กวนเซี่ยววิ่งออกจากโรงเตี๊ยม พูดอย่างตื่นเต้น “ยังมีห้องว่างอยู่ สามารถเข้าพักได้”แต่เห็นว่าฟางรั่วตัวสั่นไปทั้งร่าง เหมือนจะยืนโงนเงนเขารีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”“ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว เข้าไปพักก่อนเถอะ!”ฝ่ามือของฟางรั่วเต็มไปด้วยเหงื่อกวนเซี่ยวไม่กล้าชักช้า รีบประคองนางเข้าไปในห้องพัก“เจ้านอนพักสักครู่ ข้าจะไปตามหมอมา”“ไม่ต้อง ข้าอยากนอนสักพัก เจ้าออกไปก่อน!”ฟางรั่วพูดจบก็หลับตากวนเซี่ยวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดประตู ปล่อยให้นางพักผ่อนอยู่ในห้องฟางรั่วรออยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งนางติดตามอาซือหลานมาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา นางคุ้นเคยดีที่สุดทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของเขา เหมือนจะประทับอยู่ในหัวใจของฟางรั่วแม้ว่าเขาจะเปลี่ยนกลิ่นอายของตัวเองด้วยเครื่องเทศพิเศษ แต่ฟางรั่วก็ยังคงจำการก้าวย่างของเขาได้นางสามารถเอาหัวเป็นประกันได้ ว่าชายที่สวมหมวกสานใบใหญ่ คืออาซือหลานแน่ๆความตื่นเต้นและความโกรธค่อยๆ จางหายไป ฟางรั่วก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบก่อนหน้านี้แน่นอนว่าการเดาของนางนั้นถูกต้อง ไม่เพียงแต่อาซือหลานจะยังไม่ตาย แต่เขายังเปลี่ยนต
เย่จิ่งหลานชำเลืองมองแวบหนึ่ง ร่องรอยแห่งความสนุกสนานพลับแวบขึ้นในดวงตาในเมื่อคุณชายคาวาสึบาเมะรนหาที่ตายเอง งั้นก็มาโทษเขาไม่ได้ เดิมทีต้องการตีสนิท ค้นหาที่ซ่องสุมของพวกตงหลิว กำจัดพวกเขาในคราวเดียว แล้วตัวเองก็กลายเป็นเจ้าเกาะเล่นๆเมื่อเห็นความพยายามในการพูดจาของคาวาสึบาเมะ เย่จิ่งหลานก็เปลี่ยนใจตัดกำลังให้คนเหล่านี้อ่อนแอลงก่อน เหมือนจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยแน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของอินชิงเสวียน ไม่รู้ว่านางจะแสดงอานุภาพของพิณการเวกได้มากน้อยเพียงใดขณะที่ความคิดกำลังโลดแล่น โมริตะคาวาสึบาเมะก็ชวนชนจอกสุราอีกเย่จิ่งหลานรู้สึกว่าเขาพูดมากพอสมควรแล้ว จึงแสร้งทำเป็นเมามาย แล้วออกจากเหลาสุราก่อนครั้นกลับถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เย่จิ่งหลานก็ไปหาอินชิงเสวียนทันที และเล่าเรื่องเกี่ยวกับโมริตะคาวาสึบาเมะให้นางฟังอินชิงเสวียนเอื้อมมือไปดึงหูของเย่จิ่งหลาน“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้ากลับไม่บอกข้า ถ้าเกิดเจ้าตกอยู่ในอันตรายล่ะ จะทำอย่างไร”เย่จิ่งหลานร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดเกินจริง พูดว่า “พวกเราต่างก็เป็นคนที่มีมิติ จะกลัวอะไร”อินชิงเสวียนพูดด้วยความเดือดดาล
อินชิงเสวียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นเจ้าเด็กอ้วนเหมือนจะตัวหนักขึ้น มีกลิ่นน้ำนมอ่อนๆ หอมกรุ่นติดตัวเสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออก กอดคอของอินชิงเสวียน แล้ววางแก้มนุ่มนิ่มซบบนคอของอินชิงเสวียน พูดเบาๆ ว่า “ไม่โกรธๆ”เซี่ยวอิ๋นหวนยิ้มด้วยความรักใคร่“จ้าวเอ๋อร์เชื่อฟังมาก มีข่าวจากเจ้าสำนักเซี่ยวหรือไม่”“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล มีเจ้าสำนักเฮ่ออยู่ ไม่มีใครกล้าแอบทำอันตรายกับเจ้าสำนัก แม้ว่าใครบางคนจะมีเจตนาชั่วร้าย แต่ใช่ว่าจะประมือกับเจ้าสำนักเซี่ยวได้”อินชิงเสวียนหอมแก้มน้อยๆ ของเสี่ยวหนานเฟิง อุ้มเขานั่งบนเก้าอี้ข้างๆเจ้าสำนักเซี่ยวเคยแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ หายจากอาการบาดเจ็บภายในแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทักษะวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งของเขา อินชิงเสวียนจึงไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขามากนักความกังวลในดวงตาของเซี่ยวอิ๋นหวนยังไม่ลดลงในช่วงสองวันที่ผ่านมาได้ศึกษาค้นคว้าเพลงพิณอยู่ในหอ ในเวลาว่างก็ไปอยู่เล่นกับหลานชาย ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกสิ่ง แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ นางล้วนมองเห็นอยู่ในสายตาเช้าวันนี้ได้ทราบจากฮวาเชียนว่าสองคนผัว
อินชิงเสวียนหันขวับ ด้านหลังสิบเมตรมีหญิงวัยกลางคนสวมกระโปรงคาดอกผ้าหยาบๆ ยืนอยู่หญิงคนนั้นมีรูปร่างหน้าตาธรรมดา อายุราวๆ สามสิบปี มีผ้าลายดอกไม้ผูกอยู่บนศีรษะ ดูไม่ต่างจากหญิงชาวนาทั่วไปอินชิงเสวียนยังคงจำเสียงที่คุ้นเคยของเจ้าของที่แท้จริงเบื้องหลังหน้ากากได้“เป็นเจ้า ฟางรั่ว?”ฟางรั่วถอดหน้ากากออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ใช่ ข้าเอง”ซื่อเมี่ยวอินรีบเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าของหน้าอินชิงเสวียนทันที มองไปที่ฟางรั่วอย่างระมัดระวังนัยน์ตาของฟางรั่วฉายแววเย้ยหยัน“สมแล้วที่เป็นกุ้ยเฟย ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็มีความเอิกเกริกยิ่งใหญ่เช่นนี้”อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้น แม้ว่าวรยุทธ์ของฟางรั่วจะถูกทำลาย แต่ก็จะชะล่าใจไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้ว กระต่ายจนมุมก็กัดคน“ไม่จำเป็นต้องพูดคำประชดพวกนี้หรอก เจ้ากับข้าวิถีทางไม่ตรงกันอย่ามาร่วมทางกัน ไม่จำเป็นต้องเจอกัน”ฟางรั่วไม่ขยับ ดวงตายังคงมองจับไปที่อินชิงเสวียน“อินชิงเสวียน เจ้าไม่อยากร่วมมือกับข้าจริงๆ หรือ”“ไม่จำเป็น พวกเราไปกันเถอะ”อินชิงเสวียนไม่ต้องการพูดไร้สาระกับฟางรั่วอีก จึงอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงหันหลังเดินกลับ จากนั้นก็ได
“อะไรนะ”เย่จิ่งอวี้ตกใจในวันนั้นเขาตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าอาซือหลานตายไปแล้วจริงๆ แล้วจะมีชีวิตอยู่อีกครั้งได้อย่างไร“อันที่จริงตอนที่ร่างของอาซือหลานหายไป ข้าก็สงสัยแล้วว่าเขายังไม่ตาย ในที่สุดวันนี้ก็แน่ใจได้ เขาไม่เพียงแค่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ยังเปลี่ยนแปลงตัวตน กลยเป็นฉุยอวี้เจ้าสำนักเซียวเหยา”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็ตกตะลึงอีกครั้งฉุยอวี้คืออาซือหลานจริงๆ งั้นหรือเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไรอินชิงเสวียนรู้ว่าเขาไม่อาจเชื่อได้ในทันทีทันใด จึงบอกเย่จิ่งอวี้เรื่องที่นางได้เจอกับฟางรั่วที่ชายหาดเย่จิ่งอวี้ยืนขึ้น จ้องเขม็งและพูดว่า “มิน่าเล่าฉุยอวี้ถึงได้มุ่งเป้ามาที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์กับพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเขาเป็นอาซือหลานจริงๆ ทั้งหมดก็อธิบายได้แล้ว”เขายกมุมปากขึ้น รอยยิ้มอันเย็นชาปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา“มีทางสวรรค์เขาไม่เดิน แต่นรกไร้ประตูเขากลับถึงดันจะไปจริงๆ คราวนี้ ต้องทำให้เขากลายเป็นเถ้าธุลี ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกเลย”อินชิงเสวียนเทน้ำพุวิญญาณจำนวนหนึ่ง จิบเบาๆ แล้วมองไปที่เย่จิ่งอวี้พูดว่า “หรือว่าอาอวี้มีแผนแล้วงั้นหรือ”“ไม
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนสู้กันสูสี มุมปากของอาซือหลานก็ยกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้เจอกันหลายวัน กวนเซี่ยวก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลยเพียงแต่ เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่หรือว่าจะมากับฟางรั่ว?อาซือหลานมองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยนั้น ทันใดนั้นก็จำได้ว่าตอนที่ออกจากประตู เหมือนจะเจอเขาข้างๆ เขายังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่งหรือว่า...ผู้หญิงคนนั้น...คือนางแพศยาฟางรั่ว?ถ้านางมาที่นี่จริงๆ ต้องร่วมมือกับอินชิงเสวียนแน่นอน...หากตัวตนของเขาถูกเปิดโปง ก็ไม่สามารถตั้งหลักในเป่ยไห่ได้อย่างแน่นอนเมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็ดีดปลายเท้าขึ้น แล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าของคนเมาแล้ว และตบเขาออกไปด้วยฝ่ามือข้างเดียวส่วนมือขวาได้ยื่นออกไปพยุงกวนเซี่ยว ถามด้วยเสียงแหบห้าว “พี่ชายคนนี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”กวนเซี่ยวหันกลับมา จู่ๆ ก็ตกใจกับการแต่งกายของอาซือหลานเขาสะบัดมืออาซือหลานออก แล้วถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าเป็นใคร”ศิษย์ที่อยู่ด้านหลังอาซือหลานตะโกนทันที “บังอาจ เห็นเจ้าสำนักเซียวเหยาแล้ว บังอาจไม่ทำความเคารพเช่นนี้”เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าสำนัก ความโกรธของกวนเซี่ยวก็สงบลงอย่างมากในทันที“ขอบคุณเจ้าสำนักที่ช
โมริตะคาวาสึบาเมะกระโดดขึ้นฝั่ง กำลังภายในไหลเวียนไปทั่วร่างกายทันที ไอน้ำบนเสื้อผ้าระเหยแห้งไปในพริบตา ทำให้รู้สึกสดชื่นเขาเอามือไพล่หลัง มองดูหน่วยลาดตระเวนด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด“ท่านอ๋องโมริตะกับแม่ทัพโนจิริอยู่ที่ใด”ทั้งหมดโค้งคำนับทันทีและพูดว่า “น่าจะอยู่ในห้องประชุม”โมริตะคาวาสึบาเมะตอบอืม จากนั้นใช้วิชาตัวเบาตรงไปที่หอไม้ไผ่ที่อยู่ไกลออกไปณ ห้องประชุมท่านอ๋องโมริตะกำลังหารือเรื่องเป่ยไห่กับโนจิริและแม่ทัพคนอื่นๆ ในระหว่างการถกเถียง ประตูก็เปิดออก และโมริตะคาวาสึบาเมะก็เดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยสีหน้าสงบแม่ทัพโนจิริมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที“ท่านอ๋องน้อยกลับมาแล้ว!”ท่านอ๋องโมริตะเป็นคนรูปร่างอ้วนเตี้ย เขามีหนวดเล็กๆ ที่ส่วนบน โกนศีรษะจนล้านเลี่ยนแค่ครึ่งหัว ท่าทางน่าขบขันยิ่งนักท่าทีที่เขามีต่อโมริตะคาวาสึบาเมะก็ชวนขบคิดเช่นกัน ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก แต่กลับเหมือนลูกน้องที่ได้พบกับผู้บังคับบัญชา ผุดลุกขึ้นยืนทันที“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”ท่านอ๋องโมริตะมีรอยยิ้มบนใบหน้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูประจบสอพลอในสายตาของแม่ทัพคนอื่นๆ ท่านอ๋องน้อยมีความสามารถโด
กวนเซี่ยวสูดอากาศเข้าเต็มปอด มองดูทะเลอันมืดมิดที่ปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์ แล้วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ราวกับว่ามีสัตว์ร้ายตัวใหญ่กำลังนั่งปกคลุมท้องฟ้าและดวงอาทิตย์อยู่ตรงหน้าเขา เพียงเปิดปาก ก็สามารถกลืนเขาลงไปได้ ความกล้าหาญและแรงกระตุ้นเมื่อครู่นี้ หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีอาซือหลานยื่นมือออกไปกดไหล่เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่มีอุปสรรคใดในโลกนี้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เจ้ายังเด็ก ไม่เคยมีประสบการณ์อะไรมากมาย หากเสียชีวิตไปเช่นนี้ มิต้องทำให้ผู้ที่รักต้องทนทุกข์ ศัตรูมีความสุขหรอกหรือ”กวนเซี่ยวตัวสั่นอีกครั้ง เขาเช็ดน้ำบนใบหน้าอย่างแรง รู้สึกว่าสิ่งที่ชายชุดดำพูดนั้นมีเหตุผลเขายังไม่ได้ฆ่าอาซือหลาน จะตายไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้แม้ว่าฟางรั่วจะไม่ชอบเขา แต่เขาจะช่วยนางแก้แค้น สังหารปีศาจนั่นให้สิ้นหลังจากพบเหตุผลที่ทำให้อยากมีชีวิตอยู่ จิตใจกวนเซี่ยวก็กระจ่างแจ้งทันทียืนขึ้นและพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่สั่งสอน เมื่อครู่ผู้เยาว์คิดไม่ตก วู่วามไปแล้ว”“ตอนนี้คิดได้แล้ว?”อาซือหลานแสร้งถามอย่างเป็นมิตรกวนเซี่ยวพยักหน้าอย่างแรง“คิดได้แล้ว ผู้เยาว์คนนี้จะมีชีวิตอยู่ให้ดี ทำ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี