เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กัดมือเล็กแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเด็จแม่~”เย่จิ่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดจ้าวเอ๋อร์จึงพูดได้มากมายเช่นนี้?”“ยายหลี่เล่าว่า ตราบใดที่เด็กรู้จักตัวหนังสือแล้ว เขาจะยิ่งพูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเอ๋อร์ของพวกเราที่เฉลียวฉลาดมากขนาดนี้”อินชิงเสวียนลูบที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิง และพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “ออกไปกันเถอะเพคะ เดี๋ยวฝูอี้อ๋องจะหาเราไม่พบ”“ได้สิ”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และสามพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาจากมิติเย่จิ่งหลานเพิ่งเดินออกมาจากด้านนอกประตูพอดี พ่อบ้านที่เพิ่งมาใหม่เดินตามหลังของเขา และใช้เปลหามอย่างง่ายยกหวังซุ่นออกมาหลังการรักษาด้วยการเย็บแผลแล้ว หวังซุ่นก็ฟื้นขึ้นมาได้สติโดยสมบูรณ์ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รู้สึกตกใจในทันทีเขาพูดอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “กุ้ยเฟย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ทำงานที่บอก เป็นเพราะคนเหล่านั้นแทบไม่เชื่อข้าน้อยเลย หากข้าน้อยสวมหน้ากากออกมา ก็อาจจะสามารถหลอกลวงพวกเขาได้บ้าง”เมื่อเห็นหวังซุ่นหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แผลของเจ้า... พวกเขาเป็นคนทำงั
อินชิงเสวียนทำสีหน้าแปลกใจ จู่ๆ ทำไมเย่จิ่งอวี้จึงอยากฟังเพลงขึ้นมา ก่อนขึ้นครองราชย์เขาได้ชื่อว่าเป็นท่านอ๋องแห่งความสุดยอดทั้งห้า หากตัวเองต้องเล่นพิณต่อหน้าเขา จะไม่เป็นเหมือนการควงดาบต่อหน้านักรบกวนอูงั้นหรือ?“เสวียนเอ๋อร์ไม่สมัครใจงั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย และพูดต่อว่า “ความจริงข้าประพันธ์เพลงได้ หากเสวียนเอ๋อร์ต้องการ ข้าสามารถแต่งเพลงและเล่นดนตรีกับเจ้าได้นะ”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนจึงกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้นี่ยังคงจำคำพูดของอาซือหลานไว้สินะในเมื่อยอมรับในความสัมพันธ์ของสามีภรรยากันแล้ว อินชิงเสวียนไม่ต้องให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอีก“ฝ่าบาทอยากฟังเพลงก็ย่อมได้เพคะ แต่หมอมฉันหวังว่าฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการฟังจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่ได้รับผลกระทบมาจากผู้ใด หม่อมฉันและไอ้สุนัขชาติชั่วอย่างอาซือหลานไม่เคยมีการกระทำซ่อนเร้นร่วมกัน หากว่าฝ่าบาทยังคงติดใจเรื่องนี้อยู่ เกรงว่าจะดูถูกความรู้สึกที่มีต่อกันมากเกินไปแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยังคงหน้าแดง เขารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ทุกครั้งที่คิดถึงภาพคนรักของตัวเองกำลังพูดคุยหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น ในใจของเขาร
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงพูดออกมาได้ยากปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้สัมผัสที่ติ่งหูของนาง ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาจรดที่ต้นคอของนาง ทำให้รู้สึกตื่นเต้น“เสวียนเอ๋อร์ที่รัก เรียกข้าว่าอาอวี้สิ”มือที่เย็นเล็กน้อยสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้า และสัมผัสกับผิวหนังที่ร้อนเป็นไฟและคล้ายผ้าดิ้นที่อ่อนนุ่ม ทำให้อินชิงเสวียนสั่นสะท้าน“อย่า...”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนขึ้นไปตามเอว“เสวียนเอ๋อร์เขินอายงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนหันหน้าไปอีกด้าน และใบหน้ามีสีแดงสดใส“น่าเกลียด อย่าได้ถามแบบนี้สิเพคะ”“เช่นนั้นก็เรียกชื่อของข้าสิ”เย่จิ่งอวี้ดึงเสื้อคลุมบนร่างกายออก นิ้วมือที่ปราดเปรียวปลดสายรัดเอวกระโปรงพับกลีบของอินชิงเสวียนออกเสียงที่ทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเย้ายวน“ข้าอยากฟัง”“ไม่เอา... อุบ...”ร่างกายที่แนบชิดกันพอดีทำให้อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงคว้าไหล่ของเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้แต่เอวของนางกลับถูกแขนอันทรงพลังจับไว้แน่น“ฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าแล้วนะ”ร่างที่กดลงมาทำให้อินชิงเสวียนส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย จึงทำได้เพียงร้องเสียงเบาว
เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ไม่พอใจจริงๆ เย่ไห่ถังจึงต้องเดินออกไปด้วยความโกรธเมื่อนางออกไปแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวังหรือเพคะ?”สายตาของเย่จิ่งอวี้อ่อนโยนขึ้นทันที และจับมือน้อยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ดึงตัวนางมาอยู่ด้านหน้าของตัวเอง“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉางจี้จิ่วแห่งสำนักศึกษาหลวงมาหาข้า บอกว่าอาจารย์อินของพวกเขาหายไปแล้ว มีโจทย์บางข้อที่พวกเขาไม่เข้าใจ ที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้เจ้าเด็กนั่นเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ตอนนี้นางถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว หากถูกผู้อื่นรู้เข้า จะต้องเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์อีกมากมาย”อินชิงเสวียนนั่งลงข้างเขา และถามว่า “การแต่งงานขององค์หญิงนั้นเลือกด้วยตัวเอง หรือว่าจำเป็นต้องมีพระราชวงศ์เป็นผู้กำหนดให้เพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าพระราชวงศ์เป็นผู้กำหนดให้สิ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การแต่งงานล้วนมีพ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ หากว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจ”“แต่ว่า... หากว่าองค์หญิงไม่ได้รักคนที่แต่งงานด้วยล่ะเพคะ?”ระบบการแต่งงานของยุคสมัยโบราณ คือสิ่งที่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจมาโด
อินชิงเสวียนรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก และเปิดประตูตำหนักมือน้อยของเสี่ยวหนานเฟิงเต็มไปด้วยหิมะ นิ้วมือเย็นยะเยือกจนเป็นสีแดง แต่ยังเหยียดตัวออกไปเพื่อจะจับหิมะที่อยู่บนพื้นยายหลี่ใช้แรงอุ้มเขาไว้ ร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มศีรษะเมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินออกมา ยายหลี่มีความลนลานเล็กน้อย“เหนียงเหนียง...”แน่นอนว่าอินชิงเสวียนไม่มีทางตำหนิยายหลี่ นางเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวหนานเฟิงมาจนเติบใหญ่ นางรักเด็กมากกว่าตัวเองเสียอีก“ไม่เป็นไร ข้าเอง”อินชิงเสวียนยื่นมือมารับเจ้าเด็กอ้วน และหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดออกมา เช็ดหยดน้ำบนมือน้อยของเขาแล้วสวมถุงมือผ้าฝ้ายให้กับเขา“ห้ามจับหิมะเล่น เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ แม่ก็จะโกรธมากและไม่รักจ้าวเอ๋อร์แล้วนะ”อินชิงเสวียนแกล้งทำหน้าบึ้งตึงแม้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ มีบางคำที่ยังฟังไม่เข้าใจ แต่กลับมองสีหน้าคนออกเมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำหน้าบึ้งตึง จึงรีบยื่นมือออกมา และกอดคอของอินชิงเสวียนเอาไว้ พร้อมพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เด็จแม่ ไม่โกรธๆ”อินชิงเสวียนยังคงทำหน้าเคร่งขรึม และพูดกับเสี่ยวหนานเฟิงว่า “จ้าวเอ๋อร์ทำเรื่องไม่ดี แม่ก็ต้องโกรธเป็น
ฟางรั่วตามหาตัวเองทำไมกัน?ต้องการจัดการกับนางอยู่พอดี ไปดูหน่อยสิว่านางจะเล่นลูกไม้อะไรอีกเย่จิ่งอวี้หันหน้ากลับมา หิมะแรกกระทบลงบนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา มีความแวววาวราวกับหยกขาว“ข้าจะไปกับเสวียนเอ๋อร์”อินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ดีเพคะ ข้าเองก็เคยใช้ประโยชน์จากฟางรั่ว จึงไม่อยากปลิดชีวิตของนาง ถือว่าข้าตอบแทนน้ำใจของนาง ฝ่า...”เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้หรี่ตามอง สายตาคมเผยความไม่พอใจออกมา อินชิงเสวียนรู้สึกเซ็งเล็กน้อย และรีบเปลี่ยนคำพูด“อาอวี้ทำลายวิชาการต่อสู้ของนางก็พอเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มที่มุมปาก การเรียกขานเช่นนี้ เมื่อเทียบกับคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ที่แสนเย็นชา เย่จิ่งอวี้ชอบให้อินชิงเสวียนเรียกชื่อตัวเองมากกว่า“ได้สิ แล้วแต่เสวียนเอ๋อร์ทุกอย่างเลย”เป็นเพียงแค่สาวรับใช้เท่านั้น คาดว่านางคงไม่มีฤทธิ์มากแล้วอินชิงเสวียนนำเสี่ยวหนานเฟิงมอบให้กับเสี่ยวอานจื่อ เจ้าเด็กอ้วนกลับไม่ยอมไป และคว้ากิ่งดอกเหมยโดยไม่ยอมปล่อยมือตอนนี้ไม่มีความน่ากลัวอะไรในพระราชวังแล้ว อีกทั้งการเดินทางครั้งนี้ยังมีองครักษ์ติดตามอีกมาก อินชิงเสวียนจึงให้เสี่ยวอานจื่อและอวิ๋นฉ่ายพาเจ้าเ
อินชิงเสวียนพยักหน้า“เป็นจริงดังนั้นเพคะ ตราบใดที่เจอตัวอาซือหลาน เราจะสืบหาความจริงให้ปรากฏทุกอย่าง”“อืม มีไป๋เสวี่ยและเจวี๋ยอิ่งติดตามตัวอยู่ รวมทั้งฟางรั่วอีกคน ครั้งนี้ต่อให้เขาติดปีกก็ยากที่จะหนีรอดไปได้”นับตั้งแต่ได้ยินคำพูดชั้นต่ำเหล่านั้นของอาซือหลาน เย่จิ่งอวี้ก็แทบอยากจับตัวเขาไว้ แล้วสับร่างให้เป็นหมื่นท่อนตอนนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย เรียกได้ว่ามีความมั่นใจอย่างล้นหลามทั้งสองฝ่าหิมะกลับมาที่ตำหนักจินหวู เย่จิ่งอวี้เห็นว่าเวลายังไม่เย็นมาก จึงกลับไปที่ห้องหนังสือก่อนอินชิงเสวียนเปิดหน้าต่างออก มองดูเกล็ดหิมะที่ปลิวไสว ก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกในเวลานี้ ทางภาคเหนือก็คงมีหิมะตกเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าบ้านเก่าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อารองคงรับคุณย่าไปอยู่ด้วยนานแล้วอินชิงเสวียนถอนหายใจยาวๆ และปิดหน้าต่างลงขณะนั้นเอง กวนเซี่ยวก็มองหิมะที่นอกหน้าต่าง จิตใจเหม่อลอยเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว ฟางรั่วคงจบเห่แล้วแน่นอนแม้ว่าเขาจะรู้ตัวตนของฟางรั่ว แต่ยังคงถลำลึกลงไป ตอนนี้หมดหวังโดยสิ้นเชิงเขารู้นานแล้วว่านายท่านผู้เฒ่ากวนไม่มีทางยินยอมให้ฟางรั่วที่เคยเป็นสายลับ
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”กวนเซี่ยวมองอาซือหลานด้วยความโกรธ น่าเสียดายที่วิทยายุทธ์ของตัวเองสู้เขาไม่ได้ ซึ่งไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยอาซือหลานยิ้มออกมาอย่างช้าๆ“เงื่อนไขที่ข้าให้เจ้าง่ายดายอย่างมาก ขอเพียงเจ้าสามารถหลอกให้อินชิงเสวียนมาที่จวนได้ ข้าจะหาทางทำให้เจ้าได้พบกับฟางรั่ว”กวนเซี่ยวเม้มปาก แววตาแฝงไปด้วยความลังเลแม้เขาจะแค้นอินชิงเสวียน แต่ก็รู้ว่าอาซือหลานไม่ใช่คนดีอะไรอาซือหลานจึงพูดยุยงว่า “ด้วยความสัมพันธ์ของตระกูลพวกเจ้า คาดว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ฟางรั่วมีเพียงแค่คนเดียว หากเสียโอกาสไปแล้ว อาจจะไม่เจอกันอีกแล้วก็ได้”กวนเซี่ยวรู้สึกหวั่นไหวในทันที“ข้าจะพยายามลองดู หากทำสำเร็จจะให้ข้าบอกกับเจ้าอย่างไร?”อาซือหลานพูดเสียงเรียบว่า “ข้าจะมาดื่มเหล้าที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ทุกคืน เจ้ามาหาข้าที่นี่ได้เลย”“ได้”เมื่อกวนเซี่ยวออกไปแล้ว อาซือหลานก็รินเหล้าอย่างไม่รีบร้อนอีกครั้ง เมื่อดื่มเหล้าในแก้วหมดแล้ว เขาก็โยนก้อนเงินหยวนเป่าออกมาหนึ่งอัน จากนั้นก็โบกพัดและเดินออกจากโรงเตี๊ยมไปเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป่าเล่อเอ่อร์อยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าฟางรั่วจะถูกปล่อยตัวออกมาหรือไม่ ท