อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยดึกดื่นป่านนี้แล้ว จอมพลเฒ่ามาทำอะไรที่นี่“มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”องครักษ์กล่าวอย่างพินอบพิเทา “มิได้พ่ะย่ะค่ะ จอมพลเฒ่าต้องการพบกุ้ยเฟย”“โอ้ ข้ารู้แล้ว”จอมพลเฒ่ากวนไม่ใช่คนนอก ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงสวมชุกพรางตัวออกจากตำหนักไปที่ทางเข้าประตูจิ้งอาน อินชิงเสวียนเห็นชายชรากำลังเดินกลับไปกลับมาทันใดนั้นนางก็นึกถึงฟางรั่ว จอมพลเฒ่ามาที่นี่ คงจะมาด้วยเรื่องของกวนเซี่ยวแต่ทำไมไม่มาที่นี่ตอนกลางวันล่ะ กลัวโดนหัวเราะเยาะงั้นหรือแม้ว่ากวนฮั่นหลินจะอายุปูนนี้แล้ว แต่เขาก็มีหูตาว่องไว ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ก็หันหน้ามาทันที“กระหม่อมถวายพระพรกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนเดินเร็วๆ ไปช่วยประคองผู้เฒ่ากวนลุกขึ้น“อัคราจารย์ไม่ต้องมากพิธี เข้าวังมาดึกขนาดนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”กวนฮั่นหลินรู้สึกกระอักกระอ่วนเขาเข้าวังมาเพื่อขอน้ำ เนื่องจากความเดือดดาลของเขาทำให้กวนเซี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังนอนอยู่ที่บ้านกวนฮั่นหลินจำได้ว่าตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ อินชิงเสวียนเคยให้ดื่มน้ำบางชนิด ภายหลังจากนั้นเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วชายชร
แล้วผู้ที่อยู่ตรงข้าม คือผีแคระหลายคนกำลังเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้นนี่คือการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือ ทั้งสองฝ่ายต่างมองหาจุดอ่อนของกันและกัน ที่สามารถสังหารได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวในชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปนานถึงสามสิบนาทีลมหนาวยามค่ำคืนทำให้เสื้อผ้าของหลายๆ คนส่งเสียงพึ่บพั่บดังขึ้น ไม่เพียงแต่ทุกคนจะไม่เคลื่อนไหว แต่การหายใจยังช้าลงเล็กน้อยอีกด้วยในบรรดาคนเหล่านี้ อินปู้อวี่มีนิสัยใจร้อนที่สุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อมีฝ่าบาทองค์ปัจจุบันและท่านอ๋องยืนอยู่ด้วย หากมีแค่พวกเขาสองพี่น้อง อินปู้อวี่คงลงมือไปนานแล้ว พวกนั้นเป็นเพียงคนตัวเตี้ยที่สูงไม่เท่าไหร่ มีอะไรให้กลัวเมื่อเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป สีหน้าของผีแคระที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เปลี่ยนไป พูดเป็นภาษาของพวกเขา “มีกลิ่นของสุนัข คนเหล่านี้ต้องมีกำลังเสริม เราต้องรีบจบการต่อสู้โดยระ...”ยังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าเร็ว เย่จิ่งอวี้ก็เคลื่อนไหวแล้ว แสงกระบี่นั้นเป็นประกายราวกับน้ำใส ที่ลากแสงอันสุกใสเข้าหาผีแคระหลายตัว“บากะยาโร่ (ไอ้บ้าเอ้ย)!”คนหนึ่งสบถสาปแช่ง แล้วร่างก็หายไปทันที อีกคนแยกออกเป็นสองร่าง ยังมีอีกคนที่กลายร่างเป็นสีเขียว
ในเวลาเดียวกัน อินชิงเสวียนก็พาไป๋เสวี่ยตามมาถึงนอกชายป่าแล้ว บังเอิญพบกับเย่จิ่งอวี้ที่เหาะออกมาจากด้านในพอ“ฝ่าบาท ท่านไม่เป็นอะไรนะ คนอื่นล่ะ”“เสวียนเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่”เย่จิ่งอวี้จรดฝีเท้าอย่างมั่นคง แล้วขมวดคิ้วนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นสนุกผีแคระพวกนี้ชั่วร้ายมาก แม้ว่าพวกเขาจะฆ่าไปสองคน แต่ก็สิ้นเปลืองพลังงานไปมากจริงๆอินชิงเสวียนรู้ว่าเขาเป็นห่วงนาง นางจึงหยิบขวดน้ำแร่ที่บรรจุน้ำพุวิญญาณออกมา เขย่าแล้วพูดว่า “หม่อมฉันเป็นห่วงพวกท่าน จึงนำน้ำพุวิญญาณมาให้ที่นี่ พวกท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่”เขามองดูลูกตาดำที่ตัดกับตาขาวชัดเจนนั้น ดวงตาคู่นั้นเป็นสุกใสราวกับน้ำพุ เย่จิ่งอวี้ก็ต่อว่าไม่ลงในเมื่อเขาเป็นห่วงนาง อินชิงเสวียนก็ห่วงเขาได้เช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีพี่ชายสองคนของนางมาร่วมศึกในคราวนี้ด้วยเขาพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้าลงเล็กน้อย “เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องห่วง ทุกคนเรียบร้อยดี เดิมทีอาจฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้ในคราวเดียว แต่จู่ๆ ควันกำมะถันก็ปรากฏขึ้นในป่า ข้ากลัวจะเกิดการระเบิดหรือเพลิงไหม้ จึงให้เสด็จอาและคนอื่นๆ ถอยออกมาก่อน”อินชิงเสวียนก็ได้กลิ่นกำมะถันเช่น
“หวังซุ่นยังมีชีวิตอยู่รึ”เย่จิ่งอวี้หันกลับไปถามอินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างไม่แน่ใจ“หวังซุ่นถูกคว้านท้อง สภาพน่าอนาถยิ่งนัก หม่อมฉันให้ฉินเทียนส่งเขาไปยังจวนฝูอี้อ๋องแล้ว หวังว่าจะช่วยให้ฟื้นได้”จากนั้นก็ถามอย่างฉงน “ทำไมหวังซุ่นถึงอยู่ในห้องนั้น ผู้ใดทำร้ายเขากันแน่”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้ามืดมน “คงจะเป็นคนตงหลิวพวกนั้น ตอนที่ข้าและเสด็จอามาถึง หวังซุ่นก็ถูกฆ่าไปแล้ว คนพวกนี้จมูกไว และเคลื่อนไหวเร็วมาก ซ่อนตัวจากเจวี๋ยอิ่งได้ด้วย”อินชิงเสวียนพูดปลอบ “ว่ากันว่าชาวตงหลิวถนัดวิชาต่อสู้นินจา ในเมื่อคนเหล่านี้สามารถบุกทะลวงแนวป้องกันของสำนักต่างๆ มาที่เมืองหลวงได้ พวกเขาคงมีความสามารถพอสมควร โชคดีที่การต่อสู้คราวนี้สามารถกำจัดไปได้สองคน นับว่าเป็นกำไรมหาศาลแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า เหลือบมองท้องฟ้า แล้วมองดูทุกคน พูดว่า “ยามนี้พวกเขาซ่อนตัวแล้ว คงไม่พบภายในหนึ่งหรือสองวันอย่างแน่นอน คืนนี้รบกวนทุกคนแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะให้เจวี๋ยอิ่งสืบตามต่อเอง”ทุกคนประกบมือคำนับพร้อมกัน“พวกกรหม่อมทูลลา”อินปู้อวี่เหลือบมองน้องสาวอย่างเป็นห่วง เดิมทีอยากพูดตักเตือนอีก
อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ที่แท้มิติของเจ้าก็สามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวได้ ดีจังเลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น หวังซุ่นล่ะ”เย่จิ่งหลานยืดตัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าช่วยชีวิตคนได้แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในห้องผ่าตัดข้า พักผ่อนไม่กี่วัน ก็สามารถกระโดดโลดเต้นได้สบายแล้ว”เขามองไปยังศพที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แล้วส่ายศีรษะอย่างเศร้าๆ “ข้าใช้เงินไปมากมายเพื่อซื้อสาวใช้และคนรับใช้เหล่านี้ ไม่คิดว่าจะถูกฆ่าทั้งหมด นักฆ่าเมื่อคืนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”“ข้ายังพอมีเงินอยู่ เอาไปซื้อมาเพิ่มก็ได้ ส่วนเงินที่เหลือก็เอาไปช่วยเหลือครอบครัวพวกเขาเถอะ”อินชิงเสวียนล้วงตั๋วเงินออกมายัดใส่มือของเย่จิ่งหลาน แล้วถามว่า “เจ้าเคยหน้าตาของนักฆ่าหรือไม่”เย่จิ่งหลานเก็บตั๋วเงินเข้าอกเสื้ออย่างไม่เกรงใจ ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไม่เห็น พวกเขาปิดหน้าปิดตา หลักๆ น่าจะมาเพราะเรื่องของหวังซุ่นคนนี้ เป็นเจ้าที่สร้างปัญหาให้ข้าแล้ว”อินชิงเสวียนไอแห้งๆ“ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้าลำบากขนาดนี้ ข้าจะให้สิ่งของกับเจ้าเพื่อเป็นการชดเชยก็แล้วกัน”นางรู้จักเย่จิ่งหลานมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยให้น้ำพุวิญญาณแก่เขา ไม่ใช่เพราะอ
แม้ว่าจิตวิญญาณของเย่จิ่งหลานจะเข้ามาอยู่ในร่างของเด็ก แต่แก่นแท้คือชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่า มีหรือจะทนได้ที่เห็นอินชิงเสวียนมองข้ามตัวเองเช่นนี้ได้แต่เสียดายที่ไม่มีปืนเลเซอร์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจัดการยัดคนหน้าด้านนี่เข้าใส่ตะแกรงแล้ว “แม่เอ้ย ข้าไม่กลัวเขาหรอก เป็นลูกหมาอย่างเจ้ารึที่ฆ่าคนในจวนของข้าจนหมด”อาซือหลานหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ใช่แล้วอย่างไรล่ะ ต้องโทษเจ้าที่ช่วยคนที่ไม่ควรจะช่วย ส่งตัวหวังซุ่นมา แล้วข้าจะปล่อยให้เด็กเปรตอย่างเจ้ามีชีวิตรอด”เย่จิ่งหลานถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าฝันไปเถอะ”อาซือหลานถอนหายใจ พูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็อย่าตำหนิข้าที่ไร้ปรานี”ยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของเขาก็มาถึงเบื้องของหน้าเย่จิ่งหลานแล้วอินชิงเสวียนแลกเปลี่ยนพลังมิติทันที แล้วซัดฝ่ามือออกไปอาซือหลานใช้พัดมาสกัด แล้วอินชิงเสวียนก็ถูกผลักออกด้วยพลังมหาศาล กระเด็นถอยกลับไปสี่ห้าก้าวนางอดไม่ได้ที่จะตกใจ อาซือหลานที่อยู่ตรงหน้า ดูแข็งแกร่งกว่าตอนที่พบกันในอุโมงค์อาซือหลานไม่รีบร้อนลงมือ เขามองอินชิงเสวียนประหนึ่งแมวที่กำลังเล่นกับหนูตัวจ้อย เอ่ยชมด้วยร
ฝ่ามือทั้งสองประสานกันเสียงปัง พลังลมปราณไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายอินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ ข้างหน้า ชายในชุดสีน้ำเงินและอาซือหลานต่างก้าวถอยหลังทันใดนั้นสีหน้าของอาซือหลานก็เปลี่ยนไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้?”ชายในเสื้อคลุมผ้าสีน้ำเงินไม่ได้สนใจอาซือหลาน เขาหันกลับมา มองสำรวจอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”วันนี้ไม่มีธุระสำคัญ เย่จิ่งอวี้จึงเลิกประชุมเร็ว เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวูก็เห็นว่าอินชิงเสวียนไม่อยู่ที่นั่น จึงรู้ทันทีว่านางต้องมาถึงจวนฝูอี้อ๋องแล้วเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง เขาจึงเร่งรุดมาทันทีโชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!เมื่อมองดูเรียวตาหงส์ที่เป็นห่วงเป็นใยคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวานล้ำในใจ“หม่อมฉันไม่เป็นไร”อาซือหลานหงุดหงิดที่ถูกละเลยด้วยเช่นนี้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนแสดงความรักลึกซึ้งต่อเย่จิ่งอวี้ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมาเขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่องเต้สุนัขแห่งต้าโจวช
ถนนเทียนเจียเป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเมืองหลวง สองข้างทางล้วนเป็นพ่อค้าเร่ที่ทำการค้าขาย ด้านล่างก็มีประชาชนจำนวนมากที่ทำการจับจ่ายใช้สอย เย่จิ่งอวี้จึงขมวดคิ้วคมอย่างอดไม่ได้ทว่าความล่าช้านี้ ก็ทำให้ระยะทางของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น อาซือหลานคิดจะหนีอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นเรือนจุ้ยหงที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่ตรงหน้า อาซือหลานดีใจขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าที่นี่จะเปิดทำการอีกครั้งแม้ว่าเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว แต่ทางลับก็คงไม่ถูกปิดตายภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ เขาแวบร่างแล้วบินตรงเข้าไปทันทีบริกรชายที่คอยรินชาของเรือนจุ้ยหงกำลังยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตู เห็นเพียงเงาสีขาวที่แวบหายไป แต่เมื่อหันหลังมามองก็ไม่เห็นคนแล้วเย่จิ่งอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป และทำมือส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาที่ปลอมตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบตามเข้าไปขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยก็มาถึงหน้าประตู ด้านหลังตามมาด้วยฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีมิติอยู่ จึงไม่ได้กลัวจะพบเจอกับอันตราย นี่ถือเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือ