“แม่มเอ๊ย!”เย่จิ่งหลานผรุสวาทด้วยความเจ็บปวด ลืมตาขึ้นทันทีแต่พอเห็นเลือดไหลออกมาจากข้อเท้า พร้อมด้วยความเจ็บปวดเฉียบพลัน จากประสบการณ์การเรียนแพทย์มาหลายปี ก็วินิจฉัยได้ว่าน่าจะเป็นเอ็นร้อยหวายขาดหวังซุ่นก็กรีดร้อง นั่งตัวแข็งทื่อราวกับซากศพ“โอ้ย เท้าข้า!”ชาวตงหลิวสองคนหัวเราะเยาะ“ทางที่ดีพวกเจ้าควรอยู่นิ่งๆ ดีกว่า ไม่เช่นนั้นครั้งต่อไปที่จะตัด ก็คือหัวของพวกเจ้า”“ตัดโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรกเดี๋ยวนี้”เย่จิ่งหลานก่นด่าเสียงดัง จากนั้นหยิบปืนพกออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยิงออกไปสองนัดแม้ว่าแสงในถ้ำจะเลือนราง แต่ก็เล็กมาก ทั้งสองอยู่ห่างจากเย่จิ่งหลานเพียงหนึ่งเมตร ระยะใกล้เท่านี้ ยากที่จะพลาดเป้าหลังจากฝึกฝนมานาน ความเร็วในการยิงปืนของเย่จิ่งหลานก็ก้าวหน้าถึงระดับหนึ่ง เขายิงเข้าหัวสองคนอย่างแม่นยำทั้งสองไม่คาดคิดว่า คลื่นใหญ่ลมแรงจะซัดสาดเข้ามา พ่ายแพ้ให้กับเด็กเปรตแค่คนหนึ่ง ไม่ทันได้กรีดร้อง วิญญาณก็ออกจากร่างไปเข้าเฝ้ายมบาลเสียแล้วเย่จิ่งหลานใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในห้องผ่าตัด“แม่มเอ๊ย ต้องรีบผ่าตัดต่อเอ็นกลับคืน ไม่เช่นนั้นขาคู่นี้ต้องพิการแน่ๆ ห
เย่จิ่งหลานนำหนังสือการ์ตูนมาให้เขา หวังซุ่นรับไปด้วยรอยยิ้ม และเริ่มอ่านด้วยความเพลิดเพลินขณะที่ทั้งสองกำลังพักฟื้นอยู่ในมิติ เย่จิ่งอวี้กับอินชิงเสวียนก็ถูกพาไปที่โรงเตี๊ยมชั้นล่างยังมีลูกค้าร่ำสุรากันเสียงดัง ได้ยินเสียงคนเล่นเกมดื่มเหล้าเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นคนที่เหาะขึ้นไปชั้นบนฮั่วเทียนเฉิงวางทั้งสองคนบนเตียงข้างๆ กัน ตรวจสอบลมหายใจ ทั้งสองยังคงหายใจอยู่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนฝึกฝนวิชาเนตรที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้ หากเขาไม่สังเกตเห็นก่อน คงต้องตกหลุมพรางของคู่ต่อสู้ไปแล้วครั้งนี้ยังตรวจไม่พบแหล่งที่มาของน้ำพุวิญญาณได้ แต่ได้ช่วยชีวิตคู่สามีภรรยาไว้ได้ นับว่าไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียวเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฮั่วเทียนเฉิงก็ลอบโคจรกำลังภายใน แสงสีม่วงจางๆ ก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาเขาวางมือบนหัวของเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนตามลำดับ โคจรกำลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขาวิทยายุทธ์ของแต่ละสำนักมีความแตกต่างกัน ฮั่วเทียนเฉิงจึงไม่กล้าถ่ายทอดกำลังภายในให้มากเกินไป เพื่อไม่ให้ทำเกินเหตุจนเสียเรื่อง และกลับกลายเป็นการทำร้ายพวกเขาทั้งสองราวๆ สิบห้านาทีผ่านไป เย่จิ่งอว
เมื่อมองดูใบหน้าที่หล่อเหลานี้ สมองของอินชิงเสวียนก็นึกย้อนกลับไปที่ภาพที่โหดเหี้ยมที่เขาแทงทะลุร่างของเสี่ยวหนานเฟิง เหยียบเลือดสดๆ ค่อยๆ ย่างเข้ามาหานางทีละก้าวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นเจ้าไม่ใช่อินชิงเสวียนตัวจริง เจ้าเป็นตัวปลอมฉากในมโนภาพนั้นสมจริงราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้านนางหลุบตาลง พูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ได้ ท่านไปเถอะ!”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปาก“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับห้อง”ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบงันตลอดทาง จนกระทั่งถึงห้องนอน อินชิงเสวียนก็ปิดประตู“ฝันดีนะ!”นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นที่หน้าประตู“เสวียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็เดินเข้าไปในห้องลับข้างในนั้นมืดมิด และเย่จิ่งอวี้ไม่ได้จุดตะเกียง เดินตามทางที่จำได้ แล้วนั่งลงบนแผ่นหินที่เขามักจะนั่งสมาธิบ่อยๆจิตใจยังคิดถึงมโนภาพที่เหมือนจริงจนไม่อาจลืมเลือนสิ่งที่เสวียนเอ๋อร์พูดไม่ผิด ตัวเองติดค้างนางมากเกินไปจริงๆ อินชิงเสวียนและเย่จิ่งเย่าต่างมีความรักให้แก่กัน ไม่มีใครในเมืองหลวงที่ไม่รู้เรื่องนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานอภิเษกสมรสให้อิ
ทั้งคู่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เพียงชั่วพริบตาก็รุ่งสางแล้วเสียงหัวเราะของเซี่ยวอิ๋นหวนและเสี่ยวหนานเฟิงมาจากนอกประตูอินชิงเสวียนสวมรองเท้าและลุกจากเตียงทันที เดินไปที่ประตู แล้วหยุดชะงักนางไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดที่แท้จริงของเสี่ยวหนานเฟิง จะมีสิทธิ์อะไรไปกอดเขาครั้นได้ยินเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งกระดิ่งเงินของเด็ก อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวในเวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียงของต่งจื่ออวี๋มาจากข้างนอก“แม่นางชิงเสวียน อยู่หรือไม่ พวกเราจะกลับแล้ว”อินชิงเสวียนรีบกลืนความขมขื่นในลำคออย่างรวดเร็ว ลูบผมให้เรียบแล้วเปิดประตูฝืนยิ้มถามว่า “ทำไมถึงกลับไปเร็วนัก”“เรากินเลี้ยงมาทั้งคืนแล้ว ได้เวลากลับแล้ว”ต่งจื่ออวี๋หัวเราะอย่างซื่อบื้อ แล้วถามอีกว่า “แม่นางชิงเสวียน เจ้าร้องไห้รึ ทำไมตาของเจ้าถึงแดงขนาดนี้”ต่งจื่ออวี๋ซื่อบื้อเกินไป คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ทั้งยังพูดจาโผงผาง เซี่ยวอิ๋นหวนจึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้ามาหาทันทีเมื่อเห็นดวงตาที่บวมแดงของอินชิงเสวียน นางก็ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น อวี้เอ๋อร์รังแกเจ้าหรือเปล่า”อินชิงเสวียนพูดโดยเร็ว “ไม่
ณ เป่ยไห่ บริเวณชายฝั่งอินชิงเสวียนมาถึงชายทะเลพร้อมกับศิษย์สองคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ในเวลานี้ ศิษย์สำนักต่างๆ จำนวนมากมารวมตัวกันรอบเรือ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็ยืนชุมนุมกันชี้ไม้ชี้มือไปที่เรือช่างฝีมือหลายคนก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเรือถูกไฟไหม้ พวกเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่พักหนึ่ง“คุณชายน้อยเย่อยู่ที่นี่หรือเปล่า”อินชิงเสวียนมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเย่จิ่งหลาน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีฟางรั่วเดินออกมาจากด้านหลังเรือ กระซิบ “ข้าออกมาตั้งแต่ตีห้า แต่ไม่เห็นคุณชายน้อยเย่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่”เมื่อคืนฟางรั่ว อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นกำลังดื่มอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ทุกคนต่างหัวเราะสนุกสนานกัน ฟางรั่วก็ดื่มไปหลายจอก จึงเข้านอนเร็วพอฟ้าสางก็ลุกขึ้นมาปัสสาวะ แต่นอนไม่หลับ จึงออกมาที่ชายทะเล รับลมทะเล และบรรเทาอาการเมาค้าง ทันทีที่มาถึงก็เห็นเรือเสียหายอย่างไม่คาดคิดเพื่อป้องกันไม่ให้เรือได้รับความเสียหายอีก จึงเฝ้าปกป้องเรืออยู่ที่นี่อินชิงเสวียนรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ“เมื่อคืนเขาออกไปข้างนอกหรือw,j”ฟางรั่วคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง“ไม่มี เพียงครู่เ
เดิมทีเย่จิ่งอวี้ต้องการเข้ามาปลอบใจหญิงสาว แต่เมื่อเห็นนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่เต็มใจที่จะมองตัวเอง ในใจก็รู้สึกไม่ดี เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องก็วางกลับที่เดิมเงียบๆ “เสวียนเอ๋อร์ไม่ได้นอนทั้งคืน คงจะง่วงมาก พักผ่อนเยอะๆ ข้าจะพาไป๋เสวี่ยออกไปตามหาเอง”เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไป ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปดูที่ประตู เย่จิ่งอวี้พาไป๋เสวี่ยออกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาไม่ได้นอนทั้งคืน อินชิงเสวียนต้องการให้เย่จิ่งอวี้พักผ่อนสักพักหนึ่ง จนกระทั่งร่างสูงหายไป คำพูดอึกอักอยู่บนริมฝีปากเป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดออกไปไม่เพียงแต่นางรู้สึกแปลกแยก นางยังรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับเย่จิ่งอวี้อินชิงเสวียนหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ ต้องตามหาคนก่อนไม่นานเหล่าศิษย์ก็กลับมาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่มีใครมีข่าวคราวของเย่จิ่งหลาน จู่ๆ หัวใจของอินชิงเสวียนก็ตกลงมาจนถึงจุดต่ำสุดตอนเที่ยง อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นจูงมือเสี่ยวหนานเฟิงไปส่งอาหารให้อินชิงเสวียน แต่นางไม่มีความอยากอาหารเลย พอกินได้สองสามคำนางก็วางลงเสี่ยวหนานเฟิงเหมือน
อินชิงเสวียนลุกขึ้นนั่งทันที อาศัยแสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน นางมองเห็นม้วนไม้ไผ่หนาเท่ากับนิ้วหัวแม่มือติดอยู่ที่ขอบไม้ข้างเตียงม้วนไม้ไผ่ลึกเข้าเนื้อไม้สามเฟิน เหลือไว้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้นอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว หากสิ่งนี้โจมตีใส่ตัวเอง เกรงว่านางคงไปพบยมบาลแล้วนางรีบมาที่ประตู แล้วแง้มเปิดหน้าต่างเงียบๆ ลานบ้านเงียบสงัด ไม่มีใครอยู่หน้าประตูดูท่าว่าคนผู้นั้นจากไปแล้ว อินชิงเสวียนแลกพลังจากมิติดึงม้วนไม้ไผ่ออกมาเห็นข้อความเล็กๆ เขียนอยู่บนนั้นหากเจ้าต้องการช่วยเย่จิ่งหลาน ต้องแลกกับพิณการเวก ขืนกล้ากระโตกกระตาก หัวของเย่จิ่งหลานจะหลุดออกจากบ่าหัวใจของอินชิงเสวียนเต้นรัว เกิดเรื่องขึ้นกับเย่จิ่งหลานจริงๆแล้วจึงพลิกม้วนไม้ไผ่อีกด้านหนึ่ง ในนั้นเขียนว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน เมืองเติงหลง หนึ่งพิณแลกหนึ่งคนอินชิงเสวียนถือม้วนไม้ไผ่ไว้ในมือลายมือบิดเบี้ยวเหมือนตัวอักษรเด็กๆ และอีกฝ่ายเอ่ยถึงพิณการเวก ถึงใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเป็นคนตงหลิวหรือว่าพวกเขาแทรกซึมเข้ามาในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว?อินชิงเสวียนคิดถึงเถียนเซินหลินพวกเขาทันที แต่เมื่อดูจากท่าท
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เถียนเซินหลินเดินเข้ามาจากด้านนอกจึงพูดด้วยความเคารพว่า “ขอคารวะเจ้าสำนักเซี่ยว”สายตาของเจ้าสำนักเซี่ยวมองไปรอบท้ายทอยของเขา“ข้าได้ส่งคนไปโรงเตี๊ยมและหอสุราเพื่อสืบหาวีรบุรุษที่มาต่อสู้กับตงหลิว เจ้าตามไปดูด้วยสิ หากพบเจอคนผู้นั้น ไม่ต้องเอ่ยออกไป กลับมารายงานก็พอ”เถียนเซินหลินสีหน้าระรื่นทันที เหตุผลที่เขาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อใช้ประโยชน์จากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จัดการคนคนนั้น ผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากวันหน้าโจมตีเป่ยไห่ก็จะเป็นปัญหาใหญ่แน่นอน“ขอรับ เซินหลินรับคำสั่ง”โมริตะคาวาสึบาเมะตอบรับ ประสานมือคำนับและเดินออกไปเมื่อพวกเขาไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็ถามเสียงเบาว่า “ท่านตา คนผู้นี้เชื่อถือได้จริงหรือขอรับ?”เจ้าสำนักเซี่ยวหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาอีกครั้ง เมื่ออ่านอย่างละเอียดอยู่ครูหนึ่งจึงพูดว่า “นี่คือลายมือของนักพรตเทียนจีจริงๆ ตัวอักษรของเขาผสานกับสัญลักษ์เต๋า ยากที่จะเลียนแบบ แต่ว่า...”เจ้าสำนักเซี่ยวชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เป่ยไห่เป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง ไม่มีสิ่งใดสามารถตัดสินได้โดยสามัญสำนึก ข้าก็ไม่ได้เชื่อเขาทั้งหมด ข