เมื่อได้ยินภาษาของพวกเขา อินชิงเสวียนก็ผงะไปชั่วขณะ ทำไมถึงฟังดูเหมือนภาษาที่เรียนในวัยเด็ก เหมือนจะมีคำว่าบากะด้วยแต่โทนเสียงจะแตกต่างจากภาษาญี่ปุ่นในปัจจุบันเล็กน้อยแม้ว่าอินชิงเสวียนจะไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ แต่นางก็ดูอนิเมะอยู่บ่อยๆ จึงพอฟังเข้าใจคำศัพท์ง่ายๆ ได้ในขณะที่กำลังเหม่อลอย คนที่วิ่งเข้าหานางจู่ๆ ก็หายไป จากนั้นอินชิงเสวียนก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า และมีมือข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอินชิงเสวียนแลกทักษะการกระโดดจากมิติทันที และกระโดดขึ้นจากพื้น ทะยานสูงขึ้นไปหลายจั้งเย่จั้นและเย่จิ่งอวี้ตอบสนองเร็วกว่านาง พวกเขาได้ต่อสู้กับคนแปลกหน้าเหล่านั้นก่อนแล้วอินชิงเสวียนคว้ากิ่งไม้ข้างๆ ยืนอยู่ด้านบนเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ นางรู้สึกว่าเพลงยุทธ์ของคนเหล่านี้แปลก ร่างกายแวบเข้าแวบออก เมื่อจะปล่อยกระบวนท่าก็ทำมือประสานอิน ซึ่งคล้ายกับอนิเมะนินจาที่นางเคยดูมา หรือว่าพวกอัปลักษณ์เหล่านี้ เป็นชาติพันธ์ของชาวญี่ปุ่นจริงๆ?แคว้นที่นางเดินทางข้ามมิติมาเหมือนจะเป็นเรื่องสมมติ แม้ว่าจะมีต้าโจวในประวัติศาสตร์ แต่ก็แตกต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง คิดไม่ถึ
คุกหลวงชายตัวเตี้ยถูกมัดร่างไว้กับเสาหิน แล้วใช้แส้จุ่มน้ำเกลือโบยจนผิวหนังปริแตกไม่มีใครทนต่อแส้หนังนี้ได้ ชายร่างเตี้ยส่งภาษาด้วยความเจ็บปวด พลางผรุสวาทไม่หยุด อย่างไรก็ตาม เขาพูดได้เพียงภาษานกกา ไม่สามารถสื่อสารได้เลยเย่จิ่งอวี้มองเขาด้วยสีหน้ามืดมน ถามอย่างเย็นชา “เจ้าพูดภาษจงหยวนเราได้หรือไม่ ทำไมถึงต้องการลอบสังหารเสวียนเอ๋อร์”ชายตัวเตี้ยพูดพล่าม เหมือนจะได้ยินคำว่าบากะอยู่เรื่อยๆเย่จิ่งอวี้หันหน้าไปทางอินชิงเสวียน“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจหรือไม่”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ“หม่อมฉันรู้แค่ว่าเขากำลังด่าคน แต่ที่เหลือก็ไม่เข้าใจ”เย่จิ่งอวี้ถามอีกครั้ง “แล้วเสวียนเอ๋อร์รู้จักคนเหล่านี้หรือไม่”“ไม่รู้จักเพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบพวกเขา”อินชิงเสวียนรู้สึกแปลกใจกับความอาฆาตพยาบาทของพวกเขาคนเหล่านี้ตรงมาหาตัวเองด้วยเจตนาที่ชัดเจน แต่ตัวเองก็ไม่เคยไปล่วงเกินใคร น่าแปลกจริงๆสิบห้านาทีต่อมา ชายร่างเตี้ยถูกทุบตีจนผิวหนังถูกฉีกขาด เนื้อตัวชุ่มเลือด และหมดสติไปผู้คุมสาดน้ำเย็นใส่ และเริ่มโบยอีก เย่จิ่งอวี้ไม่ต้องการให้อินชิงเสวียนเห็นฉากที่โหดร้ายเหล่านี้ เขา
“หิ้วนางออกมา”อินชิงเสวียนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆผู้คุมลากลู่จิ้งเสียนออกไปทันที และโยนนางลงไปที่พื้นอย่างแรงเมื่อเห็นมือที่บวมเป็นซาลาเปาของนาง อินชิงเสวียนก็พูดอย่างเย็นชา “ลู่จิ้งเสียน ตอนที่เจ้าแทงลูกชายของข้า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะมีวันนี้”ลู่จิ้งเสียนเงยหน้าขึ้น มองอินชิงเสวียนด้วยตัวอันสั่นเทา นางอ้าปากพะงาบๆ ราวกับว่าต้องการพูด แต่จู่ๆ ก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากแต่แววตากลับไม่สำนึกผิด ยังคงจ้องมองอินชิงเสวียนด้วยสายตาอำมหิตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ“ดูท่าว่า เจ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหน”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย แล้วพูดเสียงราบเรียบ “ตอนที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ ข้าไม่กลัวเจ้า นับประสาอะไรกับตอนที่นางตายไปแล้ว เหตุผลที่ข้าไม่ไปหาเรื่องเจ้า ก็เพราะข้าไม่เห็นเจ้าในสายตาคนอย่างเจ้า ไม่ควรค่าให้ข้านึกถึงด้วยซ้ำ”ทันใดนั้นลู่จิ้งเสียนก็ลืมตาขึ้นอย่างเดือดดาล ส่งเสียงฟู่ราวกับงูก็ไม่ปานอินชิงเสวียนมองดูนางอย่างเหยียดหยาม“อยากด่า? แต่พูดไม่ได้? งั้นก็เก็บแรงไว้ แล้วฟังข้าพูด”“ตอนที่ข้ามาที่นี่ ข้าไม่เคยคิดจะทำให้คนอื่นลำบากเลย ถ้าเจ้ายอมอยู่อย่างสงบ ตอนนี้พ
“ไปที่จวนฝูอี้อ๋อง บอกว่าข้าเรียกตัวเขาเข้าวัง เพื่อหารือเรื่องสำคัญ”เมื่อกลับไปที่ตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนได้เรียกทหารองครักษ์เข้ามา และมอบป้ายตราคำสั่งให้เขาออกจากวังหลังจากประสบกับเหตุการณ์มาอย่างโชกโชน อินชิงเสวียนไม่สามารถไว้วางใจผู้อื่นได้เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดพวกญี่ปุ่นที่น่าขยะแขยงเหล่านั้นองครักษ์รับป้ายตราคำสั่ง แล้วเดินออกจากตำหนักจินหวูอย่างรวดเร็วเขาขี่ม้า ตรงไปยังจวนฝูอี้อ๋องชายที่หามหาบผู้หนึ่ง ได้ติดตามเขามาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกลตั้งแต่ออกจากวังชั่วพริบตา ก็มาถึงตรอกด้านหลังแล้วร่างที่หามหาบนั้นหายตัวแวบ เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ยืนอยู่ตรงหน้าม้าแล้วทหารองครักษ์คิดว่าเป็นราษฎรทั่วไป รีบหยุดม้าทันที“อยากตายรึ ทำไมไม่รีบถอย”คนผู้นั้นปรกบมือคารวะ แล้วก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ทันใดนั้นเขาก็กระโดดขึ้นมา คว้าหมับเข้าที่ลำคอของคนผู้นั้นทหารองครักษ์ตัวสูงใหญ่ถูกดึงลงจากหลังม้าทันที เขาล้มลงกับพื้นอย่างแรงทันใดนั้นก็หายไปอีกครั้ง ราวกับว่าจางหายไปจากอากาศทางด้านทิศตะวันตก ในบ้านแห่งหนึ่งนอกจากทหารองครักษ์ที่ถูกทุบสลบแล้ว ยังมีอีกสองคนที่อยู่ในเครื่อง
เป่าเล่อเอ่อร์ดีใจในทันที กล่าวขอบคุณซ้ำๆ“ขอบคุณพี่สาว ขอบคุณพี่สาว”สตรีคนนั้นพ่นควันใส่นาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ มีรถม้าอยู่ข้างหลัง เจ้าขึ้นไปนั่งเองนะ”เป่าเล่อเอ่อร์พยักหน้าอย่างตื่นเต้น กระโดดขึ้นไปบนรถม้าหญิงสาวหันกลับไปมองดูนาง ท่าทางคล่องแคล่วดี ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ของดีเช่นนี้ หากหลุดลอยไปคงจะน่าเสียดายแย่นางขยิบตา สองคนที่ดูเหมือนผู้คุ้มกันก็ชะลอความเร็วลงทันที ลงมาเดินข้างรถม้าที่เป่าเล่อเอ่อร์นั่ง...ณ เมืองหลวงการประชุมเช้าสิ้นสุดลงแล้ว จิ่งอวี้กำลังนั่งเกี้ยวพระที่นั่งมังกรไปยังวังหลังระหว่างทางเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้ามืดมนตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังครองราชย์ ไม่มีการสานความสัมพันธ์ทางการฑูตกับแคว้นอื่น ส่งผลให้ขาดข้อมูล ข้าราชบริพารมุ่งแต่เรื่องที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ไม่มีใครออกไปหาความรู้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนรู้ภาษาคนเตี้ยเหล่านั้นพอคิดว่ายังมีปลาหลายตัวที่ลอดอวนได้ เย่จิ่งอวี้รู้สึกไม่สบายใจเมื่อกลับมาถึงห้องหนังสือ เจวี๋ยอิ่งก็รออยู่ในห้องแล้ว“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้กางเสื้อคลุม และนั่งลงบนเก้าอี้มังกร“ลุ
ครึ่งชั่วยามต่อมา เย่จิ่งหลานก็มาถึงตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนกำลังจูงเสี่ยวหนานเฟิงพาฝึกเดินอยู่ เมื่อนางเห็นเย่จิ่งหลาน นางก็ส่งเสี่ยวหนานเฟิงให้กับอวิ๋นฉ่ายทันที“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”เย่จิ่งหลานเดินไปหาเสี่ยวหนานเฟิง บีบแก้มนุ่มนิ่มของเขาเบาๆ“ได้ยินทหารองครักษ์บอกว่าพระสนมส่งคนมาหาข้าก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่เห็นเขา ไม่อย่างนั้นคงมาที่นี่นานแล้ว”“ไม่เห็นหรือ”อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จนป่านนี้องครักษ์ยังไม่กลับมา หรืออาจมีบางอย่างเกิดขึ้นแต่พอนึกดูอีกที วรยุทธ์ของทหารองครักษ์ไม่ได้อ่อนแอ ไม่น่าจะเกิดเรื่องขึ้น บางทีอาจถูกฝ่าบาทรั้งตัวไว้ ให้ไปทำธุระอื่นไม่ว่าอย่างไร เย่จิ่งหลานมาถึงก็ดีแล้ว“ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย ข้าหาเจ้ามาเพื่อถามว่าเจ้ารู้ภาษาอื่น เช่นภาษาญี่ปุ่นหรือไม่”หลังจากได้ยินสิ่งที่อินชิงเสวียนพูด เย่จิ่งหลานก็ตกตะลึง ไม่มีทาง อินชิงเสวียนคงไม่สามารถคาดเดาความคิดของเขาได้กระมัง ระบบของนางยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือ“เอ่อ พอรู้นิดหน่อย เจ้าถามทำไม”จากนั้นเย่จิ่งอวี้ก็หยิบของว่างขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ“เรื่องเป็นอย่างนี้...”อินช
อินชิงเสวียนเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “เห็นแก่ที่เจ้ายังจริงใจ ข้าจะเชื่อใจเจ้าสักครั้ง ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการเตรียมพร้อมแล้ว ข้าจะให้เจ้าพบคนผู้นั้น ถามว่าเขามาเมืองหลวงด้วยจุดประสงค์ใด ข้าอาจพิจารณาปล่อยเจ้าออกจากวังก็ได้”หวังซุ่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว“พระสนมไม่ต้องห่วง ข้าน้อยรับรองว่าจะทำให้เขาสารภาพความจริงออกมา”“ดี เอาของมาให้เขา”เสี่ยวอานจื่อโยนหน้ากากและเสื้อผ้าให้หวังซุ่น แล้วพาเย่จิ่งหลานไปซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงเหล็กในห้องทรมานหลังจากนั้นไม่นาน คนตงหลิวก็ถูกพาตัวอกมาอีกเมื่อเห็นเครื่องมือทรมานต่างๆ ในห้องทรมาน ชาวตงหลิวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่นแม่ทัพโนจิริพูดถูก ชาวต้าโจวโหดเหี้ยมอำมหิต เมื่อเขานึกถึงแส้เหล็กหนาม เขาก็อดตัวสั่นไม่ได้หวังซุ่นเริ่มพูดคุยภาษาตงหลิวกับเขาทันที จิ่งหลานที่แอบฟังอยู่หลังกำแพงก็พร้อมกับเงี่ยหูฟัง“พวกเขาพูดอะไร”อินชิงเสวียนถามเบาๆ เย่จิ่งหลานแปล “หวังซุ่นบอกว่าตัวเองเป็นสายลับ ให้เขาเปิดเผยจุดประสงค์ที่มายังเมืองหลวง”“เขาจะเชื่อเรื่องไร้สาระนี้งั้นหรือ”อินชิงเสวียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเย่จิ่งหลานฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ
เมื่อเห็นใบหน้าขาวๆ ราวกับคนตาย ริมฝีปากหนาทาสีแดงเป็นวงใหญ่ องครักษ์ก็สะดุ้งโหยง ชักกระบี่ออกมาทันที“กล้าดีอย่างไรมาปลอมเป็นพระสนม จับตัวพวกมันไว้เร็ว”ที่ทางเข้าวังมีทหารอารักขาหลายคน ยังมีทหารองครักษ์ที่เฝ้าเวรด้วย จู่ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็ตะโกนเข้ามาชายร่างเตี้ยเห็นดังนั้นก็ตะโกนด่าว่าบากะๆ ไม่หยุดตาเฒ่าเหล่านั้นบอกอยู่ชัดๆ ว่าปลอมตัวเป็นสตรี ถือป้ายแขวนเอวเข้ามาก็ได้แล้ว ทำไมพอมาถึงหน้าประตูวังก็ถูกจับได้ทั้งหมดกระโดดลงจากรถม้าทันที และเข้าต่อสู้กับทหารองครักษ์ทักษะทางร่างกายเหล่านี้แปลก วิธีการต่อสู้ก็ประหลาด ไม่ถึงสิบกระบวนท่า ทหารรักษาพระองค์สองคนก็ถูกคมดาบของคนแคระองครักษ์สองหน่วยรีบเข้ามาเสริมกำลัง และล้อมคนเหล่านี้อย่างรวดเร็วผีแคระไม่เพียงไม่กลัวเท่านั้น แต่ยังระเบิดเสียงหัวเราะอีกด้วยหนึ่งในนั้นคว้าตัวองครักษ์มา ใช้ดาบผ่าท้อง ควักหัวใจออกมา แล้วอ้าปากกัด เมื่อประกอบกับการแต่งหน้าแปลกๆ ของพวกเขา เหล่าทหารต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังอย่างอดไม่ได้อีกคนหนึ่งตะโกนด่าว่าบากะ ดูเหมือนไม่พอใจกับสิ่งที่คนผู้นั้นกระทำ จึงพ่นควันออกมาเมื่อควันหายไปก็ไม่พบร่องรอยของคนเหล่าน
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี