สีหน้าท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนไปทันตา“แม่ทัพอิน ท่านอย่าเหิมเกริมนัก”อินจ้งหยิบป้ายทองอาญาสิทธิ์ออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้รับคำสั่งให้รักษาชายแดนและยึดดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืน สามารถประหารก่อนค่อยทูลรายงานได้ ทหาร มาจับตัวแม่ทัพเหล่านี้ ประหารทันทีไม่มีการยกโทษ”ทหารจากเมืองหลวงก็รุมจับคนเหล่านั้นทันที เหลือเพียงเหลียงอันไท่คนเดียวเหลียงอันไท่ตัวสั่นด้วยความกลัว ขาสั่นพั่บๆ โชคดีที่เมื่อครู่คัวเองเพิ่งบอกว่าจะส่งทหารไป ไม่เช่นนั้นคงมีจุดจบเช่นกันคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็รีบร้องขอความเมตตา แต่ก็ถูกลากลงจากกำแพงเมืองแล้วเสียงกรีดร้องระงม ครั้นแล้วแม่ทัพทั้งสี่ก็ถูกตัดศีรษะทันทีทหารทั้งหมดได้มาอยู่ภายใต้คำสั่งของอินจ้ง ไม่มีผู้ใดบ่นคำใดอีก กวนเซี่ยวจึงเข้าใจเจตนาของอินจ้ง เขาไม่ได้แสดงความเมตตา หากแต่ทำเพื่อให้ได้ใจของเหล่าทหารตอนนี้กองทัพมีใจไปทิศทางเดียวกัน มีขวัญกำลังใจเข้มแข็ง หากส่งทหารออกไปทำศึกอีกครั้ง จะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวอย่างแน่นอนหลังจากนั้นอินจ้งได้เลื่อนตำแหน่งจังเถี่ยและสวีเหลียง ให้ทั้งสองเป็นแม่ทัพรักษาเมืองชั่วคราว
อินชิงเสวียนเอามือไพล่หลังพูดว่า “สัญลักษณ์นี้เรียกว่าตัวเอ็กซ์ ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่ไม่ทราบค่า ซึ่งนี่ก็คือสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวในคณิตศาสตร์”“ตัวเอ็กซ์? ทำไมชื่อถึงดูแปลกๆ”บัณฑิตเฒ่าไม่เข้าใจฉางเฮ่อไหลก็เดินมาหาด้วย“ใช่ๆ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แล้วตัวแปรที่ไม่ทราบค่าคืออะไร”แล้วอินชิงเสวียนก็อธิบายให้ทุกคนฟังทันที พร้อมกับหาโจทย์ง่ายๆ สองสามข้อ มาแสดงวิธีทำและหาคำตอบโดยใช้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนอายุน้อย แต่ในด้านวิชาการ พวกเขาเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในแคว้น แค่มองแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว“ไม่นึกว่าโจทย์เลขจะแก้ด้วยวิธีนี้ได้ด้วย”“ใช่ ง่ายกว่าวิธีการคำนวณแบบตั้งเดิมมาก”“วิเศษจริงๆ คิดไม่ถึงว่าอาจารย์อินที่อายุยังน้อย จะมีความรู้มากมายเพียงนี้ ข้าเทียบไม่ได้เลย”เหล่าบัณฑิตเฒ่าต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน แล้วอินชิงเสวียนก็สอนเรื่องการหาค่าพื้นที่ของรูปลักษณะต่าง รวมถึงจำนวนบวกและลบ คณิตศาสตร์เชิงตรรกะ และสมการกำลังสองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้พื้นฐานตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมต้น แต่เสียดายที่บัณฑิตเฒ่าเหล่านี้ไม่สามารถรับความรู้มากมายได้
อินชิงเสวียนมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเอ่ยถามขึ้น “ความลับอะไร”ดวงตาเล็กตี่เท่าเม็ดถั่วเขียวของหวังซุ่นตวับวาบ พูดว่า “เกี่ยวกับอาซือหลาน”อินชิงเสวียนพูดอย่างจงใจ “เจ้าอยากจะบอกข้าว่า อาซือหลานยังไม่ตาย? ข่าวนี้ไม่มีราคาแล้ว”รูม่านตาของหวังซุ่นเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ยอมรับทว่าอินชิงเสวียนยังพบคำตอบจากดวงตาของเขาเหมือนเดิมนางอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจตัวซวยอย่างอาซือหลานยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย“พาตัวเขาไป”หวังซุ่นตะโกนทันที “นอกจากอาซือหลาน ข้ายังมีข่าวอื่นอีก”“ไปคุยกันในวังเถอะ”อินชิงเสวียนสะบัดแขนเสื้อ แล้วออกจากห้องครั้นแล้วทั้งหมดคุมตัวหวังซุ่น พากลับวังทันทีเมื่อมาถึงประตูวัง องครักษ์เงาถามว่า “กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ จะให้นำตัวคนผู้นี้ไปที่ใด”อินชิงเสวียนกล่าวว่า “ส่งไปที่คุกหลวงชั้นใน ต้องจับตาดูคนผู้นี้ให้ดีด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ”ต่อมาอินชิงเสวียนก็ตรงไปที่คุกชั้นใน เมื่อมาถึง หวังซุ่นก็ถูกล่ามโซ่ตรวนไว้แล้ว “เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”หวังซุ่นสงบลง ดวงตาเล็กตี่คู่นั้นยังคงมองไปยังใบหน้าของอินชิงเสวียนอย่างไม่วางตา“ถ้าข้าบอกไปแล้ว พระสนมจะปล่อยข้าไปได้หร
“เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าจะเขียนจดหมายด่วนแปดร้อยลี้เดี๋ยวนี้”“ต้องใช้เวลากี่วันถึงจะส่งจดหมายถึงด่านถงกู่เพคะ”อินชิงเสวียนถามทันควันแม้ว่านางจะไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับอินจ้งโดยตรง แต่มนุษย์โลกล้วนมีความรู้สึก อินจ้งและลูกชายคิดเผื่อนางอยู่เสมอ อินชิงเสวียนจะมองไม่เห็นได้อย่างไร และจะไม่รู้สึกซาบซึ้งใจได้อย่างไรเย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “อย่างเร็วที่สุดก็หกหรือเจ็ดวัน”“ยิ่งเร็วได้ยิ่งดี”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า แล้วเดินไปเขียนจดหมายลับที่โต๊ะ เมื่อปิดผนึกซองแล้วก็ยื่นให้ผู้ส่งสารหลังจากที่ผู้ส่งสารจากไป อินชิงเสวียนก็ยังคงไม่สบายใจเย่จิ่งอวี้จับมือของนาง ออกแรงบีบเล็กน้อย“ไม่ต้องห่วง บิดาเจ้าเป็นคนดีสวรรค์คุ้มครอง เคราะห์ร้ายต้องกลายเป็นดีได้แน่”อินชิงเสวียนถอนหายใจอย่างจนใจ“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”เย่จิ่งอวี้ไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของนาง ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อ“วันนี้ไปสำนักศึกษาหลวงเป็นอย่างไรบ้าง มีใครทำให้เจ้าลำบากใจบ้างหรือไม่”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มละไม“ไม่มีเพคะ แค่มีความรู้บางอย่างที่ต้องการให้ใต้เท้าทั้งหลายเชื่อ แต่คงต
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง! “อินชิงเสวียนโค้งคำนับกล่าวขอบคุณเขาเย่จั้นยิ้มอย่างอบอุ่น“กุ้ยเฟยไม่ต้องเกรงใจ ถ้าจะกล่าวขอบคุณ ควรเป็นข้าที่กล่าวขอบคุณมากกว่า หากไม่มีน้ำถังนั้น ข้าคงไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเพียงนี้”“ท่านอ๋องเป็นเสด็จอาแท้ๆ ของฝ่าบาท ข้าต้องช่วยอย่างเต็มที่อยู่แล้ว”นอกจากนี้อินชิงเสวียนยังเคยสัญญากับเขาไว้ ว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเขา นางจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่ ตอนนี้ก็นับว่าได้ตอบแทนที่เขาได้ดูแลตระกูลอินแล้วเย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้ายังขอบคุณกันต่อไป ฟ้าคงมืดพอดี หากไปนานไม่กลับเสียที ข้าจะเป็นห่วง”“ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้ว หม่อมหม่อมจะออกจากวังพร้อมกับท่านอ๋องเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนยอบกายคำนับเย่จิ่งอวี้ และเดินออกจากห้องหนังสือนำไปก่อน“รบกวนเสด็จอาแล้ว”เย่จิ่งอวี้พยักหน้ากับเย่จั้น“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ กระหม่อมจะส่งกุ้ยเฟยกลับวังอย่างปลอดภัยแน่นอน”เย่จั้นประกบมือคำนับ แล้วเดินตามอินชิงเสวียนไปขณะมองตามหลังทั้งสองคนไป เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยหวังว่าจดหมายฉบับนี้จะถูกส่งไปถึงโดยเร็วที่สุด ช่วยคุ้มครองอินจ้งสองพ่อล
พวกเขาทั้งสามพูดคุยเกี่ยวกับโรงเรียนสอนการต่อสู้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นอินชิงเสวียนก็กล่าวลาและจากไปกวนฮั่นหลินเดินออกส่งไปจนถึงนอกจวน มองตามแผ่นหลังของคนสองคนที่ค่อยๆ หายไป คิ้วสีเทาของเขาขมวดมุ่นแซ่จู หรือว่าเป็น...กวนฮั่นหลินขมวดคิ้วพร้อมกับเดินกลับห้อง เขาเขียนจดหมายทันที และส่งไปที่ยังซอยจู๋หลินในอวิ๋นโจวถ้าเป็นตระกูลจูจริงๆ ตัวเองก็ได้ทำบาปมหันต์แล้วบนถนนเทียน อินชิงเสวียนถอนหายใจมาด้วยความหวัง แต่กลับต้องผิดหวังกลับไปเย่จั้นกล่าวว่า “กุ้ยเฟยอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ รู้จักเพื่อนชาวยุทธ์มากมาย สามารถช่วยพระสนมค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้”อินชิงเสวียนมีสีหน้ายินดี“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านอ๋องแล้ว”เย่จั้นยิ้มอย่างสง่างาม และพูดว่า “พระสนมไม่ต้องเกรงใจ สิ่งที่เจ้าทุ่มเทเพื่อต้าโจว ทำให้ข้าเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ ข้าก็อยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนแทนต้าโจวด้วย”“แค่เป็นเพียงสิ่งที่สามารถทำได้เท่านั้น ตวามจริงแล้วไม่มีอะไรน่ายกย่องเลย”อินชิงเสวียนพูดอย่างสงบเยือกเย็นเดิมทีเย่จั้นมีความสงสัยเกี่ยวกับนาง แต่ตอนนี้เขาคิดตกแล้วบางทีเย่จิ่งอวี้ก็พูดถูก ไม่ว
อูเอินสีสีหน้าเศร้าหมองเจียงวูเคยประมือกับอินจ้งเมื่อหลายปีก่อน จึงรู้ถึงความสามารถของเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นทหารโอบล้อมเมืองลั่วสยา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก“มีอินจ้งเป็นแม่ทัพ เหล่าทหารมีขวัญกำลังใจสูง ไม่ทราบว่าผู้ใดจะเอาชนะเขาได้”อาซือหลานโบกพัดแล้วพูดอย่างใจเย็น “ราชาเผ่ามีแม่ทัพเฒ่าที่เป็นลูกน้องอยู่มากมาย จะต้องกลัวอินจ้งไปไย”ทันทีที่อาซือหลานเอ่ยปาก อูเอินก็เข้าใจความหมายของเขา เขาแค่อยากจะกำจัดแม่ทัพผู้จงรักภักดีเหล่านั้น“แม้ว่าแม่ทัพทั้งหลายจะสันทัดในการรบ แต่พวกเขาก็อายุมากแล้ว คนของน้องล้วนมีแต่แม่ทัพฝีมือล้ำเลิศ มิสู้ส่งพวกเขาออกไป เป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารด้วย”อาซือหลานส่ายศีรษะและพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขิงแก่ยังเผ็ด แม่ทัพเฒ่ามู่จัวรวมถึงแม่ทัพเฒ่าคนอื่นๆ เคยทำศึกกับอินจ้งหลายครั้ง ค่อนข้างคุ้นเคยกับกลศึก ให้พวกเขาไปจะเหมาะกว่า”จูอวี้เหยียนจ้องเขม็งอินจ้งที่อยู่ด้านล่าง โดยไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นของนางได้คนถ่อยกล้ามาถึงเจียงวู ความตายก็ใกล้มาเยือนเขาแล้วอินจ้งได้มาถึงด้านล่างกำแพงเมืองแล้ว ตะโกนขึ้นไปบนกำแพงเมืองด้วยเสียงอันดัง “ทหารเจียงวูฟ
อาซือหลานและจูอวี้เหยียนได้ถอยออกไปหลายจั้งแล้วบนหอคอยกำแพงเมืองมีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง ต่อมาก็มีเสียงร้องโอดโอยดังระงมอูเอินได้รับการคุ้มกันจากองครักษ์หลายคนพาถอยไปอยู่มุมหนึ่ง เศษดินบนผนังตกใส่ใบหน้าของเขาอาซือหลานได้เห็นฤทธิ์เดชของดินปืนมาก่อนแล้ว แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถทำร้ายยอดฝีมือเช่นเขาได้ แต่กลับมีอานุภาพมากเกินพอที่จะจัดการกับทหารธรรมดาๆ ได้ อูเอินตะโกนทันที “รีบถอนกำลังลงจากกำแพง”สีหน้าของอาซือหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย“ถอยไม่ได้ ใช้ธนูจัดการพวกเขา”อูเอินกล่าวอย่างร้อนรน “นักธนูหรือจะต่อกรกับดินปืนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีโล่ป้องกัน หากเราให้พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูในเวลานี้ ก็เท่ากับบอกให้พวกเขาไปมอบชีวิต”อาซือหลานพูดอย่างเย็นชา “หากล่าถอยในเวลานี้ ก็ต้องเสียเมืองนี้ไป ทหาร เตรียมธนู!”ชาวเจียงวูศรัทธาผู้ที่มีกำลังแข็งแกร่งมาโดยตลอด ในบรรดาบุตรชายหลายคนของราชาเผ่าคนเก่า อูเอินมีทักษะวรยุทธ์ต่ำที่สุด เกือบทุกคนต่างก็รู้ดีว่าท่านอ๋องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง ทุกคนให้ความเคารพนับถืออาซือหลานเหนือกว่าอูเอินมานานแล้ว จึงมีหลายคนที่หยิบธนูและลูกธนู