เย่จิ่งอวี้เปลี่ยนกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่แตะบนพื้น แล้วคนก็อาศัยจังหวะเหาะหนีไปได้อาซือหลานคว้าได้เพียงความว่างเปล่า แต่มันเป็นเพียงการสับขาหลอก เขาหันหลังกลับทันที แล้วทะยานไปหาเย่จั้นคนตงหลิวที่กำลังดูความตื่นเต้นอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ทำไมเจ้าไม่อธิบายต่อแล้วล่ะ”คนตาแดงจ้องมองเข้าไปในวงการต่อสู้ จากนั้นส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ลมปราณของอาซือหลานเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวก็เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ลำพังแค่ตาของข้า ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้แม่นยำอีกแล้ว”อีกคนอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ขนาดเจ้ายังมองเห็นไม่ชัดเลยหรือ”“ใช่แล้ว บากะ (โง่เง่า) ทำไมคนจงหยวนถึงเก่งกาจขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิของเราจะข้ามขึ้นเหนือมา ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว”“ปากหมาๆ อย่าพ่นคำอัปมงคลออกมาสิ จักรพรรดิของเราคือผู้ที่เก่งกาจที่สุดในโลก ตราบใดที่สามารถหาพิณการเวกได้ การจัดการกับพวกเขา ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”“บากะ เจ้าอย่าตีหัวข้าบ่อยๆ สิ”คนญี่ปุ่นตาแดงถูกตีอีกครั้ง เอามือปิดหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น แขนเสื้อคลุมสีขาวประดุจหิมะของเย่จั้นก็ถูกย้อมเป็นสีแดง“เสด็จอา!”เมื่อเห็นว่าเย่จั้นได้รับ
อาซือหลานและเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน ลมปราณของทั้งสองผันผวน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าได้รับผลกระทบจากรัศมีของอีกฝ่ายเช่นกัน“ท่านคือใคร”เมื่อได้ยินเขาพูดถึงคำว่าเซี่ยว จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็นึกถึงตราหยกที่อินชิงเสวียนเก็บได้บนนั้นมีตัวอักษรจีนคำว่าเซี่ยวสลักอยู่ด้วยหรือว่าชายชราคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับตราหยกของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?ผู้คนบนท้องฟ้าก้มศีรษะลงเล็กน้อย มองลงมาด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ราวกับกำลังมองมดปลวกก็ไม่ปาน“เจ้ายังกล้าถามข้าว่าข้าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เจ้า...”ชายชราพูดครึ่งประโยค จากนั้นก็กลืนคำพูดตัวเองเขาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชาและพูดว่า “รอให้ข้าจัดการกับขยะนี่ก่อน แล้วค่อยเก็บกวาดเจ้า”ทันทีที่สะบัดนิ้ว ท่อสีดำก็มาจรดริมฝีปาก มีเสียงดนตรีแปลกๆ ดังออกมาจากท่อสีดำ ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงฟางรั่วที่ถูกทำลายวรยุทธ์ ไม่มีความสามารถในการต้านทาน ในเวลานี้นางหน้ามืดตามัว และเป็นลมล้มลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กับเย่จั้นก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน รีบนั่งลงบนพื้น และหมุนเวียนกำลังภายในเพื่อต่อต้านคนญี่ปุ่นสองคนนั้นก็เหงื่อแตกพลั่ก ชายชราคนนี้โจมตีโดยไม่เลือกหน้าจริงๆ
เจวี๋ยอิ่งตกใจมาก ตะโกนเรียกฝ่าบาท และรีบรุดพุ่งเข้าไปพร้อมกับกลุ่มองครักษ์เงาสำหรับคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเหล่านี้นับเป็นยอดฝีมือจริงๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราคนนี้ พวกเขาเป็นเหมือนมดปลวกที่คิดจะสั่นคลอนต้นไม้ใหญ่ เป็นตั๊กแตนตำข้าวที่พยายามขวางรถ ไม่สามารถตอบโต้ได้ด้วยซ้ำชายชราโบกแขนเสื้อ ทุกคนก็ล้มระเนระนาดลงกับพื้นราวกับถูกจี้สกัดจุด เย่จั้นตกตะลึง รีบคุกเข่าลงสามารถปราบหน่วยองครักษ์เงาได้หลายสิบคนในคราวเดียว วรยุทธ์ของคนผู้นี้เรียกได้ว่าลึกล้ำอย่างไม่อาจหยั่งรู้ได้“ผู้อาวุโสโปรดเมตตาด้วย จิ่งอวี้คือเจ้าผู้ครองแคว้น ถ้าผู้อาวุโสต้องการเลือด สามารถใช้เลือดของผู้เยาว์แทนได้”“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรมาเจรจาข้อตกลงกับข้า”ชายชราโบกแขนเสื้อ ร่างของเย่จั้นก็ลอยละลิ่วออกไปทันทีต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือกฎแห่งสวรรค์เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อยเย่จั้นล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นก็รู้สึกหมดหนทางยิ่งกว่านั้นชายชราคนนี้ดูเหมือนจะไร้เหตุผล ต้องทำอย่างไรดีนะเย่จิ่งอวี้ก็ทั้งกังวลทั้งเดือดดาลเช่นกัน เขาคิดว่าชายชรามาที่นี่เพ
อินชิงเสวียนกัดฟัน คิดในใจว่า ถ้าทุ่มสุดตัวแล้ว จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ต้องลองดู การนั่งรอความตายไม่ใช่ลักษณะของนางนางค่อยๆ ยืนขึ้น ลูกตาขาวตัดกับตาดำชัดเจนมองตรงไปยังชายชราที่สวมหน้ากากโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อยเสียงนั้นแจ่มชัดราวกับน้ำพุ แจ่มแจ้งและเยือกเย็น ผ่านเข้าสู่หูของชายชราที่สวมหน้ากากทีละคำ“ข้าจะไม่ถอย ขอให้ผู้อาวุโสจากไปเถอะ แม้ว่าเราจะไม่ใช่ชาวยุทธ์ แต่ก็ใช่ว่าจะไร้พลังป้องกันตัวเอง ถ้าขืนผู้อาวุโสยังบีบบังคับต่อไป ผู้เยาว์จะไม่เกรงใจแล้ว”ชายชราหัวเราะร่า เหมือนจะชื่นชมอินชิงเสวียนมาก“แม่หนูน้อยพูดจาใหญ่โตดีนี่ งั้นขอข้าดูหน่อย ว่าเจ้าจะไม่เกรงใจอย่างไร”“เสวียนเอ๋อร์ อย่าสู้กับเขา”เย่จิ่งอวี้บังคับตัวเองให้หยิบกระบี่ขึ้นมา แต่รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอลง และนั่งแหมะลงบนพื้นอีกครั้งสถานการณ์ของเย่จั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เสื้อสีขาวราวกับหิมะถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ราวกับดอกไม้ที่กำลังบาน ซึ่งดูน่าตกใจยิ่งนักเขาไม่มีกำลังเช่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาเคลื่อนไหวได้ เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเย่จิ่งอวี้ ประการแรกเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างอาหลาน ประกา
เมื่อมองดูแผ่นหลังตระหง่านผึ่งผายกำยำ ที่จู่ๆ ก็หดเล็กลง หัวใจของอินชิงเสวียนคล้ายจะถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นคว้าไว้ รู้สึกเจ็บปวดจวนจะหายใจไม่ออก“อาอวี้!”อินชิงเสวียนตะโกนด้วยความเจ็บปวด หยัดกายลุกขึ้นยืนขอบตาแดงก่ำคู่นั้นมองไปยังชายชราที่สวมหน้ากากด้วยความโกรธเกรี้ยว“ผู้อาวุโสกล้าประมือกับข้าอีกสามฝ่ามือหรือไม่ หากข้ามีชีวิตรอดได้ ท่านก็ปล่อยสามีข้าไป”ชายชราที่สวมหน้ากากแค่นเสียงขึ้นจมูกเบาๆ ทันทีที่สะบัดข้อมือ เย่จิ่งอวี้ก็ล้มแน่นิ่งลงกับพื้นราวกับถูกจี้สกัดจุดชายชราหรี่ตามองเขา แล้วพูดด้วยความดูหมิ่น “สตรีในโลกนี้ล้วนมีจิตใจอ่อนโยน แม้ว่าความรักของพวกเจ้าจะสะเทือนฟ้าดิน แต่แล้วอย่างไรล่ะ เมื่ออายุมากขึ้น ผู้ชายก็จะเปลี่ยนใจ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ใจจืดใจดำที่สุด เจ้ารับรองได้หรือว่าเขาจะรักเจ้าไปตลอดชีวิต”อินชิงเสวียนเป็นห่วงเย่จิ่งอวี้ เหลือบมองเขาอย่างไร้สุ้มเสียง กระวนกระวายใจดังไฟแผดเผานางสบตากับชายชราแล้วพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องของข้า ขอถามแค่ว่าผู้อาวุโสรับปากหรือไม่”ชายชราที่สวมหน้ากากพูดเบาๆ “ไม่รับปากก็เป็นเรื่องของข้า แม่หนูน้อย เจ้ารีบตื่นรู้เสียเถิด”ก
เย่จิ่งหลานได้นำอุปกรณ์ออกมาแล้ว เริ่มตรวจรักษาให้เย่จั้น อินชิงเสวียนก็หยิบน้ำพุวิญญาณออกมา ให้หวังซุ่นเป็นคนช่วยประคองให้เย่จั้นดื่มหลังจากผ่านไปราวๆ สิบห้านาที เย่จิ่งหลานก็วางอุปกรณ์ลงเขาพูดด้วยสีหน้าพิศวงงงงวย “เย่จั้นไม่มีอาการบาดเจ็บภายนอก แต่ก็ไม่ได้ทำร้ายอวัยวะภายใน แม้ว่าเขาจะกระอักเลือด แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก คนผู้นี้ลงมือค่อนข้างแยกแยะได้ทีเดียว บางทีเขา อาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและขจัดภาวะเลือดอุดตันให้ก็ได้”“ไม่เป็นไรจริงหรือ?”เมื่อมองไปที่เสื้อคลุมที่เต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดของเย่จั้น อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วใบหน้าเล็กๆ ของเย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่ากังขาในการวินิจฉัยของแพทย์ นั่นเป็นการดูถูกข้า”ทันทีที่เขาพูดจบ เย่จั้นก็ลืมตาขึ้นเมื่อเห็นมิติที่ไม่คุ้นเคยนี้ เขาก็คว้ากระบี่โดยไม่รู้ตัวทันทีอินชิงเสวียนกล่าวขึ้นทันควัน “ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก ที่นี่คือตำหนักเฉิงเทียน ตอนนี้ท่านอ๋องรู้สึกอย่างไรบ้าง”เย่จั้นตรวจสอบตัวเองอย่างระมัดระวัง และพบว่าไม่มีอาการไม่สบาย“ข้าไม่เป็นไร แล้วฝ่าบาทล่ะ?”เมื่อได้ยินสองคำนี้ อินชิงเสวียนก็หลุบ
อินชิงเสวียนตอบรับเสียงเรียบ “ได้”เย่จั้นได้นำหน้ากากผิวหนังมนุษย์ออกมา ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ใช้ของสิ่งนี้อีกครั้งดูเหมือนว่าสิ่งที่อินชิงเสวียนพูดนั้นถูกต้อง คนอย่างหวังซุ่น ไม่อาจสังหารได้หวังซุ่นไปซ่อนตัวอยู่ข้างๆ เขายังคงกลัวเย่จั้นอยู่เล็กน้อยนี่คือราชาสงครามแห่งต้าโจว ตอนที่เขาเพิ่งเดินทางมาถึงจงหยวน ก็เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนแล้วอินชิงเสวียนนำชุดลำลองของเย่จิ่งอวี้มาให้“ระยะนี้ต้องรบกวนเสด็จอาแล้ว”เย่จั้นยื่นมือออกไปรับ สีหน้าเศร้าหมองเขาและเย่จิ่งอวี้สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกครั้งที่กลับเมืองหลวง เขาจะแอบพาเด็กคนนี้ออกไปเล่นนอกวัง บัดนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นหรือตาย เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่คุ้นเคยเหล่านี้ ทำให้เขานึกถึงเย่จิ่งอวี้ในตอนเด็กที่เดินตามหลังเขาต้อยๆ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วเย่จั้นก็เดินเข้าไปในห้องโถงด้านนอกเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเป่าเล่อเอ่อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ บีบนิ้วแน่น แอบมองอย่างอดไม่ได้ที่แท้ที่นี่คือวังหลวงของต้าโจว สวยงามเช่นนี้เอง จากนั้นก็ลอบมองหน้าอินชิงเสวียนอย่างเงียบๆเนื่องจากทุกคนเรียกนางว่ากุ้ยเฟย ฉะนั้นนางต้องเป็นน้องสาวของอินสิงอวิ๋นแน่ๆนา
“แล้ว...พี่ใหญ่อิน...”เมื่อคิดว่าจะได้พบหน้าอินสิงอวิ๋นเร็วๆ นี้ เป่าเล่อเอ่อร์ก็รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น หัวใจพะวักพะวนจู่ๆ อินชิงเสวียนก็จำได้ว่าอินสิงอวิ๋นเคยถามตัวเอง ว่านางรู้จักสตรีคนหนึ่งหรือไม่ ซึ่งสตรีที่เขาพูดถึงคงเป็นเป่าเล่อเอ่อร์แม้ว่าความทรงจำจะสูญหายไป แต่ความประทับใจนี้ยังคงอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้งซึ่งก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์ล้วนไม่อาจหลีกหนีคำว่ารักได้ อินชิงเสวียนคิดถึงตัวเองและเย่จิ่งอวี้ นางคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ได้พบเจ้า พี่ใหญ่คงจะดีใจมาก ข้าจะกลับไปหาจ้าวเอ๋อร์ก่อน แล้วค่อยไปส่งเจ้ากลับตระกูลอิน”“อื้ม ข้ารู้แล้ว”เสียงของเป่าเล่อเอ่อร์แผ่วเบา ว่าง่ายมากเมื่อมองดูท่าทางอ่อนโยนของนาง อินชิงเสวียนก็ยิ่งรู้สึกชอบในเวลานี้ เย่จั้นได้เดินเข้ามาจากห้องโถงด้านนอกอินชิงเสวียนตกอยู่ในความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง รูปร่างของพวกเขาสองอาหลานดูคล้ายกันมาก หลังจากสวมหน้ากากแล้ว ก็แทบจะแทนกันได้เลยเย่จั้นรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ไอแห้งๆอินชิงเสวียนตื่นจากภวังค์ทันที นางกระแอมและพูดว่า “ถ้าเสด็จอารู้สึกไม่สบาย ก็พักผ่อนในตำหนักเฉิงเทียนเถิด ข้าจะกล
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล