ถนนเทียนเจียเป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเมืองหลวง สองข้างทางล้วนเป็นพ่อค้าเร่ที่ทำการค้าขาย ด้านล่างก็มีประชาชนจำนวนมากที่ทำการจับจ่ายใช้สอย เย่จิ่งอวี้จึงขมวดคิ้วคมอย่างอดไม่ได้ทว่าความล่าช้านี้ ก็ทำให้ระยะทางของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น อาซือหลานคิดจะหนีอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นเรือนจุ้ยหงที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่ตรงหน้า อาซือหลานดีใจขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าที่นี่จะเปิดทำการอีกครั้งแม้ว่าเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว แต่ทางลับก็คงไม่ถูกปิดตายภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ เขาแวบร่างแล้วบินตรงเข้าไปทันทีบริกรชายที่คอยรินชาของเรือนจุ้ยหงกำลังยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตู เห็นเพียงเงาสีขาวที่แวบหายไป แต่เมื่อหันหลังมามองก็ไม่เห็นคนแล้วเย่จิ่งอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป และทำมือส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาที่ปลอมตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบตามเข้าไปขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยก็มาถึงหน้าประตู ด้านหลังตามมาด้วยฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีมิติอยู่ จึงไม่ได้กลัวจะพบเจอกับอันตราย นี่ถือเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือ
อินชิงเสวียนหันหน้ามา และมองไปที่ประตูห้องด้วยความระแวงเย่จิ่งอวี้จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาเข้าไปในทันทีเมื่อประตูถูกเปิดออก ก็ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงพับกลีบสีชมพูนั่งอยู่ด้านในบนศีรษะปักปิ่นที่งดงาม ใบหน้างดงาม แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเรือนจุ้ยหงไม่ใช่สถานที่ที่ดี การบังคับเด็กผู้หญิงให้ค้าประเวณีในสมัยโบราณถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้ร้องไห้เสียใจ อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและยกเท้าเดินเข้าไป“เจ้าเป็นอะไร เจ้าถูกจับตัวมางั้นหรือ?”หญิงสาวเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้น และมองไปที่อินชิงเสวียนรู้สึกเพียงว่าคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาและจิตใจดี ดูเหมือนไม่ใช่คนเลวร้ายนางใช้แรงเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้ามาตามหาสามีที่เมืองหลวง แต่ข้าถูกจับมาขังไว้ที่นี่ พวกท่าน... ช่วยข้าออกไปได้หรือไม่?”พนักงานชายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหน้าต่างชั้นสองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เฟิงเอ้อเหนียงยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณไม่ให้เขาทำตัวบุ่มบ่ามพนักงานชายพูดเสียงเบา “เด็กสาวคนนี้รู้วิชาการต่อสู้ น่าจะมีราคาอยู่บ้าง”เฟิงเอ้อเหนียงพูดด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น วาง
เย่จิ่งอวี้ถือดาบแนวขวาง ความแหลมคมของดาบจ่อที่คอของเฟิงเอ้อเหนียง หยดเลือดหนึ่งสายพุ่งออกมาจากดาบที่ส่องสว่าง และไหลลงตามแนวของปลายดาบ“บังอาจ!”เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงเข้มเฟิงเอ้อเหนียงตกใจ ปลายจมูกมีเหงื่อผุดออกมาในทันที จึงรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้า อย่าได้โมโหเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยก็ไม่เคยเย็นชาต่อแม่หญิงผู้นี้เลย”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปด้านหน้า และพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อไม่เคย เจ้ายังมัวมาพูดไร้สาระทำไม หลบไป!”เฟิงเอ้อเหนียงจ้องตาโดยไม่ขยับเมื่อเห็นว่าเฟิงเอ้อเหนียงยังคงยืนอยู่ที่หน้าบันไดไม่ยอมขยับ ราวกับว่าตกใจจนเสียขวัญไปแล้ว สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมในทันที“หากยังมัวพูดไร้สาระอีก ข้าจะกุดหัวเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”ทันทีที่ขยับข้อมือ ดาบยาวก็ส่งเสียงดังชิ้งออกมา แสงเย็นยะเยือกสาดผ่านใบหน้าของเฟิงเอ้อเหนียงไป และเจตนาจะฆ่าให้ตายเฟิงเอ้อเหนียงจึงร้องออกมาราวกับตื่นจากความฝัน และรีบหลบไปอีกด้านอินชิงเสวียนดึงมือของเป่าเล่อเอ่อร์เดินลงจากบันไดทันทีเฟิงเอ้อเหนียงกุมที่ต้นคอและวิ่งขึ้นไป ในปากก็ส่งเสียงร้องต่อกันว่า “นายท่านทั้งหลาย ข้าให้คนไปกับพวกท่านแล้ว พ
เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กัดมือเล็กแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเด็จแม่~”เย่จิ่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดจ้าวเอ๋อร์จึงพูดได้มากมายเช่นนี้?”“ยายหลี่เล่าว่า ตราบใดที่เด็กรู้จักตัวหนังสือแล้ว เขาจะยิ่งพูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเอ๋อร์ของพวกเราที่เฉลียวฉลาดมากขนาดนี้”อินชิงเสวียนลูบที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิง และพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “ออกไปกันเถอะเพคะ เดี๋ยวฝูอี้อ๋องจะหาเราไม่พบ”“ได้สิ”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และสามพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาจากมิติเย่จิ่งหลานเพิ่งเดินออกมาจากด้านนอกประตูพอดี พ่อบ้านที่เพิ่งมาใหม่เดินตามหลังของเขา และใช้เปลหามอย่างง่ายยกหวังซุ่นออกมาหลังการรักษาด้วยการเย็บแผลแล้ว หวังซุ่นก็ฟื้นขึ้นมาได้สติโดยสมบูรณ์ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รู้สึกตกใจในทันทีเขาพูดอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “กุ้ยเฟย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ทำงานที่บอก เป็นเพราะคนเหล่านั้นแทบไม่เชื่อข้าน้อยเลย หากข้าน้อยสวมหน้ากากออกมา ก็อาจจะสามารถหลอกลวงพวกเขาได้บ้าง”เมื่อเห็นหวังซุ่นหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แผลของเจ้า... พวกเขาเป็นคนทำงั
อินชิงเสวียนทำสีหน้าแปลกใจ จู่ๆ ทำไมเย่จิ่งอวี้จึงอยากฟังเพลงขึ้นมา ก่อนขึ้นครองราชย์เขาได้ชื่อว่าเป็นท่านอ๋องแห่งความสุดยอดทั้งห้า หากตัวเองต้องเล่นพิณต่อหน้าเขา จะไม่เป็นเหมือนการควงดาบต่อหน้านักรบกวนอูงั้นหรือ?“เสวียนเอ๋อร์ไม่สมัครใจงั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย และพูดต่อว่า “ความจริงข้าประพันธ์เพลงได้ หากเสวียนเอ๋อร์ต้องการ ข้าสามารถแต่งเพลงและเล่นดนตรีกับเจ้าได้นะ”เมื่อได้ยินดังนั้น อินชิงเสวียนจึงกลอกตามองบนอย่างอดไม่ได้นี่ยังคงจำคำพูดของอาซือหลานไว้สินะในเมื่อยอมรับในความสัมพันธ์ของสามีภรรยากันแล้ว อินชิงเสวียนไม่ต้องให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นอีก“ฝ่าบาทอยากฟังเพลงก็ย่อมได้เพคะ แต่หมอมฉันหวังว่าฝ่าบาทเพียงแค่ต้องการฟังจริงๆ เท่านั้น ไม่ใช่ได้รับผลกระทบมาจากผู้ใด หม่อมฉันและไอ้สุนัขชาติชั่วอย่างอาซือหลานไม่เคยมีการกระทำซ่อนเร้นร่วมกัน หากว่าฝ่าบาทยังคงติดใจเรื่องนี้อยู่ เกรงว่าจะดูถูกความรู้สึกที่มีต่อกันมากเกินไปแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยังคงหน้าแดง เขารู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ทุกครั้งที่คิดถึงภาพคนรักของตัวเองกำลังพูดคุยหัวเราะกับผู้ชายคนอื่น ในใจของเขาร
อินชิงเสวียนกัดริมฝีปาก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงพูดออกมาได้ยากปลายลิ้นของเย่จิ่งอวี้สัมผัสที่ติ่งหูของนาง ลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเขาจรดที่ต้นคอของนาง ทำให้รู้สึกตื่นเต้น“เสวียนเอ๋อร์ที่รัก เรียกข้าว่าอาอวี้สิ”มือที่เย็นเล็กน้อยสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้า และสัมผัสกับผิวหนังที่ร้อนเป็นไฟและคล้ายผ้าดิ้นที่อ่อนนุ่ม ทำให้อินชิงเสวียนสั่นสะท้าน“อย่า...”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนขึ้นไปตามเอว“เสวียนเอ๋อร์เขินอายงั้นหรือ?”อินชิงเสวียนหันหน้าไปอีกด้าน และใบหน้ามีสีแดงสดใส“น่าเกลียด อย่าได้ถามแบบนี้สิเพคะ”“เช่นนั้นก็เรียกชื่อของข้าสิ”เย่จิ่งอวี้ดึงเสื้อคลุมบนร่างกายออก นิ้วมือที่ปราดเปรียวปลดสายรัดเอวกระโปรงพับกลีบของอินชิงเสวียนออกเสียงที่ทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเย้ายวน“ข้าอยากฟัง”“ไม่เอา... อุบ...”ร่างกายที่แนบชิดกันพอดีทำให้อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จึงคว้าไหล่ของเย่จิ่งอวี้อย่างอดไม่ได้แต่เอวของนางกลับถูกแขนอันทรงพลังจับไว้แน่น“ฟังข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าแล้วนะ”ร่างที่กดลงมาทำให้อินชิงเสวียนส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อย จึงทำได้เพียงร้องเสียงเบาว
เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ไม่พอใจจริงๆ เย่ไห่ถังจึงต้องเดินออกไปด้วยความโกรธเมื่อนางออกไปแล้ว อินชิงเสวียนก็ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวังหรือเพคะ?”สายตาของเย่จิ่งอวี้อ่อนโยนขึ้นทันที และจับมือน้อยของอินชิงเสวียนเอาไว้ ดึงตัวนางมาอยู่ด้านหน้าของตัวเอง“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ฉางจี้จิ่วแห่งสำนักศึกษาหลวงมาหาข้า บอกว่าอาจารย์อินของพวกเขาหายไปแล้ว มีโจทย์บางข้อที่พวกเขาไม่เข้าใจ ที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้ เพียงเพราะไม่ต้องการให้เจ้าเด็กนั่นเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ตอนนี้นางถึงวัยที่ควรออกเรือนแล้ว หากถูกผู้อื่นรู้เข้า จะต้องเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์อีกมากมาย”อินชิงเสวียนนั่งลงข้างเขา และถามว่า “การแต่งงานขององค์หญิงนั้นเลือกด้วยตัวเอง หรือว่าจำเป็นต้องมีพระราชวงศ์เป็นผู้กำหนดให้เพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าพระราชวงศ์เป็นผู้กำหนดให้สิ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การแต่งงานล้วนมีพ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ หากว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจ”“แต่ว่า... หากว่าองค์หญิงไม่ได้รักคนที่แต่งงานด้วยล่ะเพคะ?”ระบบการแต่งงานของยุคสมัยโบราณ คือสิ่งที่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจมาโด
อินชิงเสวียนรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออก และเปิดประตูตำหนักมือน้อยของเสี่ยวหนานเฟิงเต็มไปด้วยหิมะ นิ้วมือเย็นยะเยือกจนเป็นสีแดง แต่ยังเหยียดตัวออกไปเพื่อจะจับหิมะที่อยู่บนพื้นยายหลี่ใช้แรงอุ้มเขาไว้ ร้อนใจจนเหงื่อผุดเต็มศีรษะเมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินออกมา ยายหลี่มีความลนลานเล็กน้อย“เหนียงเหนียง...”แน่นอนว่าอินชิงเสวียนไม่มีทางตำหนิยายหลี่ นางเป็นคนเลี้ยงเสี่ยวหนานเฟิงมาจนเติบใหญ่ นางรักเด็กมากกว่าตัวเองเสียอีก“ไม่เป็นไร ข้าเอง”อินชิงเสวียนยื่นมือมารับเจ้าเด็กอ้วน และหยิบผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดออกมา เช็ดหยดน้ำบนมือน้อยของเขาแล้วสวมถุงมือผ้าฝ้ายให้กับเขา“ห้ามจับหิมะเล่น เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ แม่ก็จะโกรธมากและไม่รักจ้าวเอ๋อร์แล้วนะ”อินชิงเสวียนแกล้งทำหน้าบึ้งตึงแม้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ มีบางคำที่ยังฟังไม่เข้าใจ แต่กลับมองสีหน้าคนออกเมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำหน้าบึ้งตึง จึงรีบยื่นมือออกมา และกอดคอของอินชิงเสวียนเอาไว้ พร้อมพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เด็จแม่ ไม่โกรธๆ”อินชิงเสวียนยังคงทำหน้าเคร่งขรึม และพูดกับเสี่ยวหนานเฟิงว่า “จ้าวเอ๋อร์ทำเรื่องไม่ดี แม่ก็ต้องโกรธเป็น