เย่จิ่งหลานแสร้งตีหน้าร้อนอกร้อนใจ กลิ้งตัวคลานลงไปในทะเลโมริตะคาวาสึบาเมะหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง และความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปในที่สุดเมื่อมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง พวกเขาแน่นิ่งราวกับปลาที่ตายแล้ว สันนิษฐานว่าตายไปแล้วโมริตะคาวาสึบาเมะอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจโคตรพ่อโคตรแม่มันเถอะ เมื่อครู่มันคืออะไรเย่จิ่งหลานมาถึงตรงหน้าเขา ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อช่วยพยุงโมริตะคาวาสึบาเมะให้ลุกขึ้นทั้งสองคนมีร่างกายที่อายุไม่กี่ขวบ ทันทีที่คลื่นยักษ์ซัดมา ก็หอบร่างพวกเขาทั้งสองกลับลงไปในน้ำ“สหาย เจ้าเป็นไรหรือไม่”เย่จิ่งหลานเช็ดน้ำทะเลออกจากหน้า แล้วดึงโมริตะคาวาสึบาเมะอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าเด็กเปรตนี่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยตัวเอง โมริตะคาวาสึบาเมะก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย“ไม่เป็นไร”โมริตะคาวาสึบาเมะคลานขึ้นจากน้ำ และคว้าเย่จิ่งหลานไว้ หวังซุ่นก็วิ่งมาแต่ไกลเช่นกัน“คุณชาย พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่”เดิมทีคิดว่าเย่จิ่งหลานต้องการฆ่าโมริตะคาวาสึบาเมะ แต่จู่ๆ เขาก็ปิดสวิตช์ไฟฟ้า หวังซุ่นก็ต้องยื่นมือออกไปดึงทั้งสองคน แล้วยกทั้งสองขึ้นฝั่งโมริตะคาวาสึบาเมะนั่งลงบนพื้น ความรู้สึกของการรอ
“หยุดพล่าม พูดมาเลยเร็วๆ”เย่จิ่งหลานโยนบุหรี่และไฟแช็กกันลมให้หวังซุ่นยิ้มทันที จุดไฟ แล้วสูบอย่างเคลิบเคลิ้มมายืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าพูด ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ท่านอ๋องน้อยระวังไว้ก็ดี คนผู้นี้อาจไม่ใช่เด็กธรรมดา”“บอกประเด็นสำคัญ”เพื่อไม่ให้เป็นไข้หวัด เย่จิ่งหลานจิบน้ำพุวิญญาณหนึ่งคำ เขารู้สึกดีขึ้นมากในทันทีหวังซุ่นสูบบุหรี่อีกคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าสบาย “ในตอนนั้นอาจารย์ของข้าที่มาจากจงหยวนผู้นั้นถูกตระกูลโมริตะจับตัวไป ตระกูลโมริตะอยากจะเก็บอาจารย์ของข้าไปใช้งานเองมาโดยตลอด หลังจากพยายามมาตลอดหลายปี ในที่สุดก็ล้มเหลว จึงโยนอาจารย์ของข้าไปขังไว้ในคุกอันมืดมิด ในช่วงหลายปีที่เขาอยู่ในตระกูลโมริตะ ก็ได้รู้ความลับบางอย่าง และเล่าให้ข้าพเจ้าฟังก่อนจะเสียชีวิต”หวังซุ่นหยุดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็แสดงท่าทางหวาดกลัวอีกครั้ง ผ่อนเสียงให้เบาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“อาจารย์ของข้าบอกว่า อ๋องน้อยโมริตะผู้นี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน วิญญาณในร่างกายของเขา อาจไม่ใช่เขา”เย่จิ่งหลานนั่งตัวตรงทันที หรือว่าเขาเดาถูก เป็นผู้ข้ามมิติมาอีกคน?หวังซุ่นกล่าวต่อ “ในตงหลิว ม
อาซือหลานกำลังนั่งสมาธิในห้อง สองวันนี้ได้ดูดซับกำลังภายในจากเตาหลอมหญิงมามาก ต้องการเวลาในการซึมซับอีกหน่อยเมื่อได้ยินศิษย์สำนักมารายงานว่ามีคนจากต้าหลัวเทียนต้องการพบเขา ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย มีสำนักในยุทธจักรมากมาย แต่ไม่เคยได้ยินชื่อต้าหลัวเทียนมาก่อน แล้วอวี๋กงคือผู้ใดอีกเมื่อคิดว่าระยะนี้ชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาไม่ค่อยดีนัก อาซือหลานจึงตัดสินใจออกไปดูเขาวางเสื้อคลุมสีดำลง แล้วเดินออกจากห้องด้านในชายชราที่อยู่หน้าประตูแต่งตัวเรียบง่าย รูปร่างไม่สูง ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยชราเขาเอามือไพล่หลัง มองดูป้ายของสำนักเซียวเหยาด้วยสีหน้าสงบครู่ต่อมา อาซือหลานมาถึงที่ประตู ประกบมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คือฉุยอวี้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือ...”ชายชราเหลือบมองเขา ทันใดนั้นก็ลดเสียงลง“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย”อาซือหลานสวมหมวกสานที่คลุมด้วยผ้าโปร่งสีดำ มองไม่เห็นสีหน้าได้ ได้ยินเพียงหัวเราะแหบแห้งว่า “ผู้อาวุโสเชิญด้านใน”บนหลังคาที่อยู่ไม่ไกล ผู้อาวุโสสวีถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าเห็นฉุยอวี้สมคบคิดกับคนตงหลิวจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนหยิบเครื่องส่งรับ
“ชาวตงหลิว สมควรตาย!”เสียงใสราวกับน้ำพุดังก้องออกมาจากริมฝีปากของสตรีคนนั้น ฝ่ามือก็ถูกซัดโดนร่างของอวี๋กงแล้วเมื่อเห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มดวงนั้น ม่านตาของฉุยอวี้ก็หดลง ปล่อยมือของอวี๋กงโดยไม่รู้ตัวความปรารถนาในใจทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินอวี๋กงตะโกน และร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้นซึ่งคนที่ลงมือไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอินชิงเสวียนนางรู้ถึงข้อเสียของมิติ ด้วยความกระวนกระวายใจ นางทำได้เพียงแกล้งทำเป็นจัดการกับอวี๋กง แต่จริงๆ แล้ว นางเพียงแลกความเร็วของมิติเท่านั้น ซึ่งความแรงของฝ่ามือนั้น ไม่ต่างจากการตบของคนทั่วไปหวังซุ่นซึ่งแต่งตัวเป็นอวี๋กงก็ตื่นตัวเช่นกัน ล้มตัวลงนอนบนพื้นเสียงดังตึงเย่จิ่งหลานรีบใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในมิติอาซือหลานรู้สึกตัว หัวใจก็เต้นรัวเมื่อเห็นอวี๋กงหายตัวไปอย่างกะทันหันคนสามารถหายไปจากอากาศได้ นี่มันวิชายุทธ์อะไรกันเฮ่ออวิ๋นทงและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจว่า คนทั้งคนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ถึงกับมีคนมาดูตรงจุดที่หวังซุ่นเพิ่งหายตัวไป ใช้มือเคาะดูจนทั่วเสียงนั้นทุ้มหนัก ไม่สามารถซ่อนอะไรได้เก่อหงย
เย่จิ่งหลานเตะเขาทันที“ระวังคำพูดด้วย มีผู้หญิงอยู่ในห้อง”หวังซุ่นรีบตบปากตัวเองสองครั้งอย่างรวดเร็ว พูดด้วยรอยยิ้ม “นิสัยปากเสียของข้าน้อยกำเริบอีกแล้ว กุ้ยเฟยกับแม่นางฮวาอย่าใส่ใจ”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“หยุดโม้ได้แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่”ครั้นแล้วหวังซุ่นก็เล่าทุกอย่าง ตั้งแต่เดินเข้าประตูไปจนถึงคุยกับฉุยอวี้ส่วนที่เหลือ ทุกคนก็ได้ยินผ่านเครื่องส่งรับวิทยุแล้ว ไม่มีความคลาดเคลื่อนจริงๆถ้าฉุยอวี้ไม่สังเกตเห็นว่าหวังซุ่นสวมหน้ากาก ก็สามารถใส่ร้ายเขาได้น่าเสียดาย...หวังซุ่นก็รู้ว่าทุกคนลงมืออย่างสูญเปล่าก็เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา จะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาซือหลาน ที่เคยไปอยู่กับเขามาระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ทั้งตัวของเขาถูกคลุมไปด้วยผ้าสีดำ ไม่สามารถมองเห็นแขนขาได้ และไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์และสีหน้าของเขาได้ เสียงของเขาถูกกดให้ต่ำลงและแหบแห้งอย่างจงใจ หวังซุ่นจะคาดคิดได้หรือว่าผ็ที่ตายไปแล้ว จะฟื้นชีวิตมาอยู่ที่นี่เย่จิ่งอวี้ก็คิดไม่ตกเช่นกัน นอกจากสายตาที่ดุร้ายของฉุยอวี้แล้ว ไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก“วันนี้ต้องโทษข้าน้อย
อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ต่างก็ตกตะลึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินชิงเสวียน ความพรั่นพรึงในใจไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแล้วมิติคือการดำรงอยู่อย่างอิสระ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้แม้ว่านางจะอนุญาต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้ามาได้นางยังไม่ได้เปิดหน้าจอเพื่อสื่อสารกับโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่สามารถได้ยินเสียงจากภายนอกได้เย่จิ่งอวี้รวบเสื้อคลุมบนร่าง แล้วรีบรุดไปที่เตียง ขณะที่กำลังจะถาม เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นอีกครั้งกริ๊ง กริ๊งจังหวะของกระพรวนนั้นช้ามาก แต่มีพลังเวทมนตร์ที่อธิบายไม่ได้ กระทบหัวใจของทั้งสองคนพร้อมกันอินชิงเสวียนผุดลุกขึ้นทันที ใช้ความเร็วของมิติเพื่อตรวจค้นภายในทั้งหมดอย่างรวดเร็วไม่มีบุคคลภายนอกจริงๆ“เป็นไปได้อย่างไร”ไม่ควรเป็นแบบนี้เลยเย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“ข้าจะออกไปดู”“อย่า!”อินชิงเสวียนคว้าตัวเขาไว้ จากนั้นเปิดหน้าจอขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก และภาพของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็อยู่ในสายตากลางคืนมืด ไม่มีวี่แววใดๆ ในลานบ้านยกเว้นลูกศิษย์ไม่กี่คนที่เฝ้าเวรกลางคืน ก็ไม่มีอะไรผิด
เนิ่นนานหลังจากนั้น เขาก็หยุดหัวเราะ หยิบกระพรวนสีดำออกมาจากอกเสื้อทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนพูดว่า “ดูเหมือนว่าจะมีเสียงอยู่ตรงนั้น”“เข้าไปดูเร็ว”เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังขึ้นจากระยะไกล และคนผู้นั้นก็หายตัวไปทันทีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นศพแขวนอยู่บนต้นไม้“เป็นศิษย์พี่หลิวจากสำนักหานเตา มีศิษย์พี่เจียงจากสำนักเทียนหยวนด้วย”อีกคนพูดว่า “ตรงนี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ของสำนักเซียวเหยา”“เฮ้ย นี่คือศิษย์พี่หวังจากสำนักกระบี่สังหาร!”เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของทั้งสองคน คนอื่นๆ ก็วิ่งกรูไปอย่างรวดเร็ว และทั้งหมดก็ตกใจกับภาพที่อยู่ตรงหน้าทุกคนตกตะลึงเป็นเวลานาน ก่อนที่ศิษย์คนหนึ่งจะพูดราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน “กลับไปรายงานต่อเจ้าสำนักด่วน”“ใช่ รีบไปเถอะ”ทั้งหมดใช้วิชาตัวเบาทันที แทบอยากจะยืมขาคู่หนึ่งจากกระต่ายมาช่วยกระโดดด้วยซ้ำ ต่างวิ่งล้มลุกคลุกคลานกลับไปยังสำนักตัวเองอินชิงเสวียนได้เปิดการเชื่อมต่อมิติ สามารถมองเห็นทุกสิ่งภายนอกได้“อาอวี้ เราต้องรีบกลับไป ถ้ามีใครมาเห็นเราที่นี่ อาจจะเกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็
เฮ่ออวิ๋นทงส่ายหัวอย่างจนปัญญา พูดกับเหล่าลูกศิษย์ว่า “พาเจ้าสำนักเซี่ยวไปที่คุกใต้ดิน ส่วนที่เหลือพาศิษย์กลับสำนัก เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด”เมื่อเห็นเจ้าสำนักเซี่ยวออกไป ซื่อเมี่ยวอินก็กำนิ้วแน่น อย่างไรนี่เป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก พวกนางทำอะไรไม่ได้พอกลับถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เป็นเวลารุ่งเช้าแล้วทุกคนไม่มีใครง่วงนอน บรรยากาศก็ค่อนข้างอึมครึมเย่จิ่งหลานรู้เรื่องราวทั้งหมดจากอินชิงเสวียนแล้ว จึงทำได้แค่แสดงความเห็นอกเห็นใจ แม้แต่ยอดฝีมืออย่างเย่จิ่งอวี้ก็ไม่สามารถยับยั้งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตัวเขาเองเลยไปตีสนิทหาเจ้าโง่น้อยดีกว่า บรรยากาศในสำนักช่างหดหู่เหลือเกินหลังจากแจ้งอินชิงเสวียนแล้ว เย่จิ่งหลานก็พาหวังซุ่นออกจากเรือน มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่โมริตะคาวาสึบาเมะพักอยู่โมริตะคาวาสึบาเมะกำลังนั่งอยู่ในเหลาสุราเพื่อฟังเรื่องซุบซิบ ชายฝั่งทะเลเป่ยไห่เต็มไปด้วยผู้คนจากยุทธภพ ข่าวแพร่กระจายเร็วกว่าคนทั่วไป ทั้งเหลาสุราต่างก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เมื่อทราบว่าเจ้าสำนักเซี่ยวถูกจำคุกเหล็กชั้นดีซึ่งสร้างขึ้นจากการร่วมมือกันของสำนักต่างๆ ริมฝีปากของโมริตะคาวาสึบาเมะก็
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล