ณ ตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนกำลังรอเย่จิ่งอวี้เลิกประชุมเช้าในช่วงนี้ นางดื่มน้ำพุวิญญาณ และเช็ดบาดแผลด้วยน้ำพุวิญญาณซึ่งไม่เจ็บ แต่กลับรู้สึกอบอุ่น สุขสบายมากตอนที่เย่จั้นและเย่จิ่งอวี้ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ก็ไปแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณ การอาบน้ำไม่ใช่เรื่องยาก แต่สามัญสำนึกทำให้อินชิงเสวียนไม่อาจทดลองได้ง่ายๆนางเปลี่ยนผ้าก๊อซฆ่าเชื้อ แล้วพันแผลใหม่ ทันทีที่นางทำเสร็จ เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก“เสวียนเอ๋อร์ วันนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”อินชิงเสวียนลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะพูดเรื่องของหวังซุ่น ก็ได้ยินเสี่ยวอานจื่อพูดจากข้างนอก “พระสนม องครักษ์ฉินและองครักษ์หลี่ต้องการเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”“ให้พวกเขาเข้ามาเร็ว”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงแล้วถามว่า “มีอะไรรึ เกิดอะไรขึ้น”“หม่อมฉันเห็นตำแหน่งโดยประมาณของหวังซุ่น จึงให้ฉินเทียนกับหลี่ชีออกไปตรวจสอบ ที่พวกเขากลับมาในเวลานี้ คงมีข่าวคราวแน่ๆ”อินชิงเสวียนเล่ากระชับได้ใจความ เล่าสิ่งที่เห็นในกล้องวงจรปิดให้ฟัง เย่จิ่งอวี้ก็พยักหน้า“เป็นเช่นนี้เอง!”ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเทียนและหลี่ชีก็เดินเข้ามา“กระหม่อมถวายบังคมฝ
อินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ดุด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อย่าเห่าสิ”ทันใดนั้นไป๋เสวี่ยก็ดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจ ครางหงิงๆ บนพื้น หันกลับมาอยู่หลายครั้ง แล้วก็เห่าขึ้นอีก จากนั้นก็พลางเห่าพลางเดินถอยหลังอินชิงเสวียนรู้สึกพิศวงงงงวย ไป๋เสวี่ยฉลาดมาก อารมณ์ก็มั่นคงพอสมควร ปกติไม่ค่อยส่งเสียงเช่นนั้น เว้นแต่ต้องการน้ำพุวิญญาณ หรือเมื่อรู้สึกดีใจเป็นพิเศษจึงลุกขึ้นแล้วถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป”ไป๋เสวี่ยส่งเสียงคำรามต่ำๆ ในลำคอ ราวกับพูดอะไรบางอย่าง ดวงตาฉายแววกังวลอยู่บ้าง แถมยังกระดิกหางใหญ่ปุกปุยไม่หยุดยายหลี่และอวิ๋นฉ่ายก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอินชิงเสวียนก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว แล้วไป๋เสวี่ยวิ่งออกจากห้องโถงกลาง และยืนส่งเสียงเห่าที่ประตูอินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย นางก็รีบเดินตามไปที่ประตู ในขณะที่เจ้าสุนัขก็วิ่งออกจากตำหนักไปอีกอินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มันอาจต้องการพาข้าไปที่ไหนสักแห่ง ข้าจะตามไปดูหน่อย พวกเจ้าดูแลเสี่ยวหนานเฟิงให้ดีนะ”“แต่สุขภาพของพระสนม...”ยายหลี่วิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร ทำตามที่ข้าบอก!”อินชิงเสวียนกระชับเสื้อคลุมกันลมไว้แน่น แล้ววิ่ง
เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่แตะบนพื้น แล้วคนก็อาศัยจังหวะเหาะหนีไปได้อาซือหลานคว้าได้เพียงความว่างเปล่า แต่มันเป็นเพียงการสับขาหลอก เขาหันหลังกลับทันที แล้วทะยานไปหาเย่จั้นคนตงหลิวที่กำลังดูความตื่นเต้นอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมเจ้าไม่อธิบายต่อแล้วล่ะ”คนตาแดงจ้องมองเข้าไปในวงการต่อสู้ จากนั้นส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ลมปราณของอาซือหลานเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ลำพังแค่ตาของข้า ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้แม่นยำอีกแล้ว”อีกคนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขนาดเจ้ายังมองเห็นไม่ชัดเลยหรือ”“ใช่แล้ว บากะ (โง่เง่า) ทำไมคนจงหยวนถึงเก่งกาจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิของเราจะข้ามขึ้นเหนือมา ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”“ปากหมาๆ อย่าพ่นคำอัปมงคลออกมาสิ จักรพรรดิของเราคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดในโลก ตราบใดที่สามารถหาพิณการเวกได้ การจัดการกับพวกเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”“บากะ เจ้าอย่าตีหัวข้าบ่อยๆ สิ”คนญี่ปุ่นตาแดงถูกตีอีกครั้ง เอามือปิดหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น แขนเสื้อคลุมสีขาวประดุจหิมะของเย่จั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง“เสด็จอา!”เมื่อเห็นว่าเย่จั้นได้รับ
อาซือหลานและเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน ลมปราณของทั้งสองผันผวน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบจากรัศมีของอีกฝ่ายเช่นกัน“ท่านคือใคร”เมื่อได้ยินเขาพูดถึงคำว่าเซี่ยว จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงตราหยกที่อินชิงเสวียนเก็บได้บนนั้นมีตัวอักษรจีนคำว่าเซี่ยวสลักอยู่ด้วยหรือว่าชายชราคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับตราหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?ผู้คนบนท้องฟ้าก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองลงมาด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ราวกับกำลังมองมดปลวกก็ไม่ปาน“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าข้าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เจ้า...”ชายชราพูดครึ่งประโยค จากนั้นก็กลืนคำพูดตัวเองเขาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาและพูดว่า “รอให้ข้าจัดการกับขยะนี่ก่อน แล้วค่อยเก็บกวาดเจ้า”ทันทีที่สะบัดนิ้ว ท่อสีดำก็มาจรดริมฝีปาก มีเสียงดนตรีแปลกๆ ดังออกมาจากท่อสีดำ ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงฟางรั่วที่ถูกทำลายวรยุทธ์ ไม่มีความสามารถในการต้านทาน ในเวลานี้นางหน้ามืดตามัว และเป็นลมล้มลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กับเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน รีบนั่งลงบนพื้น และหมุนเวียนกำลังภายในเพื่อต่อต้านคนญี่ปุ่นสองคนนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก ชายชราคนนี้โจมตีโดยไม่เลือกหน้าจริงๆ
เจวี๋ยอิ่งตกใจมาก ตะโกนเรียกฝ่าบาท และรีบรุดพุ่งเข้าไปพร้อมกับกลุ่มองครักษ์เงาสำหรับคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเหล่านี้นับเป็นยอดฝีมือจริงๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราคนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกที่คิดจะสั่นคลอนต้นไม้ใหญ่ เป็นตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามขวางรถ ไม่สามารถตอบโต้ได้ด้วยซ้ำชายชราโบกแขนเสื้อ ทุกคนก็ล้มระเนระนาดลงกับพื้นราวกับถูกจี้สกัดจุด เย่จั้นตกตะลึง รีบคุกเข่าลงสามารถปราบหน่วยองครักษ์เงาได้หลายสิบคนในคราวเดียว วรยุทธ์ของคนผู้นี้เรียกได้ว่าลึกล้ำอย่างไม่อาจหยั่งรู้ได้“ผู้อาวุโสโปรดเมตตาด้วย จิ่งอวี้คือเจ้าผู้ครองแคว้น ถ้าผู้อาวุโสต้องการเลือด สามารถใช้เลือดของผู้เยาว์แทนได้”“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาเจรจาข้อตกลงกับข้า”ชายชราโบกแขนเสื้อ ร่างของเย่จั้นก็ลอยละลิ่วออกไปทันทีต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือกฎแห่งสวรรค์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อยเย่จั้นล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกหมดหนทางยิ่งกว่านั้นชายชราคนนี้ดูเหมือนจะไร้เหตุผล ต้องทำอย่างไรดีนะเย่จิ่งอวี้ก็ทั้งกังวลทั้งเดือดดาลเช่นกัน เขาคิดว่าชายชรามาที่นี่เพ
อินชิงเสวียนกัดฟัน คิดในใจว่า ถ้าทุ่มสุดตัวแล้ว จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ต้องลองดู การนั่งรอความตายไม่ใช่ลักษณะของนางนางค่อยๆ ยืนขึ้น ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนมองตรงไปยังชายชราที่สวมหน้ากากโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อยเสียงนั้นแจ่มชัดราวกับน้ำพุ แจ่มแจ้งและเยือกเย็น ผ่านเข้าสู่หูของชายชราที่สวมหน้ากากทีละคำ“ข้าจะไม่ถอย ขอให้ผู้อาวุโสจากไปเถอะ แม้ว่าเราจะไม่ใช่ชาวยุทธ์ แต่ก็ใช่ว่าจะไร้พลังป้องกันตัวเอง ถ้าขืนผู้อาวุโสยังบีบบังคับต่อไป ผู้เยาว์จะไม่เกรงใจแล้ว”ชายชราหัวเราะร่า เหมือนจะชื่นชมอินชิงเสวียนมาก“แม่หนูน้อยพูดจาใหญ่โตดีนี่ งั้นขอข้าดูหน่อย ว่าเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร”“เสวียนเอ๋อร์ อย่าสู้กับเขา”เย่จิ่งอวี้บังคับตัวเองให้หยิบกระบี่ขึ้นมา แต่รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง และนั่งแหมะลงบนพื้นอีกครั้งสถานการณ์ของเย่จั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เสื้อสีขาวราวกับหิมะถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ราวกับดอกไม้ที่กำลังบาน ซึ่งดูน่าตกใจยิ่งนักเขาไม่มีกำลังเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเคลื่อนไหวได้ เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเย่จิ่งอวี้ ประการแรกเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างอาหลาน ประกา
เมื่อมองดูแผ่นหลังตระหง่านผึ่งผายกำยำ ที่จู่ๆ ก็หดเล็กลง หัวใจของอินชิงเสวียนคล้ายจะถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นคว้าไว้ รู้สึกเจ็บปวดจวนจะหายใจไม่ออก“อาอวี้!”อินชิงเสวียนตะโกนด้วยความเจ็บปวด หยัดกายลุกขึ้นยืนขอบตาแดงก่ำคู่นั้นมองไปยังชายชราที่สวมหน้ากากด้วยความโกรธเกรี้ยว“ผู้อาวุโสกล้าประมือกับข้าอีกสามฝ่ามือหรือไม่ หากข้ามีชีวิตรอดได้ ท่านก็ปล่อยสามีข้าไป”ชายชราที่สวมหน้ากากแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ทันทีที่สะบัดข้อมือ เย่จิ่งอวี้ก็ล้มแน่นิ่งลงกับพื้นราวกับถูกจี้สกัดจุดชายชราหรี่ตามองเขา แล้วพูดด้วยความดูหมิ่น “สตรีในโลกนี้ล้วนมีจิตใจอ่อนโยน แม้ว่าความรักของพวกเจ้าจะสะเทือนฟ้าดิน แต่แล้วอย่างไรล่ะ เมื่ออายุมากขึ้น ผู้ชายก็จะเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ใจจืดใจดำที่สุด เจ้ารับรองได้หรือว่าเขาจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต”อินชิงเสวียนเป็นห่วงเย่จิ่งอวี้ เหลือบมองเขาอย่างไร้สุ้มเสียง กระวนกระวายใจดังไฟแผดเผานางสบตากับชายชราแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องของข้า ขอถามแค่ว่าผู้อาวุโสรับปากหรือไม่”ชายชราที่สวมหน้ากากพูดเบาๆ “ไม่รับปากก็เป็นเรื่องของข้า แม่หนูน้อย เจ้ารีบตื่นรู้เสียเถิด”ก
เย่จิ่งหลานได้นำอุปกรณ์ออกมาแล้ว เริ่มตรวจรักษาให้เย่จั้น อินชิงเสวียนก็หยิบน้ำพุวิญญาณออกมา ให้หวังซุ่นเป็นคนช่วยประคองให้เย่จั้นดื่มหลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เย่จิ่งหลานก็วางอุปกรณ์ลงเขาพูดด้วยสีหน้าพิศวงงงงวย “เย่จั้นไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอก แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายอวัยวะภายใน แม้ว่าเขาจะกระอักเลือด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก คนผู้นี้ลงมือค่อนข้างแยกแยะได้ทีเดียว บางทีเขา อาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและขจัดภาวะเลือดอุดตันให้ก็ได้”“ไม่เป็นไรจริงหรือ?”เมื่อมองไปที่เสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดของเย่จั้น อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วใบหน้าเล็กๆ ของเย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่ากังขาในการวินิจฉัยของแพทย์ นั่นเป็นการดูถูกข้า”ทันทีที่เขาพูดจบ เย่จั้นก็ลืมตาขึ้นเมื่อเห็นมิติที่ไม่คุ้นเคยนี้ เขาก็คว้ากระบี่โดยไม่รู้ตัวทันทีอินชิงเสวียนกล่าวขึ้นทันควัน “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก ที่นี่คือตำหนักเฉิงเทียน ตอนนี้ท่านอ๋องรู้สึกอย่างไรบ้าง”เย่จั้นตรวจสอบตัวเองอย่างระมัดระวัง และพบว่าไม่มีอาการไม่สบาย“ข้าไม่เป็นไร แล้วฝ่าบาทล่ะ?”เมื่อได้ยินสองคำนี้ อินชิงเสวียนก็หลุบ