ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ก็เข้าไปในภูเขานางรู้สึกมาโดยตลอดว่าลูกตาสีแดงของเย่จิ่งอวี้นั้นไม่ใช่สิ่งดีเลย ตลอดสองวันนี้อยากเห็นป่าศพที่เขาพูด ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ทั้งสองขึ้นไปบนภูเขา เย่จิ่งอวี้ก็พบเส้นทางในวันนั้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มองเห็นหุบเขา“ที่นี่ไง”เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วันนั้นข้าพยายามเต็มที่ แต่ยังตามชายคนนั้นไม่ทัน แสดงให้เห็นว่าเขามีวรยุทธ์สูงมาก หากได้พบเขาอีก ห้ามลงมือเด็ดขาด รีบเข้าไปในมิติทันที”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ข้ารู้แล้ว”อินชิงเสวียนไม่ใช่คนบ้าบิ่น นางไม่เคยต่อสู้ในศึกที่ไม่มั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้น ในมิติยังมีข้อห้ามมากมาย ถ้าถูกคนจับตัวไว้ ก็ไม่สามารถเข้าไปในมิติได้ทั้งสองเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง กลับพบว่าพืชพรรณภายในเป็นสีเขียวขจี มีลำธารเล็กๆ ล้อมรอบ ไม่มีป่าศพเหมือนที่เย่จิ่งอวี้พูดเย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกันสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นภาพลวงตาทั้งหมด หรือว่า...ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงเย่จิ่งอวี้ส่ายหัว เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณชั่วร้ายเลย ต้องมีคนเก็บซากศพเหล่านั้น
ดวงตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาลดเสียงลงแล้วถามว่า “ที่ไหน”“ข้าก็บอกอย่างแน่นอนไม่ได้”นี่เป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง ยังไม่แม่นยำขนาดนั้น“อาอวี้ เรากลับกันเถอะ!”อินชิงเสวียนขนลุกซู่ ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความอาฆาตพยาบาทของอีกฝ่ายด้วยซ้ำเย่จิ่งอวี้เหยียดแขนออก กอดอินชิงเสวียนไว้ และพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่”สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นแปลกมาก จนเย่จิ่งอวี้อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอินชิงเสวียนเห็นว่าเขายังไม่อยากกลับ จึงไม่พูดอะไรอีก ในวังหลวงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่จิ่งอวี้ก็สามารถยืนเคียงข้างนางได้ และนางก็สามารถเสี่ยงอันตรายเพื่อเขาได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีมิติ“อืม”อินชิงเสวียนยิ้มอ่อนโยน พิงอยู่ในอ้อมอกของเย่จิ่งอวี้เมื่อเห็นสาวน้อยพิงตัวเองเหมือนกับนกน้อยก็ไม่ปาน ทันใดนั้นเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบอันแรงกล้าในใจเสวียนเอ๋อร์เชื่อใจเขามากเพียงนี้ เขาต้องปกป้องความปลอดภัยของนางให้ได้ทั้งสองระมัดระวังตลอดทาง ขณะที่เดินเข้าไปในหุบเขาลึกธารน้ำไหลผ่านเท้า ใสจนเห็นก้นบึ้ง เสียงน้ำไหลซู่ซ่าก็ฟังดูผ่อนคลายอย่างอธิบายไม่ถูกอินช
เย่จิ่งหลานแสร้งตีหน้าร้อนอกร้อนใจ กลิ้งตัวคลานลงไปในทะเลโมริตะคาวาสึบาเมะหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง และความรู้สึกเจ็บปวดก็หายไปในที่สุดเมื่อมองดูผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสอง พวกเขาแน่นิ่งราวกับปลาที่ตายแล้ว สันนิษฐานว่าตายไปแล้วโมริตะคาวาสึบาเมะอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจโคตรพ่อโคตรแม่มันเถอะ เมื่อครู่มันคืออะไรเย่จิ่งหลานมาถึงตรงหน้าเขา ใช้กำลังทั้งหมดเพื่อช่วยพยุงโมริตะคาวาสึบาเมะให้ลุกขึ้นทั้งสองคนมีร่างกายที่อายุไม่กี่ขวบ ทันทีที่คลื่นยักษ์ซัดมา ก็หอบร่างพวกเขาทั้งสองกลับลงไปในน้ำ“สหาย เจ้าเป็นไรหรือไม่”เย่จิ่งหลานเช็ดน้ำทะเลออกจากหน้า แล้วดึงโมริตะคาวาสึบาเมะอีกครั้งเมื่อเห็นเจ้าเด็กเปรตนี่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยตัวเอง โมริตะคาวาสึบาเมะก็รู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย“ไม่เป็นไร”โมริตะคาวาสึบาเมะคลานขึ้นจากน้ำ และคว้าเย่จิ่งหลานไว้ หวังซุ่นก็วิ่งมาแต่ไกลเช่นกัน“คุณชาย พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่”เดิมทีคิดว่าเย่จิ่งหลานต้องการฆ่าโมริตะคาวาสึบาเมะ แต่จู่ๆ เขาก็ปิดสวิตช์ไฟฟ้า หวังซุ่นก็ต้องยื่นมือออกไปดึงทั้งสองคน แล้วยกทั้งสองขึ้นฝั่งโมริตะคาวาสึบาเมะนั่งลงบนพื้น ความรู้สึกของการรอ
“หยุดพล่าม พูดมาเลยเร็วๆ”เย่จิ่งหลานโยนบุหรี่และไฟแช็กกันลมให้หวังซุ่นยิ้มทันที จุดไฟ แล้วสูบอย่างเคลิบเคลิ้มมายืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าพูด ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แต่ท่านอ๋องน้อยระวังไว้ก็ดี คนผู้นี้อาจไม่ใช่เด็กธรรมดา”“บอกประเด็นสำคัญ”เพื่อไม่ให้เป็นไข้หวัด เย่จิ่งหลานจิบน้ำพุวิญญาณหนึ่งคำ เขารู้สึกดีขึ้นมากในทันทีหวังซุ่นสูบบุหรี่อีกคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าสบาย “ในตอนนั้นอาจารย์ของข้าที่มาจากจงหยวนผู้นั้นถูกตระกูลโมริตะจับตัวไป ตระกูลโมริตะอยากจะเก็บอาจารย์ของข้าไปใช้งานเองมาโดยตลอด หลังจากพยายามมาตลอดหลายปี ในที่สุดก็ล้มเหลว จึงโยนอาจารย์ของข้าไปขังไว้ในคุกอันมืดมิด ในช่วงหลายปีที่เขาอยู่ในตระกูลโมริตะ ก็ได้รู้ความลับบางอย่าง และเล่าให้ข้าพเจ้าฟังก่อนจะเสียชีวิต”หวังซุ่นหยุดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็แสดงท่าทางหวาดกลัวอีกครั้ง ผ่อนเสียงให้เบาลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว“อาจารย์ของข้าบอกว่า อ๋องน้อยโมริตะผู้นี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน วิญญาณในร่างกายของเขา อาจไม่ใช่เขา”เย่จิ่งหลานนั่งตัวตรงทันที หรือว่าเขาเดาถูก เป็นผู้ข้ามมิติมาอีกคน?หวังซุ่นกล่าวต่อ “ในตงหลิว ม
อาซือหลานกำลังนั่งสมาธิในห้อง สองวันนี้ได้ดูดซับกำลังภายในจากเตาหลอมหญิงมามาก ต้องการเวลาในการซึมซับอีกหน่อยเมื่อได้ยินศิษย์สำนักมารายงานว่ามีคนจากต้าหลัวเทียนต้องการพบเขา ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย มีสำนักในยุทธจักรมากมาย แต่ไม่เคยได้ยินชื่อต้าหลัวเทียนมาก่อน แล้วอวี๋กงคือผู้ใดอีกเมื่อคิดว่าระยะนี้ชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาไม่ค่อยดีนัก อาซือหลานจึงตัดสินใจออกไปดูเขาวางเสื้อคลุมสีดำลง แล้วเดินออกจากห้องด้านในชายชราที่อยู่หน้าประตูแต่งตัวเรียบง่าย รูปร่างไม่สูง ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นแห่งวัยชราเขาเอามือไพล่หลัง มองดูป้ายของสำนักเซียวเหยาด้วยสีหน้าสงบครู่ต่อมา อาซือหลานมาถึงที่ประตู ประกบมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็คือฉุยอวี้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านนี้คือ...”ชายชราเหลือบมองเขา ทันใดนั้นก็ลดเสียงลง“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย”อาซือหลานสวมหมวกสานที่คลุมด้วยผ้าโปร่งสีดำ มองไม่เห็นสีหน้าได้ ได้ยินเพียงหัวเราะแหบแห้งว่า “ผู้อาวุโสเชิญด้านใน”บนหลังคาที่อยู่ไม่ไกล ผู้อาวุโสสวีถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “พวกเจ้าเห็นฉุยอวี้สมคบคิดกับคนตงหลิวจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนหยิบเครื่องส่งรับ
“ชาวตงหลิว สมควรตาย!”เสียงใสราวกับน้ำพุดังก้องออกมาจากริมฝีปากของสตรีคนนั้น ฝ่ามือก็ถูกซัดโดนร่างของอวี๋กงแล้วเมื่อเห็นใบหน้างดงามหยาดเยิ้มดวงนั้น ม่านตาของฉุยอวี้ก็หดลง ปล่อยมือของอวี๋กงโดยไม่รู้ตัวความปรารถนาในใจทำให้จิตใจของเขาว่างเปล่าครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินอวี๋กงตะโกน และร่างนั้นก็ล้มลงกับพื้นซึ่งคนที่ลงมือไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอินชิงเสวียนนางรู้ถึงข้อเสียของมิติ ด้วยความกระวนกระวายใจ นางทำได้เพียงแกล้งทำเป็นจัดการกับอวี๋กง แต่จริงๆ แล้ว นางเพียงแลกความเร็วของมิติเท่านั้น ซึ่งความแรงของฝ่ามือนั้น ไม่ต่างจากการตบของคนทั่วไปหวังซุ่นซึ่งแต่งตัวเป็นอวี๋กงก็ตื่นตัวเช่นกัน ล้มตัวลงนอนบนพื้นเสียงดังตึงเย่จิ่งหลานรีบใช้ความคิด พาหวังซุ่นเข้าไปในมิติอาซือหลานรู้สึกตัว หัวใจก็เต้นรัวเมื่อเห็นอวี๋กงหายตัวไปอย่างกะทันหันคนสามารถหายไปจากอากาศได้ นี่มันวิชายุทธ์อะไรกันเฮ่ออวิ๋นทงและคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครเข้าใจว่า คนทั้งคนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ถึงกับมีคนมาดูตรงจุดที่หวังซุ่นเพิ่งหายตัวไป ใช้มือเคาะดูจนทั่วเสียงนั้นทุ้มหนัก ไม่สามารถซ่อนอะไรได้เก่อหงย
เย่จิ่งหลานเตะเขาทันที“ระวังคำพูดด้วย มีผู้หญิงอยู่ในห้อง”หวังซุ่นรีบตบปากตัวเองสองครั้งอย่างรวดเร็ว พูดด้วยรอยยิ้ม “นิสัยปากเสียของข้าน้อยกำเริบอีกแล้ว กุ้ยเฟยกับแม่นางฮวาอย่าใส่ใจ”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขา“หยุดโม้ได้แล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่”ครั้นแล้วหวังซุ่นก็เล่าทุกอย่าง ตั้งแต่เดินเข้าประตูไปจนถึงคุยกับฉุยอวี้ส่วนที่เหลือ ทุกคนก็ได้ยินผ่านเครื่องส่งรับวิทยุแล้ว ไม่มีความคลาดเคลื่อนจริงๆถ้าฉุยอวี้ไม่สังเกตเห็นว่าหวังซุ่นสวมหน้ากาก ก็สามารถใส่ร้ายเขาได้น่าเสียดาย...หวังซุ่นก็รู้ว่าทุกคนลงมืออย่างสูญเปล่าก็เพื่อปกป้องตัวเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา จะไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาซือหลาน ที่เคยไปอยู่กับเขามาระยะหนึ่งแล้วเพียงแต่ทั้งตัวของเขาถูกคลุมไปด้วยผ้าสีดำ ไม่สามารถมองเห็นแขนขาได้ และไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์และสีหน้าของเขาได้ เสียงของเขาถูกกดให้ต่ำลงและแหบแห้งอย่างจงใจ หวังซุ่นจะคาดคิดได้หรือว่าผ็ที่ตายไปแล้ว จะฟื้นชีวิตมาอยู่ที่นี่เย่จิ่งอวี้ก็คิดไม่ตกเช่นกัน นอกจากสายตาที่ดุร้ายของฉุยอวี้แล้ว ไม่มีคำอธิบายอื่นใดอีก“วันนี้ต้องโทษข้าน้อย
อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ลืมตาขึ้นพร้อมกัน ทั้งคู่ต่างก็ตกตะลึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินชิงเสวียน ความพรั่นพรึงในใจไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแล้วมิติคือการดำรงอยู่อย่างอิสระ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนาง บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามาได้แม้ว่านางจะอนุญาต แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้ามาได้นางยังไม่ได้เปิดหน้าจอเพื่อสื่อสารกับโลกภายนอก ดังนั้นจึงไม่สามารถได้ยินเสียงจากภายนอกได้เย่จิ่งอวี้รวบเสื้อคลุมบนร่าง แล้วรีบรุดไปที่เตียง ขณะที่กำลังจะถาม เสียงกระพรวนก็ดังขึ้นอีกครั้งกริ๊ง กริ๊งจังหวะของกระพรวนนั้นช้ามาก แต่มีพลังเวทมนตร์ที่อธิบายไม่ได้ กระทบหัวใจของทั้งสองคนพร้อมกันอินชิงเสวียนผุดลุกขึ้นทันที ใช้ความเร็วของมิติเพื่อตรวจค้นภายในทั้งหมดอย่างรวดเร็วไม่มีบุคคลภายนอกจริงๆ“เป็นไปได้อย่างไร”ไม่ควรเป็นแบบนี้เลยเย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“ข้าจะออกไปดู”“อย่า!”อินชิงเสวียนคว้าตัวเขาไว้ จากนั้นเปิดหน้าจอขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก และภาพของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็อยู่ในสายตากลางคืนมืด ไม่มีวี่แววใดๆ ในลานบ้านยกเว้นลูกศิษย์ไม่กี่คนที่เฝ้าเวรกลางคืน ก็ไม่มีอะไรผิด