เย่จิ่งอวี้ทำความสะอาดกระบี่ยาวเสร็จแล้ว เก็บเข้าฝัก เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “เช่นนั้นเสวียนเอ๋อร์คิดว่าควรทำอย่างไร”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าต้องการจัดการกับสำนักเซียวเหยา มีหลายวิธีจะตายไป เราสามารถจับจุดสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางอื่นได้ เช่น...ความผิดฐานสมคบคิดกับศัตรู”เย่จิ่งอวี้เข้าใจทันที ในฐานะที่เขาเป็นฮ่องเต้ การต่อสู้กันในสถานการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุดแล้วเรียวตาหงส์หรี่แคบลงเล็กน้อย มุมปากบางโค้งเป็นรอยยิ้ม“เช่นนี้แล้ว สำนักเซียวเหยาจะกลายเป็นศัตรูสาธารณะของทุกสำนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จะไม่ลงมือ แต่ทุกสำนักก็จะโจมตีร่วมกัน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย“เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้เกรงว่าจะยังทำไม่ได้ ต้องจับคนตงหลิวตัวจริงให้ได้ก่อน จึงจะสามารถกระทำการใดๆ ได้”เย่จิ่งอวี้งอนิ้วกลางแนบนิ้วหัวแม่มือ แล้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของอินชิงเสวียนเบาๆ“ไยต้องยุ่งยากขนาดนั้น คนก็มีพร้อมแล้วไม่ใช่หรือ”“ฮะ?”อินชิงเสวียนมองเขาด้วยความสับสนเย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “หวังซุ่นก็ได้ เขาเป็นคนตงหลิวอยู่แล้ว และจิ่งหลา
อินชิงเสวียนแหวเบาๆ “ไม่เอาหรอก ท่านรีบไปอาบเถอะ”เย่จิ่งอวี้กางแขนออก โอบอินชิงเสวียนไว้ในอ้อมแขน“วันนี้ ต้องทำตามข้า”เพียงออกแรงส่งที่ปลายเท้า คนก็ตกลงไปในน้ำอินชิงเสวียนอุทาน ต่อต้านเย่จิ่งอวี้พลัน ทำให้กระโปรงคาดอกเปียกทันที“คนบ้า”เย่จิ่งอวี้จับเอวบางของนางแน่น ริมฝีปากอันอบอุ่นประทับบนลำคอของอินชิงเสวียน“นี่คือคำพูดจากใจของเสวียนเอ๋อร์งั้นหรือ”เสียงพึมพำดังข้างหู อินชิงเสวียนรู้สึกราวกับว่าหัวใจถูกไฟฟ้าช็อต จั๊กจี้ไร้เรี่ยวแรง รีบหดคอทันที“อาอวี้ เลิกกวนได้แล้ว”ทว่าเย่จิ่งอวี้ไปปิดริมฝีปากของนางแล้ว“เสวียนเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า”ลมหายใจอบอุ่นห่อหุ้มอินชิงเสวียนทันที เสียงแสกสากของแพรฝ้ายพลันดังก้องในมิติอันเงียบสงบ เสื้อผ้าของทั้งสองถูกทำลายเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วนด้วยกำลังภายในของเย่จิ่งอวี้การต่อต้านของอินชิงเสวียนกลายเป็นเสียงครางกระเส่าในไม่ช้า...วันถัดมาอินชิงเสวียนลืมตาขึ้น เห็นเย่จิ่งอวี้กำลังนั่งสมาธิข้างบ่อน้ำพุวิญญาณ เนื่องจากเสื้อผ้าขาดเป็นชิ้นๆ ร่างทั้งร่างของเขาจึงเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิงเมื่อมองไปที่อกผายไหล่ผึ่งนั้น อินชิงเสวียนหน้าแดงทันที รีบ
เด็กน้อยตกใจเล็กน้อยคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย?นี่มันสำนักอะไรกันมีหลายคำด้วย ฟังดูท่าทางร้ายกาจจริงๆเมื่อเห็นเย่จิ่งหลานการแต่งกายดูดี โมริตะคาวาสึบาเมะก็อดสนใจไม่ได้เขาเดินทางออกจากเกาะทั้งคืน สิ้นเปลืองกำลังคนไปมาก ในที่สุดก็มาถึงเมืองเติงหลง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกไล่ล่า เขาได้ปีนลงจากภูเขา ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทาง ก็เพื่อปะปนเข้ามาในเป่ยไห่ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะอายุไล่เลี่ยกับเข้า ดังนั้นจึงเหมาะที่จะตีสนิทเมื่อนึกถึงตรงนี้ โมริตะคาวาสึบาเมะก็กระตุกมุมปากขึ้น ประกบมือคารวะตามแบบฉบับคนจงหยวนและพูดว่า “ที่แท้ก็คือศิษย์ของคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ย ขออภัยที่เสียมารยาท”เย่จิ่งหลานหัวเราะ ก่นด่าในใจว่าเสียมารยาทโคตรพ่อเจ้าน่ะสิ เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้แสร้งทำเป็นเข้าใจ เย่จิ่งหลานก็รู้สึกอารมณ์เสียต้องเป็นคุณชายจากตระกูลใดสักตระกูลมาที่นี่เพื่อฝึกฝน เมื่อกลับสำนัก บันทึกการมีส่วนร่วมในการต่อสู้สักสนาม ก็เท่ากับเคลือบชั้นทองคำให้ตัวเองแล้วถุย ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด ก็ขาดทายาทรุ่นสองแบบนี้ไม่ได้เย่จิ่งหลานมาจากครอบครัวที่ยากจน ทนกับคนประเภทนี้ไม่ได้มากที่สุด จึงอดไม่ได้ที่จะอยากแกล้
โมริตะคาวาสึบาเมะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าใบหน้ากลับแสดงสีหน้าชื่นชม“คิดไม่ถึงว่าคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ยจะมีศิษย์มากมายขนาดนี้ แต่พูดตามตรง สำนักนี้ของคุณชาย เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยได้ยิน”เย่จิ่งหลานเชิดหน้าขึ้นพูดว่า “คนหูตาคับแคบเช่นเจ้า จะไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลก”ทันใดนั้นสีหน้าของโมริตะคาวาสึบาเมะก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเกเจ้าเด็กเปรตนี่ กล้าฉีกหน้าเขาแบบนี้ ถ้าเขาไม่ต้องการตีสนิทเขา คงจะส่งเขาไปพบยมบาลด้วยฝ่ามือเดียวแล้วแน่ๆเย่จิ่งหลานถามอย่างไม่อินังขังขอบ “ไม่ทราบว่าน้องชายคนนี้เป็นศิษย์ของสำนักอะไร”โมริตะคาวาสึบาเมะประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยมาจากสำนักอวิ๋นชวนเยี่ยนหาง ได้ยินเรื่องการต่อสู้ในเป่ยไห่ จึงอยากจะมาช่วยอีกแรงโดยเฉพาะ เพียงแต่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่คุ้นเคยทั้งผู้คนและสถานที่ หวังว่าคุณชายน้อยจะช่วยดูแลด้วย”เย่จิ่งหลานก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักของเขา แต่น้ำเสียงคำพูดของเขา ฟังดูไม่เหมือนเด็กอายุไม่กี่ขวบอย่างแน่นอนเขายิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอน”โมริตะคาวาสึบาเมะดีใจ ในความเห็นของเขา เย่จิ่งหลานเป็นเพียงเด็กอายุไม่กี่ขวบ ย่อมถูกหลอกได้ง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ชาวตงหลิวบูชาพระอาทิตย์ ดังนั้นหวังซุ่นจึงดีใจมากที่ได้ยินเย่จิ่งหลานเปรียบเทียบตัวเองกับดวงอาทิตย์“ได้ ข้าเชื่อท่านอ๋อง”เย่จิ่งหลานกล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้ห้ามบอกกับเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนเช่นกัน”หวังซุ่นตอบรับว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง ข้ารับรองถึงตีให้ตายก็ไม่พูด”ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ทั้งหมดก็มาถึงหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์แล้ว อินชิงเสวียนกำลังอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงและพูดคุยกับเซี่ยวอิ๋นหวน เมื่อเห็นเย่จิ่งหลาน ก็ถามทันทีว่า “เจ้าไปไหนมารึ”หวังซุ่นพยักหน้าโค้งคำนับแล้วพูดว่า “ข้าน้อยกับท่านอ๋องไปทะเลมา นี่ยังจับได้ปูตัวใหญ่มาเยอะขนาดนี้ คืนนี้เราจะได้กินกัน”อินชิงเสวียนจ้องมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้ารู้จักแต่กิน ไม่กลัวที่จะเจอคนไม่ดีหรือ”เย่จิ่งหลานหัวเราะแหะๆ และพูดว่า “อากาศแจ่มใสแบบนี้ จะมีคนเลวที่ไหนเยอะแยะ ยังมียอดฝีมือติดตามไปด้วยสองคน ไม่เป็นไรหรอก”หลังจากพูดจบก็มองไปที่หวนไท่เฟย ครั้นเห็นสีหน้าของนางดูดี ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับประสิทธิภาพของน้ำพุวิญญาณมีของเช่นนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นหมอเทวดาหนิง ผู้อาวุโสสวีก็ต้องหลีกทางให้ น่าเสียดายที่ตัวเองดื่มมานาน ทั้งอาบทั้
“มาแล้ว”หวังซุ่นขานตอบ แล้ววิ่งกระดิกหางเข้ามา“ท่านอ๋องน้อยเรียกข้าน้อยมามีอะไรหรือ”หวังซุ่นได้ยิ้มประจบประแจงอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเย่จิ่งหลานปิดประตู ดึงเขาเข้าไปในห้องด้านใน“ข้ามีภารกิจมอบหมายให้เจ้าทำ ถ้าเจ้าทำได้ดี ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยบุหรี่ชั้นดีสิบกล่องเลย”ในช่วงเวลานี้ หวังซุ่นถูกเย่จิ่งหลานสอนจนติดบุหรี่แล้ว ทุกครั้งที่เย่จิ่งหลานสูบบุหรี่ เขาจะนั่งยองๆ รออยู่ข้างหลังถ้าเย่จิ่งหลานอารมณ์ดีก็จะให้เขาสักมวนหนึ่ง แต่ถ้าอารมณ์ไม่ได้ก็จะให้แค่ก้นบุหรี่ แต่เจ้านี่กลับไม่รังเกียจ แค่ได้สูบก็พอใจแล้ว แต่กระนั้นก็สูบไม่หนำใจ พอได้เย่จิ่งหลานบอกว่าจะให้บุหรี่เขาได้มากมาย เขาก็ฉีกยิ้มกว้างจนใบหู“ไม่มีปัญหา ท่านอ๋องน้อยเชิญสั่งมาได้เลย ตราบใดที่ข้าน้อยทำได้ รับรองว่าต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็ไม่หวั่น”เย่จิ่งหลานพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าสวมหน้ากากไปพบกับฉุยอวี้ จากนั้นเราจะหาจังหวะไปจับคนสมคบคิดกับศัตรู ยังสามารถใช้โอกาสนี้พาเจ้าเข้าไปในมิติ สร้างภาพลวงตาว่าเจ้ากำลังใช้ทักษะการหลบหนี จากนั้นเจ้าก็สามารถถอดหน้ากาก แล้วกลับมาเป็นตัวเองเหมือน
เย่จิ่งหลานปั้นเรื่องว่า “ในสำนักของเรามีคนมากเกินไป ไม่สามารถอาศัยอยู่บนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ได้หมด อาจารย์ของข้ามาจากที่เดียวกับเจ้าสำนักเซี่ยว จึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว”โมริตะคาวาสึบาเมะมีสีหน้าประหลาดใจ“เป็นเช่นนี้นี่เอง ได้ยินชื่อหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์มานานแล้ว ไม่ทราบว่าคุณชายน้อยสามารถช่วยแนะนำข้าให้เจ้าสำนักเซี่ยวได้หรือไม่”ทว่าอดไม่ได้ที่จะสบถเสียงดังในใจเห็นได้ชัดว่าเจ้าเด็กเปรตนี่คุยโม้อยู่ เมื่อวานเขาถามเรื่องนี้ที่เหลาสุราแล้ว ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับคณะก้งฉิงแห่งฮว๋าเซี่ยเลย แต่ตอนนี้เขาต้องการใช้ประโยชน์จากเจ้าเด็กเปรตนี่ จึงต้องแสร้งยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเย่จิ่งหลานกลอกตาแล้วพูดว่า “เจ้ากับข้าเจอกันครั้งแรกเหมือนรู้จักกันมานาน ย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พอดีคืนนี้ทุกสำนักต้องไปหารือในสำนักเซียวเหยาคืนนี้ ถ้าคุณชายน้อยว่าง ก็สามารถเข้าไปร่วมครึกครื้นได้”จู่ๆ ใบหน้าของโมริตะคาวาสึบาเมะก็สว่างขึ้นด้วยความดีใจ“เช่นนั้นก็ดีเลย”เย่จิ่งหลานยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ เราจะไปรวมตัวกันที่สำนักเซียวเหยา เวลานั้นข้าจะแนะนำผู้อาวุโสในยุทธจักรเหล่านั้นกับเจ้า”โมริ
ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้ก็เข้าไปในภูเขานางรู้สึกมาโดยตลอดว่าลูกตาสีแดงของเย่จิ่งอวี้นั้นไม่ใช่สิ่งดีเลย ตลอดสองวันนี้อยากเห็นป่าศพที่เขาพูด ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ทั้งสองขึ้นไปบนภูเขา เย่จิ่งอวี้ก็พบเส้นทางในวันนั้นอย่างรวดเร็ว หลังจากเดินได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็มองเห็นหุบเขา“ที่นี่ไง”เย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วันนั้นข้าพยายามเต็มที่ แต่ยังตามชายคนนั้นไม่ทัน แสดงให้เห็นว่าเขามีวรยุทธ์สูงมาก หากได้พบเขาอีก ห้ามลงมือเด็ดขาด รีบเข้าไปในมิติทันที”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ข้ารู้แล้ว”อินชิงเสวียนไม่ใช่คนบ้าบิ่น นางไม่เคยต่อสู้ในศึกที่ไม่มั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้น ในมิติยังมีข้อห้ามมากมาย ถ้าถูกคนจับตัวไว้ ก็ไม่สามารถเข้าไปในมิติได้ทั้งสองเข้าไปในหุบเขาอย่างระมัดระวัง กลับพบว่าพืชพรรณภายในเป็นสีเขียวขจี มีลำธารเล็กๆ ล้อมรอบ ไม่มีป่าศพเหมือนที่เย่จิ่งอวี้พูดเย่จิ่งอวี้ก็ประหลาดใจเช่นกันสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เป็นภาพลวงตาทั้งหมด หรือว่า...ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงเย่จิ่งอวี้ส่ายหัว เขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณชั่วร้ายเลย ต้องมีคนเก็บซากศพเหล่านั้น