แม้ว่าจิตวิญญาณของเย่จิ่งหลานจะเข้ามาอยู่ในร่างของเด็ก แต่แก่นแท้คือชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่า มีหรือจะทนได้ที่เห็นอินชิงเสวียนมองข้ามตัวเองเช่นนี้ได้แต่เสียดายที่ไม่มีปืนเลเซอร์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจัดการยัดคนหน้าด้านนี่เข้าใส่ตะแกรงแล้ว “แม่เอ้ย ข้าไม่กลัวเขาหรอก เป็นลูกหมาอย่างเจ้ารึที่ฆ่าคนในจวนของข้าจนหมด”อาซือหลานหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ใช่แล้วอย่างไรล่ะ ต้องโทษเจ้าที่ช่วยคนที่ไม่ควรจะช่วย ส่งตัวหวังซุ่นมา แล้วข้าจะปล่อยให้เด็กเปรตอย่างเจ้ามีชีวิตรอด”เย่จิ่งหลานถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าฝันไปเถอะ”อาซือหลานถอนหายใจ พูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็อย่าตำหนิข้าที่ไร้ปรานี”ยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของเขาก็มาถึงเบื้องของหน้าเย่จิ่งหลานแล้วอินชิงเสวียนแลกเปลี่ยนพลังมิติทันที แล้วซัดฝ่ามือออกไปอาซือหลานใช้พัดมาสกัด แล้วอินชิงเสวียนก็ถูกผลักออกด้วยพลังมหาศาล กระเด็นถอยกลับไปสี่ห้าก้าวนางอดไม่ได้ที่จะตกใจ อาซือหลานที่อยู่ตรงหน้า ดูแข็งแกร่งกว่าตอนที่พบกันในอุโมงค์อาซือหลานไม่รีบร้อนลงมือ เขามองอินชิงเสวียนประหนึ่งแมวที่กำลังเล่นกับหนูตัวจ้อย เอ่ยชมด้วยร
ฝ่ามือทั้งสองประสานกันเสียงปัง พลังลมปราณไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายอินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ ข้างหน้า ชายในชุดสีน้ำเงินและอาซือหลานต่างก้าวถอยหลังทันใดนั้นสีหน้าของอาซือหลานก็เปลี่ยนไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้?”ชายในเสื้อคลุมผ้าสีน้ำเงินไม่ได้สนใจอาซือหลาน เขาหันกลับมา มองสำรวจอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”วันนี้ไม่มีธุระสำคัญ เย่จิ่งอวี้จึงเลิกประชุมเร็ว เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวูก็เห็นว่าอินชิงเสวียนไม่อยู่ที่นั่น จึงรู้ทันทีว่านางต้องมาถึงจวนฝูอี้อ๋องแล้วเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง เขาจึงเร่งรุดมาทันทีโชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!เมื่อมองดูเรียวตาหงส์ที่เป็นห่วงเป็นใยคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวานล้ำในใจ“หม่อมฉันไม่เป็นไร”อาซือหลานหงุดหงิดที่ถูกละเลยด้วยเช่นนี้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนแสดงความรักลึกซึ้งต่อเย่จิ่งอวี้ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมาเขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่องเต้สุนัขแห่งต้าโจวช
ถนนเทียนเจียเป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเมืองหลวง สองข้างทางล้วนเป็นพ่อค้าเร่ที่ทำการค้าขาย ด้านล่างก็มีประชาชนจำนวนมากที่ทำการจับจ่ายใช้สอย เย่จิ่งอวี้จึงขมวดคิ้วคมอย่างอดไม่ได้ทว่าความล่าช้านี้ ก็ทำให้ระยะทางของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น อาซือหลานคิดจะหนีอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นเรือนจุ้ยหงที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่ตรงหน้า อาซือหลานดีใจขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าที่นี่จะเปิดทำการอีกครั้งแม้ว่าเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว แต่ทางลับก็คงไม่ถูกปิดตายภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ เขาแวบร่างแล้วบินตรงเข้าไปทันทีบริกรชายที่คอยรินชาของเรือนจุ้ยหงกำลังยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตู เห็นเพียงเงาสีขาวที่แวบหายไป แต่เมื่อหันหลังมามองก็ไม่เห็นคนแล้วเย่จิ่งอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป และทำมือส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาที่ปลอมตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบตามเข้าไปขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยก็มาถึงหน้าประตู ด้านหลังตามมาด้วยฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีมิติอยู่ จึงไม่ได้กลัวจะพบเจอกับอันตราย นี่ถือเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือ
อินชิงเสวียนหันหน้ามา และมองไปที่ประตูห้องด้วยความระแวงเย่จิ่งอวี้จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาเข้าไปในทันทีเมื่อประตูถูกเปิดออก ก็ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงพับกลีบสีชมพูนั่งอยู่ด้านในบนศีรษะปักปิ่นที่งดงาม ใบหน้างดงาม แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเรือนจุ้ยหงไม่ใช่สถานที่ที่ดี การบังคับเด็กผู้หญิงให้ค้าประเวณีในสมัยโบราณถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้ร้องไห้เสียใจ อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและยกเท้าเดินเข้าไป“เจ้าเป็นอะไร เจ้าถูกจับตัวมางั้นหรือ?”หญิงสาวเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้น และมองไปที่อินชิงเสวียนรู้สึกเพียงว่าคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาและจิตใจดี ดูเหมือนไม่ใช่คนเลวร้ายนางใช้แรงเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้ามาตามหาสามีที่เมืองหลวง แต่ข้าถูกจับมาขังไว้ที่นี่ พวกท่าน... ช่วยข้าออกไปได้หรือไม่?”พนักงานชายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหน้าต่างชั้นสองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เฟิงเอ้อเหนียงยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณไม่ให้เขาทำตัวบุ่มบ่ามพนักงานชายพูดเสียงเบา “เด็กสาวคนนี้รู้วิชาการต่อสู้ น่าจะมีราคาอยู่บ้าง”เฟิงเอ้อเหนียงพูดด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น วาง
เย่จิ่งอวี้ถือดาบแนวขวาง ความแหลมคมของดาบจ่อที่คอของเฟิงเอ้อเหนียง หยดเลือดหนึ่งสายพุ่งออกมาจากดาบที่ส่องสว่าง และไหลลงตามแนวของปลายดาบ“บังอาจ!”เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงเข้มเฟิงเอ้อเหนียงตกใจ ปลายจมูกมีเหงื่อผุดออกมาในทันที จึงรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้า อย่าได้โมโหเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยก็ไม่เคยเย็นชาต่อแม่หญิงผู้นี้เลย”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปด้านหน้า และพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อไม่เคย เจ้ายังมัวมาพูดไร้สาระทำไม หลบไป!”เฟิงเอ้อเหนียงจ้องตาโดยไม่ขยับเมื่อเห็นว่าเฟิงเอ้อเหนียงยังคงยืนอยู่ที่หน้าบันไดไม่ยอมขยับ ราวกับว่าตกใจจนเสียขวัญไปแล้ว สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมในทันที“หากยังมัวพูดไร้สาระอีก ข้าจะกุดหัวเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”ทันทีที่ขยับข้อมือ ดาบยาวก็ส่งเสียงดังชิ้งออกมา แสงเย็นยะเยือกสาดผ่านใบหน้าของเฟิงเอ้อเหนียงไป และเจตนาจะฆ่าให้ตายเฟิงเอ้อเหนียงจึงร้องออกมาราวกับตื่นจากความฝัน และรีบหลบไปอีกด้านอินชิงเสวียนดึงมือของเป่าเล่อเอ่อร์เดินลงจากบันไดทันทีเฟิงเอ้อเหนียงกุมที่ต้นคอและวิ่งขึ้นไป ในปากก็ส่งเสียงร้องต่อกันว่า “นายท่านทั้งหลาย ข้าให้คนไปกับพวกท่านแล้ว พ
เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กัดมือเล็กแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเด็จแม่~”เย่จิ่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดจ้าวเอ๋อร์จึงพูดได้มากมายเช่นนี้?”“ยายหลี่เล่าว่า ตราบใดที่เด็กรู้จักตัวหนังสือแล้ว เขาจะยิ่งพูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเอ๋อร์ของพวกเราที่เฉลียวฉลาดมากขนาดนี้”อินชิงเสวียนลูบที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิง และพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “ออกไปกันเถอะเพคะ เดี๋ยวฝูอี้อ๋องจะหาเราไม่พบ”“ได้สิ”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และสามพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาจากมิติเย่จิ่งหลานเพิ่งเดินออกมาจากด้านนอกประตูพอดี พ่อบ้านที่เพิ่งมาใหม่เดินตามหลังของเขา และใช้เปลหามอย่างง่ายยกหวังซุ่นออกมาหลังการรักษาด้วยการเย็บแผลแล้ว หวังซุ่นก็ฟื้นขึ้นมาได้สติโดยสมบูรณ์ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รู้สึกตกใจในทันทีเขาพูดอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “กุ้ยเฟย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ทำงานที่บอก เป็นเพราะคนเหล่านั้นแทบไม่เชื่อข้าน้อยเลย หากข้าน้อยสวมหน้ากากออกมา ก็อาจจะสามารถหลอกลวงพวกเขาได้บ้าง”เมื่อเห็นหวังซุ่นหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แผลของเจ้า... พวกเขาเป็นคนทำงั
อินชิงเสวียนทำสีหน้าแปลกใจ จู่ๆ ทำไมเย่จิ่งอวี้จึงอยากฟังเพลงขึ้นมา ก่อนขึ้นครองราชย์เขาได้ชื่อว่าเป็นท่านอ๋องแห่งความสุดยอดทั้งห้า หากตัวเองต้องเล่นพิณต่อหน้าเขา จะไม่เป็นเหมือนการควงดาบต่อหน้านักรบกวนอูงั้นหรือ?“เสวียนเอ๋อร์ไม่สมัครใจงั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย และพูดต่อว่า “ความจริงข้าประพันธ์เพลงได้ หากเสวียนเอ๋อร์ต้องการ ข้าสามารถแต่งเพลงและเล่นดนตรีกับเจ้าได้นะ”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนจึงกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้นี่ยังคงจำคำพูดของอาซือหลานไว้สินะในเมื่อยอมรับในความสัมพันธ์ของสามีภรรยากันแล้ว อินชิงเสวียนไม่ต้องให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอีก“ฝ่าบาทอยากฟังเพลงก็ย่อมได้เพคะ แต่หมอมฉันหวังว่าฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการฟังจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่ได้รับผลกระทบมาจากผู้ใด หม่อมฉันและไอ้สุนัขชาติชั่วอย่างอาซือหลานไม่เคยมีการกระทำซ่อนเร้นร่วมกัน หากว่าฝ่าบาทยังคงติดใจเรื่องนี้อยู่ เกรงว่าจะดูถูกความรู้สึกที่มีต่อกันมากเกินไปแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยังคงหน้าแดง เขารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ทุกครั้งที่คิดถึงภาพคนรักของตัวเองกำลังพูดคุยหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น ในใจของเขาร
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงพูดออกมาได้ยากปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้สัมผัสที่ติ่งหูของนาง ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาจรดที่ต้นคอของนาง ทำให้รู้สึกตื่นเต้น“เสวียนเอ๋อร์ที่รัก เรียกข้าว่าอาอวี้สิ”มือที่เย็นเล็กน้อยสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้า และสัมผัสกับผิวหนังที่ร้อนเป็นไฟและคล้ายผ้าดิ้นที่อ่อนนุ่ม ทำให้อินชิงเสวียนสั่นสะท้าน“อย่า...”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนขึ้นไปตามเอว“เสวียนเอ๋อร์เขินอายงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนหันหน้าไปอีกด้าน และใบหน้ามีสีแดงสดใส“น่าเกลียด อย่าได้ถามแบบนี้สิเพคะ”“เช่นนั้นก็เรียกชื่อของข้าสิ”เย่จิ่งอวี้ดึงเสื้อคลุมบนร่างกายออก นิ้วมือที่ปราดเปรียวปลดสายรัดเอวกระโปรงพับกลีบของอินชิงเสวียนออกเสียงที่ทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเย้ายวน“ข้าอยากฟัง”“ไม่เอา... อุบ...”ร่างกายที่แนบชิดกันพอดีทำให้อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงคว้าไหล่ของเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้แต่เอวของนางกลับถูกแขนอันทรงพลังจับไว้แน่น“ฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าแล้วนะ”ร่างที่กดลงมาทำให้อินชิงเสวียนส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย จึงทำได้เพียงร้องเสียงเบาว
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี