อินปู้อวี่หยุดชะงัก ถามอย่างไม่พอใจ “หายไปได้อย่างไร”ทหารคุกเข่าลงกับพื้นแล้วพูดว่า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ เมื่อครู่เพิ่งตรวจนับดินปืนในโกดัง ก็พบว่ามีห่อหนึ่งหายไป แต่...ในคลังดินปืนมีคนเฝ้าอยู่ตลอด”อินปู้อวี่รีบไปหาพี่ใหญ่ จึงพูดอย่างไม่อดทน “ในเมื่อมีคนเฝ้าตลอด เช่นนั้นก็ไม่น่าจะหายไปได้ หรือว่าพวกเจ้าตรวจนับผิดพลาด”เมื่อเห็นสีหน้าหน่ายๆ ของเขา ทหารจึงไม่กล้าพูดอะไรมากหากดินปืนหายไปจริงๆ ตัวเองก็หนีไม่พ้นความผิดนี้ เพราะถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็มีค่ามาก การเดินทางมาครานี้ไม่ได้นำมามากนัก“บางทีอาจจะตรวจนับผิดพลาดก็ได้ขอรับ ข้าน้อยจะกลับไปนับใหม่”อินปู้อวี่ขานรับในลำคอ แล้วเปิดประตูห้องของอินสิงอวิ๋นอินสิงอวิ๋นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว แต่งกายด้วยชุดธรรมดา แต่ก็ไม่สามารถซ่อนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาได้เพียงแต่ว่าสีหน้าของเขาดูแปลกๆ ไปหน่อย ดวงตาจ้องเขม็งที่โต๊ะอยู่ตลอด ราวกับว่ามีสิ่งที่น่าสนใจอยู่บนนั้นอินปู้อวี่เดินเข้ามา ถามเบาๆ “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป”นานหลายอึดใจ อินสิงอวิ๋นก็เงยหน้าขึ้นในที่สุดเขาตอบอย่างเย็นชา “ไม่มีอะไร”“รู้สึกไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า”อินปู้
อินปู้อวี่บังเอิญออกมาเข้าห้องน้ำพอดี ทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาดำไต่ทะยานขึ้นไปบนกำแพงเรือน จึงไล่ตามออกไปทันทีร่างเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก และหายไปท่ามกลางแสงจันทร์โดยใช้เวลาเพียงไม่นานอินปู้อวี่เห็นคนผู้นั้นหายไป จึงอดตกใจเสียมิได้ใครกันแน่ที่สามารถเข้าออกจากจวนแม่ทัพได้ตามต้องการเขาหาที่ปลดทุกข์ก่อนสักครู่ แล้วรีบตามมาจนถึงกำแพงเมือง“เจ้าเคยเห็นคนที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่”ทหารหลายนายที่เฝ้ารักษาเมืองรีบพูดว่า “เรียนแม่ทัพน้อย ไม่เห็นใครเลยขอรับ”อินปู้อวี่พยักหน้า“เฝ้าดูให้ดี ห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าออกเมืองได้ตามต้องการ”หลังจากพูดจบเขาก็รีบกลับจวน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกล่อเสือออกจากถ้ำในเวลานี้ ร่างหนึ่งนั้นได้มาถึงด้านล่างกำแพงเมือง เขาดันก้อนหินก้อนใหญ่ออกไป ล้วงอะไรบางอย่างออกจากอกเสื้อ และวางไว้ในช่องว่างนอกกำแพงเมือง มีมือคู่หนึ่งคว้าจับอะไรบางอย่าง แล้วก็ใช้วรยุทธ์พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วการเคลื่อนไหวนี้รวดเร็วปานอสุนีบาต ทหารรักษาเมืองไม่สามารถสังเกตเห็น แล้วคนที่อยู่อีกฝั่งในเมืองก็ใช้วิชาตัวเบาเหลาะกลับไปที่จวนแม่ทัพอินปู้อวี่ยืนอยู่กลางลาน เมื่อเห็นใครบางคนเห
“แล้วพบกันใหม่”อินชิงเสวียนประกบมือคารวะ มองส่งต่งจื่ออวี๋จนสุดสายตา“คราวนี้ดูเหมือนเขาจะรีบร้อน หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นกับสำนักของเขา”เย่จิ่งอวี้รวบเอวนางเข้ามากอด“ชาวยุทธ์ย่อมมีกฎยุทธภพ เสวียนเอ๋อร์จึงไม่ต้องเป็นห่วง”อินชิงเสวียนยักไหล่“หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกแปลกใจ เช่นเดียวกับลิ่นเซียว ที่จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็ถามว่า “โอ้ จริงสิ มีข่าวจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์บ้างหรือไม่”เย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ยังไม่มรีชชี สำนักที่ถือสันโดษเหล่านี้หาที่อยู่ไม่ได้ง่ายเพียงนั้น”ครั้นแล้วอินชิงเสวียนก็นึกถึงคำพูดของต่งจื่ออวี๋ทันทีจากนั้นก็พูดว่า “หม่อมฉันได้ยินจากต่งจื่ออวี๋พูดว่า สำนักกระบี่สังหารของพวกเขากำลังตามหาคนที่แย่งพิณไป เพื่อทวงคืนกระพรวนทอง หากตามหาสำนักกระบี่สังหารพบ แล้วค่อยตามหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ยากแล้ว”เมื่อได้ยินดังนี้เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ก็เป็นประกาย“เสวียนเอ๋อร์พูดถูก เนื่องจากสำนักกระบี่สังหารตั้งอยู่ในภูเขาหิมะ จึงหาได้ไม่ยาก ข้าจะส่งคนไปหาสำนักกระบี่สังหารเดี๋ยวนี้ แล้วสอบถามที่อยู่ของหอแห่งเสียงศั
อาซือหลานเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเสด็จพี่สามารถนำตัวอินสิงอวิ๋นกลับมาได้ ข้าก็ยินดีอยู่แล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเสด็จพี่มีความสามารถนั้นหรือไม่”อูเอินเงียบอยู่นานและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะนำทัพไปโจมตีเมืองเอง”เขาเดินออกจากกระโจมทหารอย่างรวดเร็ว และเมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นเป่าเล่อเอ่อร์ยืนอยู่ที่ประตูหน้ากระโจมพักของเขา“เสด็จพี่”เมื่อเห็นดวงตาที่แดงก่ำของน้องสาว หัวใจของอูเอินก็อ่อนยวบลง“เหตุใดเจ้าถึงตื่นเช้านักล่ะ”“อามู่เอ่อร์ไปไหนเพคะ เสด็จพี่อาซือหลานบอกว่าไปทำงาน จริงหรือไม่เพคะ”เมื่อมองดูดวงตาที่ไร้เดียงสาของน้องสาว หัวใจของอูเอินก็เจ็บปวด เขาพยักหน้าอย่างแรง“จริง พี่จะพาอามู่เอ่อร์กลับมาหาเจ้าเอง”ทันใดนั้นใบหน้าของเป่าเล่อเอ๋อร์ก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ“ขอบคุณเสด็จพี่”อูเอินยื่นมือออกมาลูบหัวนาง“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก กลับไปได้แล้ว”เป่าเล่อเอ่อร์เชื่อฟังคำพูดของอูเอินมาโดยตลอด นางเดินตามสาวใช้กลับไปทันทีหลังจากที่นางจากไป อูเอินได้เรียกหามู่จัวและแม่ทัพอาวุโสอีกหลายคน“บัดนี้อินจ้งตายแล้ว ถึงเวลาที่เราจะยึดเมือง คืนนี้ส่งทหารไปยึดเม
อินปู้อวี่ตกตะลึง“เกิดอะไรขึ้น พวกเขามาจากไหน”ทหารพูดด้วยความตื่นตระหนก “ดูเหมือนว่ามีการขุดหลุมไว้ใต้กำแพงเมือง”อินปู้อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา แล้วพูดด้วยความโกรธ “ตามข้าไปฆ่ามัน”เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วเหาะลงจากกำแพงเมือง คมกระบี่เป็นประกายวาวกล้า ตวัดฟาดฟันใส่ทหารเจียงวูอย่างรวดเร็วในเวลานี้ ทั้งเมืองอยู่ในความโกลาหล ประตูเมืองก็ถูกเปิดโดยทหารเจียงวูแล้ว เมื่อมู่จัวและแม่ทัพผู้อื่นเห็นดังนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง“ประตูเมืองเปิดแล้ว จุดควันหมาป่าทันที ตามข้าเข้าไปในเมือง ยึดเมืองลั่วสยากลับคืน”จากระยะไกล อาซือหลานและจูอวี้เหยียนยืนทอดสายตามองออกไป เห็นควันลอยสูงขึ้น ต่างอดไม่ได้ที่จะมีความสุขตราบใดที่เมืองลั่วสยาพ่ายแพ้ ต้าโจวก็จะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้หากจับตัวอินปู้อวี่ได้ ก็สมารถให้อินชิงเสวียนมาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันได้เมื่อนึกถึงใบหน้างามผุดผาดดวงนั้น อาซือหลานก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายไม่ไกลนัก อูเอินสวมชุดเกราะคุมทัพอยู่นอกเมืองหน่วยอารักขาที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้น“ราชาเผ่า พวกเราเข้าไปในเมืองได้แล้วกระมัง”“แม่ทัพมู่จัวเข้าไปแล้ว”
โหวเหนือถอนหายใจแล้วพูดว่า “สาวน้อยภายในเข้มแข็งแต่ภายนอกอ่อนโยน แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนแอ ในเมื่อเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้ว จึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าหลงในอำนาจ หากไม่ใช่เพราะข้าบีบให้นางแต่งงานกับอันผิงอ๋อง ก็คงไม่เกิดเหตุยุ่งยากเช่นนี้”อินจ้งพูดปลอบใจว่า “ทุกเรื่องต่างมีข้อยกเว้น อีกทั้งคุณหนูก็เป็นคนสนิทเพียงคนเดียวของท่านโหว เพื่อเห็นแก่ท่านโหว ไม่แน่ว่าอาจจะยินยอมสึก”เมื่อได้ฟังคำพูดของอินจ้ง โหวเหนือจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง“แม่ทัพอินพูดมีเหตุผลทีเดียว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ต้องลองดูก่อนจึงจะรู้”อินจ้งพยักหน้า และสั่งเสียงเข้มว่า “ปิดช่องว่างของกำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ หากผู้ใดกล้าเข้าใกล้ประตูเมือง จะถูกยิงทันทีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”ข่าวที่อินจ้งยังไม่ตายถูกกระจายถึงหูชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าอินจ้งยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจ และเมื่อได้ข่าวว่าราชาเผ่าเจียงวูถูกจับตัว ก็ตีฆ้องตีกลองด้วยความปีติยินดีมากยิ่งขึ้น เฉลิมฉลองไปตามถนนเป็นเวลากลางคืนที่คึกคักเสียยิ่งกว่าเวลากลางวันนอกเมืองอาซือหลานและจ
หลายวันแล้วที่ไม่ได้รับข่าวจากเจียงวู อินชิงเสวียนจึงร้อนใจอย่างอดไม่ได้หากว่าอาซือหลานตายแล้ว นางก็คงไม่ต้องกังวลใจมากขนาดนี้ ตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าวายร้ายคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ จิตใจของนางจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้ว่าอินจ้งจะมีประสบการณ์การใช้กองกำลังทหารที่โชกโชน แต่ทว่าแผนการในใจอันแยบยลกลับไม่มากเท่าอาซือหลาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอินสิงอวิ๋นที่ถูกพิษกู่เล่นงานอยู่ช่วงเช้าไปทำการสอนที่สำนักศึกษาหลวง อย่างน้อยก็พอเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง แต่ทันทีที่กลับถึงตำหนัก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านเมื่อเห็นพระสนมจิตใจว้าวุ่น อวิ๋นฉ่ายจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “พระสนม พระองค์เป็นห่วงนายท่านและคุณชายรองใช่ไหมเพคะ”อินชิงเสวียนตอบรับและพูดว่า “ถูกต้อง ท่านพ่อและพี่รองของข้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ อีกทั้งคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ข้ากลัวว่าพวกเขาจะรับมือไม่ไหว”อวิ๋นฉ่ายยิ้มและพูดอย่างไม่ถือสาว่า “พระสนมอย่าได้เป็นกังวลเลยเพคะ นายท่านเริ่มนำกองทัพตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี ผ่านสงครามน้อยใหญ่มานับร้อยครั้ง และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต่อสู้กับเจียงวู จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้ที่หายตัวไปมีแต่คนชรางั้นหรือ?”เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยความเคารพ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มีรายงานว่ามีหกเจ็ดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบว่า “อาจเดินพลัดหลงไป ติดตามดูแนวโน้มของฝ่ายราชการ และหาข้อสรุปที่แน่นอน”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็อ่านสาส์นกราบทูลต่อ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักตอนนี้ปัญหาเรื่องอาหารได้แก้ไขไปมากกว่าครึ่งแล้ว การถ่ายเทน้ำก็บรรลุผลเบื้องต้นแล้วเช่นกัน ภัยตั๊กแตนและโรคระบาดก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้เหลือเพียงแค่ในเจียงวูและเมืองซุ่ยหานบาดแผลของเย่จั้นก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับเมืองซุ่ยหานได้ ขอเพียงอินจ้งสามารถระงับความวุ่นวายทางนั้นได้อย่างราบรื่น ต้าโจวก็จะสงบสุขผู้ส่งสารออกจากเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวันแล้ว อินจ้งน่าจะได้รับข่าวที่อินสิงอวิ๋นได้รับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถระมัดระวังและป้องกันไม่ให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นได้เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ในใจ แต่มือยังคงไม่หยุดทำงาน เขาอ่านสาส์นกราบทูลทีละฉบับจนหมด เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็จวน