไว้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว หากสิ่งนี้โจมตีใส่ตัวเอง เกรงว่านางคงไปพบยมบาลแล้วนางรีบมาที่ประตู แล้วแง้มเปิดหน้าต่างเงียบๆ ลานบ้านเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่หน้าประตูดูท่าว่าคนผู้นั้นจากไปแล้ว อินชิงเสวียนแลกพลังจากมิติดึงม้วนไม้ไผ่ออกมาเห็นข้อความเล็กๆ เขียนอยู่บนนั้นหากเจ้าต้องการช่วยเย่จิ่งหลาน ต้องแลกกับพิณการเวก ขืนกล้ากระโตกกระตาก หัวของเย่จิ่งหลานจะหลุดออกจากบ่าหัวใจของอินชิงเสวียนเต้นรัว เกิดเรื่องขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆแล้วจึงพลิกม้วนไม้ไผ่อีกด้านหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน เมืองเติงหลง หนึ่งพิณแลกหนึ่งคนอินชิงเสวียนถือม้วนไม้ไผ่ไว้ในมือลายมือบิดเบี้ยวเหมือนตัวอักษรเด็กๆ และอีกฝ่ายเอ่ยถึงพิณการเวก ถึงใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเป็นคนตงหลิวหรือว่าพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว?อินชิงเสวียนคิดถึงเถียนเซินหลินพวกเขาทันที แต่เมื่อดูจากท่าท
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เถียนเซินหลินเดินเข้ามาจากด้านนอกจึงพูดด้วยความเคารพว่า “ขอคารวะเจ้าสำนักเซี่ยว”สายตาของเจ้าสำนักเซี่ยวมองไปรอบท้ายทอยของเขา“ข้าได้ส่งคนไปโรงเตี๊ยมและหอสุราเพื่อสืบหาวีรบุรุษที่มาต่อสู้กับตงหลิว เจ้าตามไปดูด้วยสิ หากพบเจอคนผู้นั้น ไม่ต้องเอ่ยออกไป กลับมารายงานก็พอ”เถียนเซินหลินสีหน้าระรื่นทันที เหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จัดการคนคนนั้น ผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากวันหน้าโจมตีเป่ยไห่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน“ขอรับ เซินหลินรับคำสั่ง”โมริตะคาวาสึบาเมะตอบรับ ประสานมือคำนับและเดินออกไปเมื่อพวกเขาไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านตา คนผู้นี้เชื่อถือได้จริงหรือขอรับ?”เจ้าสำนักเซี่ยวหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง เมื่ออ่านอย่างละเอียดอยู่ครูหนึ่งจึงพูดว่า “นี่คือลายมือของนักพรตเทียนจีจริงๆ ตัวอักษรของเขาผสานกับสัญลักษ์เต๋า ยากที่จะเลียนแบบ แต่ว่า...”เจ้าสำนักเซี่ยวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เป่ยไห่เป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดสามารถตัดสินได้โดยสามัญสำนึก ข้าก็ไม่ได้เชื่อเขาทั้งหมด ข
เย่จิ่งอวี้รีบพุ่งตัวเดินเข้าไปในห้อง เพียงเหลือบมองก็เห็นรอยขูดนั้นเก่อหงยวนพูด “ครั้งก่อนที่ข้ามายังไม่มี รอยขีดนี้เหมือนยังใหม่มาก อินชิงเสวียนคงไม่ถูกใครลักพาตัวไปหรอกนะ”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วมือกดลงบนรอยเล็กน้อย ใบหน้าก็เปลี่ยนสีทันที“ใหม่มากจริงๆ ข้าจะไปหาท่านตาเดี๋ยวนี้!”ขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนได้อุ้มพิณออกไปจากเป่ยไห่แล้วค่ำคืนอันมืดมิด ดวงดาวไม่กี่ดวงปรากฏวับวาบอยู่ในก้อนเมฆ และลมทะเลรสเค็มพัดผ่านข้างหู ราวกับเสียงผีร้องครวญคราง ทำให้ผู้คนรู้สึกขวัญอ่อนหวาดกลัวนางก็เคยคิดจะถอยเช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงเย่จิ่งหลานที่ทำตามคำขอของนางทุกประการมาตลอด ตัวเองจะเพิกเฉยต่อชีวิตของเขาเพียงเพราะความกลัวในใจได้อย่างไรอินชิงเสวียนยิ่งไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเย่จิ่งอวี้และเจ้าสำนักเซี่ยว หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆ นางไม่มีทางให้อภัยตัวเองตลอดชีวิตเมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ตราบใดที่ได้พบกับผู้ติดต่อ นางจะใช้การช่วงชิงโชคลาภกับพวกเขา ตากนั้นค่อยหาโอกาสนำตัวเย่จิ่งหลานกลับนางตะบึงอย่างบ้าระห่ำตลอดทาง โดยไม่กล้าเสียเวลาแม้เสี้ยวนาทีเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงทางเข้าเมื
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ