“หวังซุ่นยังมีชีวิตอยู่รึ”เย่จิ่งอวี้หันกลับไปถามอินชิงเสวียนส่ายศีรษะอย่างไม่แน่ใจ“หวังซุ่นถูกคว้านท้อง สภาพน่าอนาถยิ่งนัก หม่อมฉันให้ฉินเทียนส่งเขาไปยังจวนฝูอี้อ๋องแล้ว หวังว่าจะช่วยให้ฟื้นได้”จากนั้นก็ถามอย่างฉงน “ทำไมหวังซุ่นถึงอยู่ในห้องนั้น ผู้ใดทำร้ายเขากันแน่”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้ามืดมน “คงจะเป็นคนตงหลิวพวกนั้น ตอนที่ข้าและเสด็จอามาถึง หวังซุ่นก็ถูกฆ่าไปแล้ว คนพวกนี้จมูกไว และเคลื่อนไหวเร็วมาก ซ่อนตัวจากเจวี๋ยอิ่งได้ด้วย”อินชิงเสวียนพูดปลอบ “ว่ากันว่าชาวตงหลิวถนัดวิชาต่อสู้นินจา ในเมื่อคนเหล่านี้สามารถบุกทะลวงแนวป้องกันของสำนักต่างๆ มาที่เมืองหลวงได้ พวกเขาคงมีความสามารถพอสมควร โชคดีที่การต่อสู้คราวนี้สามารถกำจัดไปได้สองคน นับว่าเป็นกำไรมหาศาลแล้วเพคะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า เหลือบมองท้องฟ้า แล้วมองดูทุกคน พูดว่า “ยามนี้พวกเขาซ่อนตัวแล้ว คงไม่พบภายในหนึ่งหรือสองวันอย่างแน่นอน คืนนี้รบกวนทุกคนแล้ว เชิญกลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะให้เจวี๋ยอิ่งสืบตามต่อเอง”ทุกคนประกบมือคำนับพร้อมกัน“พวกกรหม่อมทูลลา”อินปู้อวี่เหลือบมองน้องสาวอย่างเป็นห่วง เดิมทีอยากพูดตักเตือนอีก
อินชิงเสวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ที่แท้มิติของเจ้าก็สามารถเข้าไปหลบซ่อนตัวได้ ดีจังเลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น หวังซุ่นล่ะ”เย่จิ่งหลานยืดตัวแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าช่วยชีวิตคนได้แล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในห้องผ่าตัดข้า พักผ่อนไม่กี่วัน ก็สามารถกระโดดโลดเต้นได้สบายแล้ว”เขามองไปยังศพที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น แล้วส่ายศีรษะอย่างเศร้าๆ “ข้าใช้เงินไปมากมายเพื่อซื้อสาวใช้และคนรับใช้เหล่านี้ ไม่คิดว่าจะถูกฆ่าทั้งหมด นักฆ่าเมื่อคืนนี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ”“ข้ายังพอมีเงินอยู่ เอาไปซื้อมาเพิ่มก็ได้ ส่วนเงินที่เหลือก็เอาไปช่วยเหลือครอบครัวพวกเขาเถอะ”อินชิงเสวียนล้วงตั๋วเงินออกมายัดใส่มือของเย่จิ่งหลาน แล้วถามว่า “เจ้าเคยหน้าตาของนักฆ่าหรือไม่”เย่จิ่งหลานเก็บตั๋วเงินเข้าอกเสื้ออย่างไม่เกรงใจ ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไม่เห็น พวกเขาปิดหน้าปิดตา หลักๆ น่าจะมาเพราะเรื่องของหวังซุ่นคนนี้ เป็นเจ้าที่สร้างปัญหาให้ข้าแล้ว”อินชิงเสวียนไอแห้งๆ“ไม่คิดว่าจะทำให้เจ้าลำบากขนาดนี้ ข้าจะให้สิ่งของกับเจ้าเพื่อเป็นการชดเชยก็แล้วกัน”นางรู้จักเย่จิ่งหลานมานานแล้ว แต่ยังไม่เคยให้น้ำพุวิญญาณแก่เขา ไม่ใช่เพราะอ
แม้ว่าจิตวิญญาณของเย่จิ่งหลานจะเข้ามาอยู่ในร่างของเด็ก แต่แก่นแท้คือชายหนุ่มในวัยยี่สิบกว่า มีหรือจะทนได้ที่เห็นอินชิงเสวียนมองข้ามตัวเองเช่นนี้ได้แต่เสียดายที่ไม่มีปืนเลเซอร์ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจัดการยัดคนหน้าด้านนี่เข้าใส่ตะแกรงแล้ว “แม่เอ้ย ข้าไม่กลัวเขาหรอก เป็นลูกหมาอย่างเจ้ารึที่ฆ่าคนในจวนของข้าจนหมด”อาซือหลานหัวเราะเบาๆ พูดว่า “ใช่แล้วอย่างไรล่ะ ต้องโทษเจ้าที่ช่วยคนที่ไม่ควรจะช่วย ส่งตัวหวังซุ่นมา แล้วข้าจะปล่อยให้เด็กเปรตอย่างเจ้ามีชีวิตรอด”เย่จิ่งหลานถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าฝันไปเถอะ”อาซือหลานถอนหายใจ พูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ เช่นนั้นก็อย่าตำหนิข้าที่ไร้ปรานี”ยังไม่ทันสิ้นเสียง ร่างของเขาก็มาถึงเบื้องของหน้าเย่จิ่งหลานแล้วอินชิงเสวียนแลกเปลี่ยนพลังมิติทันที แล้วซัดฝ่ามือออกไปอาซือหลานใช้พัดมาสกัด แล้วอินชิงเสวียนก็ถูกผลักออกด้วยพลังมหาศาล กระเด็นถอยกลับไปสี่ห้าก้าวนางอดไม่ได้ที่จะตกใจ อาซือหลานที่อยู่ตรงหน้า ดูแข็งแกร่งกว่าตอนที่พบกันในอุโมงค์อาซือหลานไม่รีบร้อนลงมือ เขามองอินชิงเสวียนประหนึ่งแมวที่กำลังเล่นกับหนูตัวจ้อย เอ่ยชมด้วยร
ฝ่ามือทั้งสองประสานกันเสียงปัง พลังลมปราณไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกเขา ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายอินชิงเสวียนยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้าโดยสัญชาตญาณ ข้างหน้า ชายในชุดสีน้ำเงินและอาซือหลานต่างก้าวถอยหลังทันใดนั้นสีหน้าของอาซือหลานก็เปลี่ยนไป จากนั้นหัวเราะเบาๆ “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เย่จิ่งอวี้?”ชายในเสื้อคลุมผ้าสีน้ำเงินไม่ได้สนใจอาซือหลาน เขาหันกลับมา มองสำรวจอินชิงเสวียนอย่างรวดเร็ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”วันนี้ไม่มีธุระสำคัญ เย่จิ่งอวี้จึงเลิกประชุมเร็ว เมื่อกลับมาที่ตำหนักจินหวูก็เห็นว่าอินชิงเสวียนไม่อยู่ที่นั่น จึงรู้ทันทีว่านางต้องมาถึงจวนฝูอี้อ๋องแล้วเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับนาง เขาจึงเร่งรุดมาทันทีโชคดีที่ยังไม่สายเกินไป!เมื่อมองดูเรียวตาหงส์ที่เป็นห่วงเป็นใยคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงความหวานล้ำในใจ“หม่อมฉันไม่เป็นไร”อาซือหลานหงุดหงิดที่ถูกละเลยด้วยเช่นนี้ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนแสดงความรักลึกซึ้งต่อเย่จิ่งอวี้ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมาเขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ฮ่องเต้สุนัขแห่งต้าโจวช
ถนนเทียนเจียเป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในเมืองหลวง สองข้างทางล้วนเป็นพ่อค้าเร่ที่ทำการค้าขาย ด้านล่างก็มีประชาชนจำนวนมากที่ทำการจับจ่ายใช้สอย เย่จิ่งอวี้จึงขมวดคิ้วคมอย่างอดไม่ได้ทว่าความล่าช้านี้ ก็ทำให้ระยะทางของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น อาซือหลานคิดจะหนีอีกครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อลองกวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ทันใดนั้นก็ได้เห็นเรือนจุ้ยหงที่ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงามอยู่ตรงหน้า อาซือหลานดีใจขึ้นมาทันที ไม่คิดว่าที่นี่จะเปิดทำการอีกครั้งแม้ว่าเปลี่ยนมือเจ้าของแล้ว แต่ทางลับก็คงไม่ถูกปิดตายภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ เขาแวบร่างแล้วบินตรงเข้าไปทันทีบริกรชายที่คอยรินชาของเรือนจุ้ยหงกำลังยืนต้อนรับแขกที่หน้าประตู เห็นเพียงเงาสีขาวที่แวบหายไป แต่เมื่อหันหลังมามองก็ไม่เห็นคนแล้วเย่จิ่งอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป และทำมือส่งสัญญาณให้เหล่าองครักษ์เงาที่ปลอมตัวอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็รีบตามเข้าไปขณะนั้นเอง อินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยก็มาถึงหน้าประตู ด้านหลังตามมาด้วยฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานไม่ว่าอย่างไรเขาก็มีมิติอยู่ จึงไม่ได้กลัวจะพบเจอกับอันตราย นี่ถือเป็นการต่อสู้ของยอดฝีมือ
อินชิงเสวียนหันหน้ามา และมองไปที่ประตูห้องด้วยความระแวงเย่จิ่งอวี้จึงส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาเข้าไปในทันทีเมื่อประตูถูกเปิดออก ก็ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงพับกลีบสีชมพูนั่งอยู่ด้านในบนศีรษะปักปิ่นที่งดงาม ใบหน้างดงาม แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเรือนจุ้ยหงไม่ใช่สถานที่ที่ดี การบังคับเด็กผู้หญิงให้ค้าประเวณีในสมัยโบราณถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อเห็นหญิงสาวผู้นี้ร้องไห้เสียใจ อินชิงเสวียนขมวดคิ้วและยกเท้าเดินเข้าไป“เจ้าเป็นอะไร เจ้าถูกจับตัวมางั้นหรือ?”หญิงสาวเงยหน้าที่ดวงตาแดงก่ำขึ้น และมองไปที่อินชิงเสวียนรู้สึกเพียงว่าคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาและจิตใจดี ดูเหมือนไม่ใช่คนเลวร้ายนางใช้แรงเม้มปากแล้วพูดว่า “ข้ามาตามหาสามีที่เมืองหลวง แต่ข้าถูกจับมาขังไว้ที่นี่ พวกท่าน... ช่วยข้าออกไปได้หรือไม่?”พนักงานชายที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังหน้าต่างชั้นสองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เฟิงเอ้อเหนียงยกมือขึ้น เพื่อส่งสัญญาณไม่ให้เขาทำตัวบุ่มบ่ามพนักงานชายพูดเสียงเบา “เด็กสาวคนนี้รู้วิชาการต่อสู้ น่าจะมีราคาอยู่บ้าง”เฟิงเอ้อเหนียงพูดด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น วาง
เย่จิ่งอวี้ถือดาบแนวขวาง ความแหลมคมของดาบจ่อที่คอของเฟิงเอ้อเหนียง หยดเลือดหนึ่งสายพุ่งออกมาจากดาบที่ส่องสว่าง และไหลลงตามแนวของปลายดาบ“บังอาจ!”เย่จิ่งอวี้ตะคอกเสียงเข้มเฟิงเอ้อเหนียงตกใจ ปลายจมูกมีเหงื่อผุดออกมาในทันที จึงรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้า อย่าได้โมโหเลยนะเจ้าคะ ข้าน้อยก็ไม่เคยเย็นชาต่อแม่หญิงผู้นี้เลย”อินชิงเสวียนเดินเข้าไปด้านหน้า และพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อไม่เคย เจ้ายังมัวมาพูดไร้สาระทำไม หลบไป!”เฟิงเอ้อเหนียงจ้องตาโดยไม่ขยับเมื่อเห็นว่าเฟิงเอ้อเหนียงยังคงยืนอยู่ที่หน้าบันไดไม่ยอมขยับ ราวกับว่าตกใจจนเสียขวัญไปแล้ว สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมในทันที“หากยังมัวพูดไร้สาระอีก ข้าจะกุดหัวเจ้าเดี๋ยวนี้เลย”ทันทีที่ขยับข้อมือ ดาบยาวก็ส่งเสียงดังชิ้งออกมา แสงเย็นยะเยือกสาดผ่านใบหน้าของเฟิงเอ้อเหนียงไป และเจตนาจะฆ่าให้ตายเฟิงเอ้อเหนียงจึงร้องออกมาราวกับตื่นจากความฝัน และรีบหลบไปอีกด้านอินชิงเสวียนดึงมือของเป่าเล่อเอ่อร์เดินลงจากบันไดทันทีเฟิงเอ้อเหนียงกุมที่ต้นคอและวิ่งขึ้นไป ในปากก็ส่งเสียงร้องต่อกันว่า “นายท่านทั้งหลาย ข้าให้คนไปกับพวกท่านแล้ว พ
เสี่ยวหนานเฟิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง กัดมือเล็กแล้วพูดว่า “ขอบพระทัยเด็จแม่~”เย่จิ่งอวี้ประหลาดใจเล็กน้อย“เหตุใดจ้าวเอ๋อร์จึงพูดได้มากมายเช่นนี้?”“ยายหลี่เล่าว่า ตราบใดที่เด็กรู้จักตัวหนังสือแล้ว เขาจะยิ่งพูดได้มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเอ๋อร์ของพวกเราที่เฉลียวฉลาดมากขนาดนี้”อินชิงเสวียนลูบที่เส้นผมอ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิง และพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “ออกไปกันเถอะเพคะ เดี๋ยวฝูอี้อ๋องจะหาเราไม่พบ”“ได้สิ”เย่จิ่งอวี้อุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และสามพ่อแม่ลูกก็เดินออกมาจากมิติเย่จิ่งหลานเพิ่งเดินออกมาจากด้านนอกประตูพอดี พ่อบ้านที่เพิ่งมาใหม่เดินตามหลังของเขา และใช้เปลหามอย่างง่ายยกหวังซุ่นออกมาหลังการรักษาด้วยการเย็บแผลแล้ว หวังซุ่นก็ฟื้นขึ้นมาได้สติโดยสมบูรณ์ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนก็รู้สึกตกใจในทันทีเขาพูดอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “กุ้ยเฟย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่ทำงานที่บอก เป็นเพราะคนเหล่านั้นแทบไม่เชื่อข้าน้อยเลย หากข้าน้อยสวมหน้ากากออกมา ก็อาจจะสามารถหลอกลวงพวกเขาได้บ้าง”เมื่อเห็นหวังซุ่นหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แผลของเจ้า... พวกเขาเป็นคนทำงั