“ฟางรั่ว!”กวนเซี่ยวตะโกนเสียงดัง ฟางรั่วก็หายไปไม่เห็นแม้แต่เงาความโกรธประดังเข้ารุมเร้าหัวใจ เลือดก็กระอักออกจากปากในระหว่างที่เขาล้มคลุกลงบนพื้น มือข้างหนึ่งเข้ามาจับเขาไว้กวนเซี่ยวผ่อนคลายลง และเงยหน้ามอง“พี่สิงอวิ๋น”อินสิงอวิ๋นปล่อยมือ และถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “สหายกวนจะไปที่ใด จะไปพบหน้าจอมโจรนั่นใช่หรือไม่?”กวนเซี่ยวไม่ค่อยกล้าเผชิญหน้ากับเขา เพราะเขาเอาน้องสาวของผู้อื่นมาทำข้อตกลง เขาจึงเบี่ยงสายตาไปอีกด้าน และพูดเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ ข้าเพียงออกมาเดินเล่นเท่านั้น”อินสิงอวิ๋นมองเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม และพูดเสียงเข้มว่า “สหายกวน ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้ผิดรู้ชอบ อย่าทำเรื่องที่ผิดต่อผู้อื่นและไม่เกิดผลดีต่อตัวเอง ข้าถูกอาซือหลานหลอกลวงมาแล้วหนึ่งครั้ง ครั้งนี้ต้องการคิดบัญชีกับเขา หากเจ้ารู้ที่อยู่ของเขา หวังว่าเจ้าจะบอกข้าได้”“ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าเองก็อยากตามหาเขาเพื่อช่วยหญิงงามคนรู้ใจของข้า และหวังว่าสหายอินจะช่วยข้าได้อีกแรง”กวนเซี่ยวพยายามระงับกลิ่นคาวที่พุ่งเข้ามาในลำคอ และมีการอ้อนวอนอยู่ในน้ำเสียงของเขาอินสิงอวิ๋นไม่อยากถามเรื่องของกวนเซี่ยว ขอเพียงมั่น
สีหน้าของเฟิงเอ้อร์เหนียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย คลี่ยิ้มทันทีและพูดว่า “มีป้ายตราคำสั่งหรือไม่”อาซือหลานหยิบป้ายหยกดำออกมาจากมือ เฟิงเอ้อร์เหนียงมองดูแวบหนึ่ง นางอดแปลกใจเสียมิได้ คนผู้นี้อายุน้อยขนาดนี้ แต่เป็นถึงผู้อาวุโสเชียวรึ“มากับข้าสิ”เมื่อมาถึงเรือนหลัง เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าหอฮวาเย่ว์ของเราจะรับใช้สำนักเซียวเหยา แต่ร้านก็มีกฎของร้าน เชื่อว่าคุณชายท่านนี้คงทราบดีกระมัง”อาซือหลานหยิบก้อนทองหยวนเป่าขนาดเท่าฝ่ามือออกมา แล้วโยนให้เฟิงเอ้อร์เหนียง“ไม่ต้องพูดมาก ข้าค่อนข้างรีบ”เฟิงเอ้อร์เหนียงรับก้อนทองหยวนเป่าไว้ เหลือบมองเบาๆ แล้วพูดกับอาซือหลาน “หวังว่าคุณชายจะมีเมตตาต่อสาวๆ เรา”นางชี้ไปที่ประตูห้องที่ดีที่สุด อาซือหลานแทบรอไม่ไหวที่จะเดินเข้าไปเจ้าเด็กเปรตเย่จิ่งหลานจู่ๆ ก็หายตัวไป ช่างน่าแปลกมากจริงๆ อาซือหลานไม่แน่ใจว่าเขาได้ออกจากระเบียงแล้วหรือยังไม่ว่าเจ้าเด็กเปรตนั่นจะหนีไปแล้วหรือไม่ก็ตาม การต่อสู้อันดุเดือดก็รออยู่ข้างหน้าหากอินสิงอวิ๋นรู้ว่าตัวเองจับตัวเป่าเล่อเอ่อร์ไว้ เขาต้องลงมือแน่นอน รวมไปถึงเย่จิ่งอวี้ เย่จั้น และองครักษ์เงามากมายในวั
เมื่อเย่จิ่งหลานได้ฟังการสนทนาระหว่างทั้งสอง จู่ๆ ก็เกิดความคิดกล้าหาญแวบขึ้นมาในใจทันทีหากตัวเองสวมรอยเป็นคนญี่ปุ่นเหล่านี้...ดูเหมือนหวังซุ่นจะอ่านความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นทันควัน “ท่านอ๋องน้อยอย่าพยายามดีกว่า ไอ้บ้าสองคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิตมาก ถ้าไม่ใช่เพราะถูกพวกเขาสังเกตเห็นข้อพิรุธ ข้าคงไม่ถูกคว้านท้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ท่านอ๋องน้อยไม่มีทักษะวรยุทธ์เลยด้วยซ้ำ”เป่าเล่อเอ่อร์ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเกลี้ยกล่อมอีกคน “รออีกหน่อยเถอะ ประเดี๋ยวก็มีคนมาช่วยเราเอง”เย่จิ่งหลานพูดว่า “แทนที่จะรอคนอื่น ไม่สู้หาทางช่วยตัวเองก่อนดีกว่า อย่างน้อยก็ได้พยายามแล้ว ถึงล้มเหลวก็ไม่น่าเสียดาย อยู่อย่างนี้ต่อไปมันบัดซบจริงๆ ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว” เขาพูดภาษาญี่ปุ่นกับหวังซุ่นหลายคำ แล้วถามว่า “สำเนียงของข้าเหมือนคนญี่ปุ่นแท้ๆ ไหม”หวังซุ่นยกนิ้วโป้งให้“ที่ท่านอ๋องพูดเหมือนคนญี่ปุ่นมากกว่าข้าอีก”เดิมทีเจ้าหมอนี่ก็รู้จักประจบประแจงอยู่แล้ว ตอนนี้มาติดตามเย่จิ่งหลาน ได้กินของที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน ใครมีน้ำนมเลี้ยงก็เรียกเป็นแม่ จึงคิดที่จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนแล้ว เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เกรงใจ “ตา
“บากะ (โง่เง่า)!”ชายตงหลิวคนหนึ่งตะโกนด่า“ห้ามเจ้าว่าท่านอ๋องน้อยของพวกเราแบบนี้นะ”อาซือหลานพูดภาษาของพวกเขา “แหกตาหมาๆ ของเจ้ามองดูให้ชัดเจน นี่คือฝูอี้อ๋องแห่งต้าโจว จะกลายเป็นท่านอ๋องน้อยของพวกเจ้าได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานตะโกนด่า “บากะยาโร่ว (ไอ้พวกโง่) อย่าฟังเขาพูดเหลวไหล ฆ่าเขาซะ”ทั้งสองคนที่ขาดความเฉลียวฉลาดรีบพุ่งพรวดเข้าไปทันที ซัดฝ่ามือใส่อาซือหลานทันทีเย่จิ่งหลานถือโอกาสเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติตอนนี้อยู่บนถนน ไม่มีทางที่อาซือหลานจะมานั่งเฝ้าดูเขาอยู่ที่นี่ทุกวัน นี่ก็เท่ากับว่าหลบหนีออกมาได้แล้ว ในเวลาเดียวกันก็ยุยงให้คนโง่สองคนก่อกบฏได้ เป็นผลกำไรล้วนๆ เลยทีเดียวหวังซุ่นยกนิ้วให้เย่จิ่งหลานทันที“ท่านอ๋องร้ายกาจจริงๆ หลอกลวงพวกเขาได้ด้วย”เย่จิ่งหลานยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “เรื่องเล็กน้อย”หวังซุ่นถามอีกครั้ง “เหตุใดท่านอ๋องจึงพูดภาษาตงหลิวได้”“คิดว่าเป็นพรสวรรค์พิเศษของข้าก็แล้วกัน แล้วเจ้ามาที่ต้าโจวได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานพลางสังเกตสถานการณ์ภายนอก พลางหาเรื่องคุยไปเรื่อยหวังซุ่นถอนหายใจแล้วพูดว่า “อาจารย์ของข้าเป็นคนจงหยวน ปีนั้นเขาข้ามทะเลเป่ย
ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนกำลังรอเย่จิ่งอวี้เลิกประชุมเช้าในช่วงนี้ นางดื่มน้ำพุวิญญาณ และเช็ดบาดแผลด้วยน้ำพุวิญญาณซึ่งไม่เจ็บ แต่กลับรู้สึกอบอุ่น สุขสบายมากตอนที่เย่จั้นและเย่จิ่งอวี้ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ก็ไปแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ การอาบน้ำไม่ใช่เรื่องยาก แต่สามัญสำนึกทำให้อินชิงเสวียนไม่อาจทดลองได้ง่ายๆนางเปลี่ยนผ้าก๊อซฆ่าเชื้อ แล้วพันแผลใหม่ ทันทีที่นางทำเสร็จ เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เสวียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะพูดเรื่องของหวังซุ่น ก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อพูดจากข้างนอก “พระสนม องครักษ์ฉินและองครักษ์หลี่ต้องการเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”“ให้พวกเขาเข้ามาเร็ว”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงแล้วถามว่า “มีอะไรรึ เกิดอะไรขึ้น”“หม่อมฉันเห็นตำแหน่งโดยประมาณของหวังซุ่น จึงให้ฉินเทียนกับหลี่ชีออกไปตรวจสอบ ที่พวกเขากลับมาในเวลานี้ คงมีข่าวคราวแน่ๆ”อินชิงเสวียนเล่ากระชับได้ใจความ เล่าสิ่งที่เห็นในกล้องวงจรปิดให้ฟัง เย่จิ่งอวี้ก็พยักหน้า“เป็นเช่นนี้เอง!”ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเทียนและหลี่ชีก็เดินเข้ามา“กระหม่อมถวายบังคมฝ
อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ดุด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่าเห่าสิ”ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็ดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจ ครางหงิงๆ บนพื้น หันกลับมาอยู่หลายครั้ง แล้วก็เห่าขึ้นอีก จากนั้นก็พลางเห่าพลางเดินถอยหลังอินชิงเสวียนรู้สึกพิศวงงงงวย ไป๋เสวี่ยฉลาดมาก อารมณ์ก็มั่นคงพอสมควร ปกติไม่ค่อยส่งเสียงเช่นนั้น เว้นแต่ต้องการน้ำพุวิญญาณ หรือเมื่อรู้สึกดีใจเป็นพิเศษจึงลุกขึ้นแล้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”ไป๋เสวี่ยส่งเสียงคำรามต่ำๆ ในลำคอ ราวกับพูดอะไรบางอย่าง ดวงตาฉายแววกังวลอยู่บ้าง แถมยังกระดิกหางใหญ่ปุกปุยไม่หยุดยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แล้วไป๋เสวี่ยวิ่งออกจากห้องโถงกลาง และยืนส่งเสียงเห่าที่ประตูอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางก็รีบเดินตามไปที่ประตู ในขณะที่เจ้าสุนัขก็วิ่งออกจากตำหนักไปอีกอินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มันอาจต้องการพาข้าไปที่ไหนสักแห่ง ข้าจะตามไปดูหน่อย พวกเจ้าดูแลเสี่ยวหนานเฟิงให้ดีนะ”“แต่สุขภาพของพระสนม...”ยายหลี่วิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร ทำตามที่ข้าบอก!”อินชิงเสวียนกระชับเสื้อคลุมกันลมไว้แน่น แล้ววิ่ง
เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่แตะบนพื้น แล้วคนก็อาศัยจังหวะเหาะหนีไปได้อาซือหลานคว้าได้เพียงความว่างเปล่า แต่มันเป็นเพียงการสับขาหลอก เขาหันหลังกลับทันที แล้วทะยานไปหาเย่จั้นคนตงหลิวที่กำลังดูความตื่นเต้นอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมเจ้าไม่อธิบายต่อแล้วล่ะ”คนตาแดงจ้องมองเข้าไปในวงการต่อสู้ จากนั้นส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ลมปราณของอาซือหลานเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ลำพังแค่ตาของข้า ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้แม่นยำอีกแล้ว”อีกคนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขนาดเจ้ายังมองเห็นไม่ชัดเลยหรือ”“ใช่แล้ว บากะ (โง่เง่า) ทำไมคนจงหยวนถึงเก่งกาจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิของเราจะข้ามขึ้นเหนือมา ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”“ปากหมาๆ อย่าพ่นคำอัปมงคลออกมาสิ จักรพรรดิของเราคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดในโลก ตราบใดที่สามารถหาพิณการเวกได้ การจัดการกับพวกเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”“บากะ เจ้าอย่าตีหัวข้าบ่อยๆ สิ”คนญี่ปุ่นตาแดงถูกตีอีกครั้ง เอามือปิดหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น แขนเสื้อคลุมสีขาวประดุจหิมะของเย่จั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง“เสด็จอา!”เมื่อเห็นว่าเย่จั้นได้รับ
อาซือหลานและเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน ลมปราณของทั้งสองผันผวน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบจากรัศมีของอีกฝ่ายเช่นกัน“ท่านคือใคร”เมื่อได้ยินเขาพูดถึงคำว่าเซี่ยว จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงตราหยกที่อินชิงเสวียนเก็บได้บนนั้นมีตัวอักษรจีนคำว่าเซี่ยวสลักอยู่ด้วยหรือว่าชายชราคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับตราหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?ผู้คนบนท้องฟ้าก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองลงมาด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ราวกับกำลังมองมดปลวกก็ไม่ปาน“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าข้าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เจ้า...”ชายชราพูดครึ่งประโยค จากนั้นก็กลืนคำพูดตัวเองเขาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาและพูดว่า “รอให้ข้าจัดการกับขยะนี่ก่อน แล้วค่อยเก็บกวาดเจ้า”ทันทีที่สะบัดนิ้ว ท่อสีดำก็มาจรดริมฝีปาก มีเสียงดนตรีแปลกๆ ดังออกมาจากท่อสีดำ ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงฟางรั่วที่ถูกทำลายวรยุทธ์ ไม่มีความสามารถในการต้านทาน ในเวลานี้นางหน้ามืดตามัว และเป็นลมล้มลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กับเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน รีบนั่งลงบนพื้น และหมุนเวียนกำลังภายในเพื่อต่อต้านคนญี่ปุ่นสองคนนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก ชายชราคนนี้โจมตีโดยไม่เลือกหน้าจริงๆ