อูเอินสีสีหน้าเศร้าหมองเจียงวูเคยประมือกับอินจ้งเมื่อหลายปีก่อน จึงรู้ถึงความสามารถของเขาอยู่แล้ว เมื่อเห็นทหารโอบล้อมเมืองลั่วสยา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก“มีอินจ้งเป็นแม่ทัพ เหล่าทหารมีขวัญกำลังใจสูง ไม่ทราบว่าผู้ใดจะเอาชนะเขาได้”อาซือหลานโบกพัดแล้วพูดอย่างใจเย็น “ราชาเผ่ามีแม่ทัพเฒ่าที่เป็นลูกน้องอยู่มากมาย จะต้องกลัวอินจ้งไปไย”ทันทีที่อาซือหลานเอ่ยปาก อูเอินก็เข้าใจความหมายของเขา เขาแค่อยากจะกำจัดแม่ทัพผู้จงรักภักดีเหล่านั้น“แม้ว่าแม่ทัพทั้งหลายจะสันทัดในการรบ แต่พวกเขาก็อายุมากแล้ว คนของน้องล้วนมีแต่แม่ทัพฝีมือล้ำเลิศ มิสู้ส่งพวกเขาออกไป เป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารด้วย”อาซือหลานส่ายศีรษะและพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ขิงแก่ยังเผ็ด แม่ทัพเฒ่ามู่จัวรวมถึงแม่ทัพเฒ่าคนอื่นๆ เคยทำศึกกับอินจ้งหลายครั้ง ค่อนข้างคุ้นเคยกับกลศึก ให้พวกเขาไปจะเหมาะกว่า”จูอวี้เหยียนจ้องเขม็งอินจ้งที่อยู่ด้านล่าง โดยไม่สามารถปกปิดความตื่นเต้นของนางได้คนถ่อยกล้ามาถึงเจียงวู ความตายก็ใกล้มาเยือนเขาแล้วอินจ้งได้มาถึงด้านล่างกำแพงเมืองแล้ว ตะโกนขึ้นไปบนกำแพงเมืองด้วยเสียงอันดัง “ทหารเจียงวูฟ
อาซือหลานและจูอวี้เหยียนได้ถอยออกไปหลายจั้งแล้วบนหอคอยกำแพงเมืองมีเสียงระเบิดดังขึ้นหลายครั้ง ต่อมาก็มีเสียงร้องโอดโอยดังระงมอูเอินได้รับการคุ้มกันจากองครักษ์หลายคนพาถอยไปอยู่มุมหนึ่ง เศษดินบนผนังตกใส่ใบหน้าของเขาอาซือหลานได้เห็นฤทธิ์เดชของดินปืนมาก่อนแล้ว แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่สามารถทำร้ายยอดฝีมือเช่นเขาได้ แต่กลับมีอานุภาพมากเกินพอที่จะจัดการกับทหารธรรมดาๆ ได้ อูเอินตะโกนทันที “รีบถอนกำลังลงจากกำแพง”สีหน้าของอาซือหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย“ถอยไม่ได้ ใช้ธนูจัดการพวกเขา”อูเอินกล่าวอย่างร้อนรน “นักธนูหรือจะต่อกรกับดินปืนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขามีโล่ป้องกัน หากเราให้พวกเขาเผชิญหน้ากับศัตรูในเวลานี้ ก็เท่ากับบอกให้พวกเขาไปมอบชีวิต”อาซือหลานพูดอย่างเย็นชา “หากล่าถอยในเวลานี้ ก็ต้องเสียเมืองนี้ไป ทหาร เตรียมธนู!”ชาวเจียงวูศรัทธาผู้ที่มีกำลังแข็งแกร่งมาโดยตลอด ในบรรดาบุตรชายหลายคนของราชาเผ่าคนเก่า อูเอินมีทักษะวรยุทธ์ต่ำที่สุด เกือบทุกคนต่างก็รู้ดีว่าท่านอ๋องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง ทุกคนให้ความเคารพนับถืออาซือหลานเหนือกว่าอูเอินมานานแล้ว จึงมีหลายคนที่หยิบธนูและลูกธนู
ไม่ใช่ว่าโหวเหนือไม่รู้วิธีการทำศึก เพียงแต่ว่าเขาเห็นแก่ตัวเกินไป จึงนำไปสู่ชะตากรรมก่อนหน้านี้ถ้าเขาลงมือเด็ดขาดจริงๆ แม่ทัพเหล่านั้นจะทำอะไรได้อินจ้งติดต่อกับโหวเหนือมาหลายครั้ง รู้จักนิสัยของเขาอยู่พอสมควร เมื่อเห็นเขาพูดเช่นนี้ ก็ไม่ได้เปิดโปงออกไป“ตอนนี้คนขี้ขลาดเหล่านั้นตายไปแล้ว โหวเหนือก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป หวังว่าเจ้าและข้าจะเกลียดชังศัตรูคนเดียวกัน ร่วมมือกันทำให้เจียงวูสงบลง”“ย่อมเป็นเช่นนั้น มีแม่ทัพอินอยู่ ข้าก็รู้สึกสบายใจมาก”โหวเหนือเริ่มวางแผนในใจเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับความดีความชอบที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไรเมืองนี้เขาก็สมควรได้รับความดีความชอบบ้าง“ข้าจะออกไปตรวจนับกองทหารแล้ว พวกเราพักอีกสักสองสามวัน แล้วค่อยไปสู้กับเจียงวู”ขณะมองตามแผ่นหลังของโหวเหนือ นัยน์ตาของอินจ้งก็ฉายแววหยามเหยียดถ้าใช้ดินปืนเป็น ไหนเลยจะยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้ ตัวโหวเหนือเองก็อยากจะรอใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ยเพียงแต่จะทำอย่างไรต่อไปถ้าขืนบุ่มบ่ามเข้าไปในเจียงวู อินสิงอวิ๋นจะได้รับผลกระทบหรือไม่อินจ้งกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของลูกชายคนโตของเขามากแต่หากไม่โจมตี พวกเขาก็จ
ณ วังหลวงอินชิงเสวียนกล่อมเสี่ยวหนานเฟิงจนนอนหลับไป แล้วให้ยายหลี่พาเขาไปนอนที่ห้องโถงด้านข้างขณะที่กำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอน เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาจากประตูอินชิงเสวียนรีบดึงเสื้อลงทันทีถามด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ดึกป่านนี้แล้ว ทำไมฝ่าบาทถึงมาที่นี่อีกเพคะ”เย่จิ่งอวี้เดินช้าๆ ไปที่เตียง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไม เจ้าโกรธหรือ”เมื่อคืนเย่จิ่งอวี้มีงานต้องทำ เขาจึงนอนในห้องหนังสือ หลังจากวันนี้สะสางงานเสร็จ เขาก็รีบขึ้นเกี้ยวมาหาภรรยาสุดที่รักที่ตำหนักจินหวู อินชิงเสวียนพูดอย่างงอนๆ “ฝ่าบาทเห็นหม่อมฉันเป็นคนขี้ใจน้อยหรือเพคะ ในฐานะกษัตริย์ควรให้ความสำคัญกับกิจการบ้านเมืองเป็นสำคัญ จะเล่นสนุกทุกวันได้อย่างไร”“ข้าเล่นสนุกทุกวันที่ไหน ข้ากับเสวียนเอ๋อร์เล่นรักกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง”เมื่อมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงสีหน้าน้อยใจ อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้“ในฐานะกษัตริย์ยิ่งไม่ควรหมกมุ่นเรื่องราคะ เพื่อจะได้มีจิตใจผ่องใสอยู่เสมอ”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไป รั้งร่างอันงดงามขึ้นมานั่งบนตัก หลุบตาลงแล้วถามว่า “หรือว่าเสวียนเอ๋อร์ติดเชื้อจากเหล่าบัณฑิ
ก่อนที่อินชิงเสวียนจะได้พูด ต่งจื่ออวี๋ก็รีบอธิบายอีกว่า “อาจารย์ของข้ารู้แล้วว่าข้ามอบกระพรวนทองให้ผู้อาวุโส หลังจากใช้เสร็จแล้ว ข้าจะมอบคืนให้ผู้อาวุโสอีกครั้ง”ในความเห็นของอินชิงเสวียน สิ่งที่ต่งจื่ออวี๋พูดนั้นเป็นเพียงคำพูดที่สุภาพเท่านั้น กระพรวนทองนั้นมีค่ามาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอาคมที่สลักไว้ จึงต้องเป็นสิ่งล้ำค่า อาจารย์ของเขาจึงให้เด็กโง่คนนี้กลับมาขอคืนเมื่อคิดว่าเย่จิ่งอวี้เก็บไว้อยู่นานแล้วก็ยังค้นคว้าอะไรไม่ได้ เก็บไว้ก็ไม่มีปะโยชน์ กล่าวว่า “ของสิ่งนั้นอยู่กับฝ่าบาท เมื่อข้ากลับวังแล้วจะนำมาคืนให้เข้า”ต่งจื่ออวี๋รู้สึกซาบซึ้ง ยกมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณผู้อาวุโส หลังจากใช้เสร็จแล้ว ข้าจะส่งคืนกลับวังให้ท่าน”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ และพูดว่า “ไม่จำเป็น เดิมทีก็เป็นทรัพย์สินของสำนักของเจ้า สมควรกลับไปหาเจ้าของเดิม”ต่งจื่ออวี๋รีบโบกมือพัลวัน “ผู้อาวุโส ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าต้องการยืมสิ่งนี้จริงๆ ให้แล้วไม่มีความตั้งใจที่จะเอาคืน ผู้อาวุโสก็รู้ดีว่ากระพรวนทองนี้เดิมทีมีสามพวง ต่อมาพวงหนึ่งขาดหายไป และอีกสองพวงที่เหลือจึงไม่มีประโยชน์ ตอนนี้ท่านอาจารย์ได้พบพวงกระพร
ซูหมิงหลานรีบพูดทันควัน “อย่าไปฟังจื่อลั่ว แค่ได้ลองกินของอร่อยๆ ก็พอแล้ว ประเดี๋ยวถ้าคนรู้เข้า จะตกเป็นขี้ปากเขาอีก”จากนั้นก็พูดกับอินจื่อลั่ว “พี่สาวของเจ้าอยู่ในวังก็ลำบากอยู่แล้ว จะขอทุกสิ่งไม่ได้”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ฝ่าบาทประทานให้ ไม่มีใครกล้านินทา”“ถึงกระนั้นก็ไม่ดี ในวังมีหูตามากมาย ตอนนี้พระสนมกำลังได้รับพระเมตตาอันมากล้น ไม่รู้ว่ามีดวงตากำลังเฝ้าดูอยู่กี่คู่”ซูหมิงหลานพูดด้วยท่าทางกังวล“ท่านแม่รองไม่ต้องห่วง ข้ารู้กาละเทศะเจ้าค่ะ”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็ถามว่า “ที่บ้านยังมีเงินอยู่หรือไม่”ซูหมิงหลานพูดโดยเร็ว “ยังมีอยู่ พ่อของเจ้าทิ้งเงินทั้งหมดไว้ที่บ้าน ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วย”อินชิงเสวียนพยักหน้าตอบว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าไม่อาจออกนอกวังได้นานนัก ต้องขอกลับก่อนแล้ว”ซูหมิงหลานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว“จะไม่อยู่กินข้าวก่อนหรือ”อินชิงเสวียนตบมือของนางเบาๆ“ข้าออกมาพักใหญ่แล้ว วันนี้ไม่กินดีกว่า”อินจื่อลั่วคว้าเสื้อของอินชิงเสวียนอย่างอาลัย“เมื่อไหร่ท่านพี่จะก
อินปู้อวี่หยุดชะงัก ถามอย่างไม่พอใจ “หายไปได้อย่างไร”ทหารคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ เมื่อครู่เพิ่งตรวจนับดินปืนในโกดัง ก็พบว่ามีห่อหนึ่งหายไป แต่...ในคลังดินปืนมีคนเฝ้าอยู่ตลอด”อินปู้อวี่รีบไปหาพี่ใหญ่ จึงพูดอย่างไม่อดทน “ในเมื่อมีคนเฝ้าตลอด เช่นนั้นก็ไม่น่าจะหายไปได้ หรือว่าพวกเจ้าตรวจนับผิดพลาด”เมื่อเห็นสีหน้าหน่ายๆ ของเขา ทหารจึงไม่กล้าพูดอะไรมากหากดินปืนหายไปจริงๆ ตัวเองก็หนีไม่พ้นความผิดนี้ เพราะถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็มีค่ามาก การเดินทางมาครานี้ไม่ได้นำมามากนัก“บางทีอาจจะตรวจนับผิดพลาดก็ได้ขอรับ ข้าน้อยจะกลับไปนับใหม่”อินปู้อวี่ขานรับในลำคอ แล้วเปิดประตูห้องของอินสิงอวิ๋นอินสิงอวิ๋นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว แต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาได้เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาดูแปลกๆ ไปหน่อย ดวงตาจ้องเขม็งที่โต๊ะอยู่ตลอด ราวกับว่ามีสิ่งที่น่าสนใจอยู่บนนั้นอินปู้อวี่เดินเข้ามา ถามเบาๆ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป”นานหลายอึดใจ อินสิงอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นในที่สุดเขาตอบอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไร”“รู้สึกไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า”อินปู้
อินปู้อวี่บังเอิญออกมาเข้าห้องน้ำพอดี ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาดำไต่ทะยานขึ้นไปบนกำแพงเรือน จึงไล่ตามออกไปทันทีร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก และหายไปท่ามกลางแสงจันทร์โดยใช้เวลาเพียงไม่นานอินปู้อวี่เห็นคนผู้นั้นหายไป จึงอดตกใจเสียมิได้ใครกันแน่ที่สามารถเข้าออกจากจวนแม่ทัพได้ตามต้องการเขาหาที่ปลดทุกข์ก่อนสักครู่ แล้วรีบตามมาจนถึงกำแพงเมือง“เจ้าเคยเห็นคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่”ทหารหลายนายที่เฝ้ารักษาเมืองรีบพูดว่า “เรียนแม่ทัพน้อย ไม่เห็นใครเลยขอรับ”อินปู้อวี่พยักหน้า“เฝ้าดูให้ดี ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าออกเมืองได้ตามต้องการ”หลังจากพูดจบเขาก็รีบกลับจวน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกล่อเสือออกจากถ้ำในเวลานี้ ร่างหนึ่งนั้นได้มาถึงด้านล่างกำแพงเมือง เขาดันก้อนหินก้อนใหญ่ออกไป ล้วงอะไรบางอย่างออกจากอกเสื้อ และวางไว้ในช่องว่างนอกกำแพงเมือง มีมือคู่หนึ่งคว้าจับอะไรบางอย่าง แล้วก็ใช้วรยุทธ์พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วการเคลื่อนไหวนี้รวดเร็วปานอสุนีบาต ทหารรักษาเมืองไม่สามารถสังเกตเห็น แล้วคนที่อยู่อีกฝั่งในเมืองก็ใช้วิชาตัวเบาเหลาะกลับไปที่จวนแม่ทัพอินปู้อวี่ยืนอยู่กลางลาน เมื่อเห็นใครบางคนเห
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี