เด็กน้อยตกใจเล็กน้อยคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย?นี่มันสำนักอะไรกันมีหลายคำด้วย ฟังดูท่าทางร้ายกาจจริงๆเมื่อเห็นเย่จิ่งหลานการแต่งกายดูดี โมริตะคาวาสึบาเมะก็อดสนใจไม่ได้เขาเดินทางออกจากเกาะทั้งคืน สิ้นเปลืองกำลังคนไปมาก ในที่สุดก็มาถึงเมืองเติงหลง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ล่า เขาได้ปีนลงจากภูเขา ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทาง ก็เพื่อปะปนเข้ามาในเป่ยไห่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะอายุไล่เลี่ยกับเข้า ดังนั้นจึงเหมาะที่จะตีสนิทเมื่อนึกถึงตรงนี้ โมริตะคาวาสึบาเมะก็กระตุกมุมปากขึ้น ประกบมือคารวะตามแบบฉบับคนจงหยวนและพูดว่า “ที่แท้ก็คือศิษย์ของคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย ขออภัยที่เสียมารยาท”เย่จิ่งหลานหัวเราะ ก่นด่าในใจว่าเสียมารยาทโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้แสร้งทำเป็นเข้าใจ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกอารมณ์เสียต้องเป็นคุณชายจากตระกูลใดสักตระกูลมาที่นี่เพื่อฝึกฝน เมื่อกลับสำนัก บันทึกการมีส่วนร่วมในการต่อสู้สักสนาม ก็เท่ากับเคลือบชั้นทองคำให้ตัวเองแล้วถุย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ก็ขาดทายาทรุ่นสองแบบนี้ไม่ได้เย่จิ่งหลานมาจากครอบครัวที่ยากจน ทนกับคนประเภทนี้ไม่ได้มากที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะอยากแกล้
โมริตะคาวาสึบาเมะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าใบหน้ากลับแสดงสีหน้าชื่นชม“คิดไม่ถึงว่าคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ยจะมีศิษย์มากมายขนาดนี้ แต่พูดตามตรง สำนักนี้ของคุณชาย เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยิน”เย่จิ่งหลานเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “คนหูตาคับแคบเช่นเจ้า จะไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก”ทันใดนั้นสีหน้าของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเกเจ้าเด็กเปรตนี่ กล้าฉีกหน้าเขาแบบนี้ ถ้าเขาไม่ต้องการตีสนิทเขา คงจะส่งเขาไปพบยมบาลด้วยฝ่ามือเดียวแล้วแน่ๆเย่จิ่งหลานถามอย่างไม่อินังขังขอบ “ไม่ทราบว่าน้องชายคนนี้เป็นศิษย์ของสำนักอะไร”โมริตะคาวาสึบาเมะประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมาจากสำนักอวิ๋นชวนเยี่ยนหาง ได้ยินเรื่องการต่อสู้ในเป่ยไห่ จึงอยากจะมาช่วยอีกแรงโดยเฉพาะ เพียงแต่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ หวังว่าคุณชายน้อยจะช่วยดูแลด้วย”เย่จิ่งหลานก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักของเขา แต่น้ำเสียงคำพูดของเขา ฟังดูไม่เหมือนเด็กอายุไม่กี่ขวบอย่างแน่นอนเขายิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน”โมริตะคาวาสึบาเมะดีใจ ในความเห็นของเขา เย่จิ่งหลานเป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบ ย่อมถูกหลอกได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ชาวตงหลิวบูชาพระอาทิตย์ ดังนั้นหวังซุ่นจึงดีใจมากที่ได้ยินเย่จิ่งหลานเปรียบเทียบตัวเองกับดวงอาทิตย์“ได้ ข้าเชื่อท่านอ๋อง”เย่จิ่งหลานกล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้ห้ามบอกกับเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนเช่นกัน”หวังซุ่นตอบรับว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง ข้ารับรองถึงตีให้ตายก็ไม่พูด”ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ทั้งหมดก็มาถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว อินชิงเสวียนกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงและพูดคุยกับเซี่ยวอิ๋นหวน เมื่อเห็นเย่จิ่งหลาน ก็ถามทันทีว่า “เจ้าไปไหนมารึ”หวังซุ่นพยักหน้าโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยกับท่านอ๋องไปทะเลมา นี่ยังจับได้ปูตัวใหญ่มาเยอะขนาดนี้ คืนนี้เราจะได้กินกัน”อินชิงเสวียนจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้จักแต่กิน ไม่กลัวที่จะเจอคนไม่ดีหรือ”เย่จิ่งหลานหัวเราะแหะๆ และพูดว่า “อากาศแจ่มใสแบบนี้ จะมีคนเลวที่ไหนเยอะแยะ ยังมียอดฝีมือติดตามไปด้วยสองคน ไม่เป็นไรหรอก”หลังจากพูดจบก็มองไปที่หวนไท่เฟย ครั้นเห็นสีหน้าของนางดูดี ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับประสิทธิภาพของน้ำพุวิญญาณมีของเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาหนิง ผู้อาวุโสสวีก็ต้องหลีกทางให้ น่าเสียดายที่ตัวเองดื่มมานาน ทั้งอาบทั้
“มาแล้ว”หวังซุ่นขานตอบ แล้ววิ่งกระดิกหางเข้ามา“ท่านอ๋องน้อยเรียกข้าน้อยมามีอะไรหรือ”หวังซุ่นได้ยิ้มประจบประแจงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเย่จิ่งหลานปิดประตู ดึงเขาเข้าไปในห้องด้านใน“ข้ามีภารกิจมอบหมายให้เจ้าทำ ถ้าเจ้าทำได้ดี ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยบุหรี่ชั้นดีสิบกล่องเลย”ในช่วงเวลานี้ หวังซุ่นถูกเย่จิ่งหลานสอนจนติดบุหรี่แล้ว ทุกครั้งที่เย่จิ่งหลานสูบบุหรี่ เขาจะนั่งยองๆ รออยู่ข้างหลังถ้าเย่จิ่งหลานอารมณ์ดีก็จะให้เขาสักมวนหนึ่ง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ได้ก็จะให้แค่ก้นบุหรี่ แต่เจ้านี่กลับไม่รังเกียจ แค่ได้สูบก็พอใจแล้ว แต่กระนั้นก็สูบไม่หนำใจ พอได้เย่จิ่งหลานบอกว่าจะให้บุหรี่เขาได้มากมาย เขาก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหู“ไม่มีปัญหา ท่านอ๋องน้อยเชิญสั่งมาได้เลย ตราบใดที่ข้าน้อยทำได้ รับรองว่าต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น”เย่จิ่งหลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าสวมหน้ากากไปพบกับฉุยอวี้ จากนั้นเราจะหาจังหวะไปจับคนสมคบคิดกับศัตรู ยังสามารถใช้โอกาสนี้พาเจ้าเข้าไปในมิติ สร้างภาพลวงตาว่าเจ้ากำลังใช้ทักษะการหลบหนี จากนั้นเจ้าก็สามารถถอดหน้ากาก แล้วกลับมาเป็นตัวเองเหมือน
เย่จิ่งหลานปั้นเรื่องว่า “ในสำนักของเรามีคนมากเกินไป ไม่สามารถอาศัยอยู่บนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ได้หมด อาจารย์ของข้ามาจากที่เดียวกับเจ้าสำนักเซี่ยว จึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว”โมริตะคาวาสึบาเมะมีสีหน้าประหลาดใจ“เป็นเช่นนี้นี่เอง ได้ยินชื่อหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยสามารถช่วยแนะนำข้าให้เจ้าสำนักเซี่ยวได้หรือไม่”ทว่าอดไม่ได้ที่จะสบถเสียงดังในใจเห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กเปรตนี่คุยโม้อยู่ เมื่อวานเขาถามเรื่องนี้ที่เหลาสุราแล้ว ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ยเลย แต่ตอนนี้เขาต้องการใช้ประโยชน์จากเจ้าเด็กเปรตนี่ จึงต้องแสร้งยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเย่จิ่งหลานกลอกตาแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเจอกันครั้งแรกเหมือนรู้จักกันมานาน ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พอดีคืนนี้ทุกสำนักต้องไปหารือในสำนักเซียวเหยาคืนนี้ ถ้าคุณชายน้อยว่าง ก็สามารถเข้าไปร่วมครึกครื้นได้”จู่ๆ ใบหน้าของโมริตะคาวาสึบาเมะก็สว่างขึ้นด้วยความดีใจ“เช่นนั้นก็ดีเลย”เย่จิ่งหลานยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ เราจะไปรวมตัวกันที่สำนักเซียวเหยา เวลานั้นข้าจะแนะนำผู้อาวุโสในยุทธจักรเหล่านั้นกับเจ้า”โมริ
ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ก็เข้าไปในภูเขานางรู้สึกมาโดยตลอดว่าลูกตาสีแดงของเย่จิ่งอวี้นั้นไม่ใช่สิ่งดีเลย ตลอดสองวันนี้อยากเห็นป่าศพที่เขาพูด ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ทั้งสองขึ้นไปบนภูเขา เย่จิ่งอวี้ก็พบเส้นทางในวันนั้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มองเห็นหุบเขา“ที่นี่ไง”เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วันนั้นข้าพยายามเต็มที่ แต่ยังตามชายคนนั้นไม่ทัน แสดงให้เห็นว่าเขามีวรยุทธ์สูงมาก หากได้พบเขาอีก ห้ามลงมือเด็ดขาด รีบเข้าไปในมิติทันที”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ข้ารู้แล้ว”อินชิงเสวียนไม่ใช่คนบ้าบิ่น นางไม่เคยต่อสู้ในศึกที่ไม่มั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้น ในมิติยังมีข้อห้ามมากมาย ถ้าถูกคนจับตัวไว้ ก็ไม่สามารถเข้าไปในมิติได้ทั้งสองเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง กลับพบว่าพืชพรรณภายในเป็นสีเขียวขจี มีลำธารเล็กๆ ล้อมรอบ ไม่มีป่าศพเหมือนที่เย่จิ่งอวี้พูดเย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกันสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นภาพลวงตาทั้งหมด หรือว่า...ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงเย่จิ่งอวี้ส่ายหัว เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณชั่วร้ายเลย ต้องมีคนเก็บซากศพเหล่านั้น
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาลดเสียงลงแล้วถามว่า “ที่ไหน”“ข้าก็บอกอย่างแน่นอนไม่ได้”นี่เป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง ยังไม่แม่นยำขนาดนั้น“อาอวี้ เรากลับกันเถอะ!”อินชิงเสวียนขนลุกซู่ ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาทของอีกฝ่ายด้วยซ้ำเย่จิ่งอวี้เหยียดแขนออก กอดอินชิงเสวียนไว้ และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นแปลกมาก จนเย่จิ่งอวี้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอินชิงเสวียนเห็นว่าเขายังไม่อยากกลับ จึงไม่พูดอะไรอีก ในวังหลวงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่จิ่งอวี้ก็สามารถยืนเคียงข้างนางได้ และนางก็สามารถเสี่ยงอันตรายเพื่อเขาได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีมิติ“อืม”อินชิงเสวียนยิ้มอ่อนโยน พิงอยู่ในอ้อมอกของเย่จิ่งอวี้เมื่อเห็นสาวน้อยพิงตัวเองเหมือนกับนกน้อยก็ไม่ปาน ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบอันแรงกล้าในใจเสวียนเอ๋อร์เชื่อใจเขามากเพียงนี้ เขาต้องปกป้องความปลอดภัยของนางให้ได้ทั้งสองระมัดระวังตลอดทาง ขณะที่เดินเข้าไปในหุบเขาลึกธารน้ำไหลผ่านเท้า ใสจนเห็นก้นบึ้ง เสียงน้ำไหลซู่ซ่าก็ฟังดูผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ถูกอินช
เย่จิ่งหลานแสร้งตีหน้าร้อนอกร้อนใจ กลิ้งตัวคลานลงไปในทะเลโมริตะคาวาสึบาเมะหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง และความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปในที่สุดเมื่อมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง พวกเขาแน่นิ่งราวกับปลาที่ตายแล้ว สันนิษฐานว่าตายไปแล้วโมริตะคาวาสึบาเมะอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจโคตรพ่อโคตรแม่มันเถอะ เมื่อครู่มันคืออะไรเย่จิ่งหลานมาถึงตรงหน้าเขา ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อช่วยพยุงโมริตะคาวาสึบาเมะให้ลุกขึ้นทั้งสองคนมีร่างกายที่อายุไม่กี่ขวบ ทันทีที่คลื่นยักษ์ซัดมา ก็หอบร่างพวกเขาทั้งสองกลับลงไปในน้ำ“สหาย เจ้าเป็นไรหรือไม่”เย่จิ่งหลานเช็ดน้ำทะเลออกจากหน้า แล้วดึงโมริตะคาวาสึบาเมะอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าเด็กเปรตนี่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยตัวเอง โมริตะคาวาสึบาเมะก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย“ไม่เป็นไร”โมริตะคาวาสึบาเมะคลานขึ้นจากน้ำ และคว้าเย่จิ่งหลานไว้ หวังซุ่นก็วิ่งมาแต่ไกลเช่นกัน“คุณชาย พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่”เดิมทีคิดว่าเย่จิ่งหลานต้องการฆ่าโมริตะคาวาสึบาเมะ แต่จู่ๆ เขาก็ปิดสวิตช์ไฟฟ้า หวังซุ่นก็ต้องยื่นมือออกไปดึงทั้งสองคน แล้วยกทั้งสองขึ้นฝั่งโมริตะคาวาสึบาเมะนั่งลงบนพื้น ความรู้สึกของการรอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี