ณ เป่ยไห่ บริเวณชายฝั่งอินชิงเสวียนมาถึงชายทะเลพร้อมกับศิษย์สองคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ ศิษย์สำนักต่างๆ จำนวนมากมารวมตัวกันรอบเรือ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ยืนชุมนุมกันชี้ไม้ชี้มือไปที่เรือช่างฝีมือหลายคนก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเรือถูกไฟไหม้ พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง“คุณชายน้อยเย่อยู่ที่นี่หรือเปล่า”อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเย่จิ่งหลาน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีฟางรั่วเดินออกมาจากด้านหลังเรือ กระซิบ “ข้าออกมาตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่เห็นคุณชายน้อยเย่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่”เมื่อคืนฟางรั่ว อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นกำลังดื่มอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานกัน ฟางรั่วก็ดื่มไปหลายจอก จึงเข้านอนเร็วพอฟ้าสางก็ลุกขึ้นมาปัสสาวะ แต่นอนไม่หลับ จึงออกมาที่ชายทะเล รับลมทะเล และบรรเทาอาการเมาค้าง ทันทีที่มาถึงก็เห็นเรือเสียหายอย่างไม่คาดคิดเพื่อป้องกันไม่ให้เรือได้รับความเสียหายอีก จึงเฝ้าปกป้องเรืออยู่ที่นี่อินชิงเสวียนรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ“เมื่อคืนเขาออกไปข้างนอกหรือw,j”ฟางรั่วคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง“ไม่มี เพียงครู่เ
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการเข้ามาปลอบใจหญิงสาว แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เต็มใจที่จะมองตัวเอง ในใจก็รู้สึกไม่ดี เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องก็วางกลับที่เดิมเงียบๆ “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะง่วงมาก พักผ่อนเยอะๆ ข้าจะพาไป๋เสวี่ยออกไปตามหาเอง”เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปดูที่ประตู เย่จิ่งอวี้พาไป๋เสวี่ยออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาไม่ได้นอนทั้งคืน อินชิงเสวียนต้องการให้เย่จิ่งอวี้พักผ่อนสักพักหนึ่ง จนกระทั่งร่างสูงหายไป คำพูดอึกอักอยู่บนริมฝีปากเป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดออกไปไม่เพียงแต่นางรู้สึกแปลกแยก นางยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเย่จิ่งอวี้อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ต้องตามหาคนก่อนไม่นานเหล่าศิษย์ก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีใครมีข่าวคราวของเย่จิ่งหลาน จู่ๆ หัวใจของอินชิงเสวียนก็ตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุดตอนเที่ยง อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นจูงมือเสี่ยวหนานเฟิงไปส่งอาหารให้อินชิงเสวียน แต่นางไม่มีความอยากอาหารเลย พอกินได้สองสามคำนางก็วางลงเสี่ยวหนานเฟิงเหมือน
อินชิงเสวียนลุกขึ้นนั่งทันที อาศัยแสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน นางมองเห็นม้วนไม้ไผ่หนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือติดอยู่ที่ขอบไม้ข้างเตียงม้วนไม้ไผ่ลึกเข้าเนื้อไม้สามเฟิน เหลือไว้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว หากสิ่งนี้โจมตีใส่ตัวเอง เกรงว่านางคงไปพบยมบาลแล้วนางรีบมาที่ประตู แล้วแง้มเปิดหน้าต่างเงียบๆ ลานบ้านเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่หน้าประตูดูท่าว่าคนผู้นั้นจากไปแล้ว อินชิงเสวียนแลกพลังจากมิติดึงม้วนไม้ไผ่ออกมาเห็นข้อความเล็กๆ เขียนอยู่บนนั้นหากเจ้าต้องการช่วยเย่จิ่งหลาน ต้องแลกกับพิณการเวก ขืนกล้ากระโตกกระตาก หัวของเย่จิ่งหลานจะหลุดออกจากบ่าหัวใจของอินชิงเสวียนเต้นรัว เกิดเรื่องขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆแล้วจึงพลิกม้วนไม้ไผ่อีกด้านหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน เมืองเติงหลง หนึ่งพิณแลกหนึ่งคนอินชิงเสวียนถือม้วนไม้ไผ่ไว้ในมือลายมือบิดเบี้ยวเหมือนตัวอักษรเด็กๆ และอีกฝ่ายเอ่ยถึงพิณการเวก ถึงใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเป็นคนตงหลิวหรือว่าพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว?อินชิงเสวียนคิดถึงเถียนเซินหลินพวกเขาทันที แต่เมื่อดูจากท่าท
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เถียนเซินหลินเดินเข้ามาจากด้านนอกจึงพูดด้วยความเคารพว่า “ขอคารวะเจ้าสำนักเซี่ยว”สายตาของเจ้าสำนักเซี่ยวมองไปรอบท้ายทอยของเขา“ข้าได้ส่งคนไปโรงเตี๊ยมและหอสุราเพื่อสืบหาวีรบุรุษที่มาต่อสู้กับตงหลิว เจ้าตามไปดูด้วยสิ หากพบเจอคนผู้นั้น ไม่ต้องเอ่ยออกไป กลับมารายงานก็พอ”เถียนเซินหลินสีหน้าระรื่นทันที เหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จัดการคนคนนั้น ผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากวันหน้าโจมตีเป่ยไห่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน“ขอรับ เซินหลินรับคำสั่ง”โมริตะคาวาสึบาเมะตอบรับ ประสานมือคำนับและเดินออกไปเมื่อพวกเขาไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านตา คนผู้นี้เชื่อถือได้จริงหรือขอรับ?”เจ้าสำนักเซี่ยวหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง เมื่ออ่านอย่างละเอียดอยู่ครูหนึ่งจึงพูดว่า “นี่คือลายมือของนักพรตเทียนจีจริงๆ ตัวอักษรของเขาผสานกับสัญลักษ์เต๋า ยากที่จะเลียนแบบ แต่ว่า...”เจ้าสำนักเซี่ยวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เป่ยไห่เป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดสามารถตัดสินได้โดยสามัญสำนึก ข้าก็ไม่ได้เชื่อเขาทั้งหมด ข
เย่จิ่งอวี้รีบพุ่งตัวเดินเข้าไปในห้อง เพียงเหลือบมองก็เห็นรอยขูดนั้นเก่อหงยวนพูด “ครั้งก่อนที่ข้ามายังไม่มี รอยขีดนี้เหมือนยังใหม่มาก อินชิงเสวียนคงไม่ถูกใครลักพาตัวไปหรอกนะ”เย่จิ่งอวี้ใช้นิ้วมือกดลงบนรอยเล็กน้อย ใบหน้าก็เปลี่ยนสีทันที“ใหม่มากจริงๆ ข้าจะไปหาท่านตาเดี๋ยวนี้!”ขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนได้อุ้มพิณออกไปจากเป่ยไห่แล้วค่ำคืนอันมืดมิด ดวงดาวไม่กี่ดวงปรากฏวับวาบอยู่ในก้อนเมฆ และลมทะเลรสเค็มพัดผ่านข้างหู ราวกับเสียงผีร้องครวญคราง ทำให้ผู้คนรู้สึกขวัญอ่อนหวาดกลัวนางก็เคยคิดจะถอยเช่นกัน แต่เมื่อนึกถึงเย่จิ่งหลานที่ทำตามคำขอของนางทุกประการมาตลอด ตัวเองจะเพิกเฉยต่อชีวิตของเขาเพียงเพราะความกลัวในใจได้อย่างไรอินชิงเสวียนยิ่งไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเย่จิ่งอวี้และเจ้าสำนักเซี่ยว หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆ นางไม่มีทางให้อภัยตัวเองตลอดชีวิตเมื่อได้ตัดสินใจแล้ว ตราบใดที่ได้พบกับผู้ติดต่อ นางจะใช้การช่วงชิงโชคลาภกับพวกเขา ตากนั้นค่อยหาโอกาสนำตัวเย่จิ่งหลานกลับนางตะบึงอย่างบ้าระห่ำตลอดทาง โดยไม่กล้าเสียเวลาแม้เสี้ยวนาทีเดียว ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงทางเข้าเมื
เฮ่อฉางเฟิงพูดวาทะที่เต็มไปด้วยสัจธรรม “คุณชายอย่างข้าเป็นห่วงว่านางจะได้รับอันตราย ตอนนี้นางได้พลิกเหตุร้ายให้กลายเป็นความปลอดภัย ข้ายังต้องออกไปทำไมเล่า?”หยวนเป่าชูนิ้วโป้งขึ้นมาในทันที ฉวยโอกาสนี้เอ่ยว่า “ทำความดีแต่ไม่ประสงค์ออกนาม คุณชายเป็นนักบุญโดยแท้!”เฮ่อฉางเฟิงยกเท้าเตะเขาหนึ่งที“เพิ่งพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว”ระหว่างที่พูด อินชิงเสวียนก็ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เธอก็ตกใจเล็กน้อยนางฆ่าคนเหล่านี้งั้นหรือ? การใช้พิณครั้งก่อน เป็นเพราะว่ามีลูกศิษย์ร่วมทำสงครามด้วยกัน นางจึงไม่รู้ว่าเสียงพิณมีความเก่งกาจถึงระดับไหนกันแน่ ตอนนี้เห็นคนตายเกลื่อนพื้น จึงรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้นางนำพิณการเวกวางไว้ในมิติ และโผร่างบินลงมา จากนั้นก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หากไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคน นางจะไปตามหาเย่จิ่งหลานจากที่ใดอินชิงเสวียนรีบเข้าไปในกองคนตาย นางตามหาจนพบคนหนึ่งหายใจรวยรินอยู่ คนคนนี้ก็คือชายกำยำที่ปิดบังใบหน้าก่อนหน้านี้อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปดึงผ้าคลุมหน้าของเขาออก เมื่อเห็นใบหน้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แววตาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยนี่คือ...
ระหว่างที่อินชิงเสวียนกลับไปที่เป่ยไห่ โมริตะคาวาสึบาเมะได้ตามหาฮั่วเทียนเฉิงพบแล้วเขาจำชื่อของโรงเตี๊ยมเอาไว้ และวิ่งหายวับกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ขณะนั้น ฮั่วเทียนเฉิงกำลังดื่มเหล้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ในใจกำลังครุ่นคิดถึงน้ำฝนที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณว่ามันคือสิ่งใดกันแน่หรือเป็นเพียงแค่ความบังเอิญจริงๆ? แต่ทุกปีก็มีฝนตก ซึ่งไม่เคยเห็นฝนแห่งพลังจิตวิญญาณมาก่อน อีกทั้งยังอยู่ในระหว่างที่เป่ยไห่เกิดความวุ่นวาย คนดีคนชั่วปะปนกันอยู่ จึงทำให้คิดมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากเกิดขึ้นโดยการกระทำของคน คนผู้นี้ต้องมีพลังเหนือธรรมชาติที่กว้างใหญ่ไพศาล จึงมีความสามารถในการเรียกฟ้าเรียกฝนได้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เขายังสามารถนำพลังจิตวิญญาณเข้าไปในสายฝนได้เมื่อคิดว่าผู้ที่ไปยังเป่ยไห่ล้วนเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้ตงหลิว ฝนครั้งนั้นต้องเป็นฝีมือพวกเขาแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮั่วเทียนเฉิงก็รู้สึกเลื่อมใสขึ้นมาอย่างอดไม่ได้หากสามารถนำผู้นำกลับไปยังตำหนักเทพ บางทีอาจช่วยให้พวกเขาเข้าสู่สวรรค์และได้รับความลับที่ไม่ได้สืบทอดมาจากสมัยโบราณ... เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเกือบ
ไม่นานฟ้าก็สว่าง ไป๋เสวี่ยยังคงวิ่งอย่างบ้าระห่ำไปด้านหน้าเย่จิ่งอวี้รีบตามหลังไป๋เสวี่ยไปติดๆ และเรียกชื่อของเสวียนเอ๋อร์ทุกย่างก้าวที่เดินแม้เขารู้ว่าการกระทำเช่นนี้อาจเสียแรงไปเปล่าๆ แต่ยังคงไม่ยอมแพ้ต่อความหวังใดๆ แม้แต่น้อยและยิ่งสำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไปหากเขาอยู่กับเด็กสาวคนนั้นตลอดเวลา คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเป็นเพราะเขายึดติดกับความรู้สึกของนางมากเกินไป ทั้งสองคนแบ่งปันความสุขและความเศร้าด้วยกันมานาน ประสบเรื่องราวอีกมากมาย พวกเขาควรพูดกันอย่างชัดเจนและไม่ควรสงสัยมากนักหากว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับเด็กสาวคนนั้น เขาไม่มีทางอภัยให้ตัวเองได้ตลอดชีวิตระหว่างที่เย่จิ่งอวี้แค้นใจในตัวเอง ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็เห่าออกมา ร่างที่ใหญ่โตกระโดดขึ้นสูงประมาณหนึ่งเมตรกว่าๆ ราวกับคันศรที่ดีดออกจากธนู พุ่งตรงไปยังด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงสีดอกบัว วิ่งออกไปจากถนนที่มีต้นไม้เรียงรายอยู่ข้างหน้า ไป๋เสวี่ยกระโจนเข้าไปพอดี ทำให้ผู้หญิงร่างบอบบางถูกทับลงบนพื้นในทันที“โอ๊ย!”อินชิงเสวียนรีบวิ่งมาตลอดทาง แทบไม่คิดเลยว่าจะมีอะไรกระโดดออกมาตรงหน้า ในขณะที่กำลังจะลงม