หลายวันแล้วที่ไม่ได้รับข่าวจากเจียงวู อินชิงเสวียนจึงร้อนใจอย่างอดไม่ได้หากว่าอาซือหลานตายแล้ว นางก็คงไม่ต้องกังวลใจมากขนาดนี้ ตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าวายร้ายคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ จิตใจของนางจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้ว่าอินจ้งจะมีประสบการณ์การใช้กองกำลังทหารที่โชกโชน แต่ทว่าแผนการในใจอันแยบยลกลับไม่มากเท่าอาซือหลาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอินสิงอวิ๋นที่ถูกพิษกู่เล่นงานอยู่ช่วงเช้าไปทำการสอนที่สำนักศึกษาหลวง อย่างน้อยก็พอเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง แต่ทันทีที่กลับถึงตำหนัก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านเมื่อเห็นพระสนมจิตใจว้าวุ่น อวิ๋นฉ่ายจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “พระสนม พระองค์เป็นห่วงนายท่านและคุณชายรองใช่ไหมเพคะ”อินชิงเสวียนตอบรับและพูดว่า “ถูกต้อง ท่านพ่อและพี่รองของข้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ อีกทั้งคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ข้ากลัวว่าพวกเขาจะรับมือไม่ไหว”อวิ๋นฉ่ายยิ้มและพูดอย่างไม่ถือสาว่า “พระสนมอย่าได้เป็นกังวลเลยเพคะ นายท่านเริ่มนำกองทัพตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี ผ่านสงครามน้อยใหญ่มานับร้อยครั้ง และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต่อสู้กับเจียงวู จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้ที่หายตัวไปมีแต่คนชรางั้นหรือ?”เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยความเคารพ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มีรายงานว่ามีหกเจ็ดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบว่า “อาจเดินพลัดหลงไป ติดตามดูแนวโน้มของฝ่ายราชการ และหาข้อสรุปที่แน่นอน”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็อ่านสาส์นกราบทูลต่อ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักตอนนี้ปัญหาเรื่องอาหารได้แก้ไขไปมากกว่าครึ่งแล้ว การถ่ายเทน้ำก็บรรลุผลเบื้องต้นแล้วเช่นกัน ภัยตั๊กแตนและโรคระบาดก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้เหลือเพียงแค่ในเจียงวูและเมืองซุ่ยหานบาดแผลของเย่จั้นก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับเมืองซุ่ยหานได้ ขอเพียงอินจ้งสามารถระงับความวุ่นวายทางนั้นได้อย่างราบรื่น ต้าโจวก็จะสงบสุขผู้ส่งสารออกจากเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวันแล้ว อินจ้งน่าจะได้รับข่าวที่อินสิงอวิ๋นได้รับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถระมัดระวังและป้องกันไม่ให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นได้เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ในใจ แต่มือยังคงไม่หยุดทำงาน เขาอ่านสาส์นกราบทูลทีละฉบับจนหมด เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็จวน
หลังจากนอนหลับสะลึมสะลือไม่นานนัก อินชิงเสวียนก็ถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกขึ้นมานางกอดผ้าห่มไว้ไม่อยากตื่น แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเสนอเรื่องการเรียน จึงไม่อาจถอดใจกลางคันก่อนใครได้จึงทำได้เพียงกัดฟันลุกขึ้นมา เข้าไปแช่น้ำพุวิญญาณในมิติ ตอนที่ออกมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าเย่จิ่งอวี้ก็อดนอนมาทั้งคืน เมื่อครู่เข้าประชุมในราชสำนักคงง่วงนอนแย่ คืนนี้จะเตรียมน้ำพุวิญญาณให้เขาหนึ่งถัง เพื่อขจัดความเหนื่อยล้ามื้อเช้ากินอะไรง่ายๆ จากนั้นก็ออกจากวังพร้อมหลี่ชีและฉินเทียนเมื่อมาถึงสำนักศึกษาหลวง ก็ได้ยินใต้เท้าทั้งหลายกำลังปรึกษาหารือกัน บอกว่าช่วงนี้มีคนแก่หายไปจากเมืองหลวงหลายคนอินชิงเสวียนจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา“เหตุใดคนแก่จึงหายตัวไปได้?”ใต้เท้าโจวส่ายหน้า ลูบเคราแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนมาที่นี่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน คิดว่าเป็นเรื่องจริง ได้ยินว่ามีคนแจ้งทางการแล้ว”อินชิงเสวียนตกใจมาก หรือว่าเป็นฝีมือของชาวเจียงวูอีกแล้ว ในเมื่อจูอวี้เหยียนชำนาญในการใช้พิษกู่ ไม่แน่ว่านางอาจจะจับคนไปทำการทดลองแต่ทว่าเพียงแค่การจับคน ไม่จำเป็นต้องมาจั
อินชิงเสวียนพยักหน้า และออกจากโรงน้ำชาพร้อมเย่จั้นเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบเด็กคนหนึ่งในชุดผ้าแพรเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู และเอามือไพล่หลังเมื่อเห็นหน้าตาของเขาชัดเจนแล้ว อินชิงเสวียนจึงคิดในใจว่า สงสัยว่าผู้คนในราชวงศ์ต่างชื่นชอบมาฟังเรื่องซุบซิบที่นี่เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนี้ ก็คือฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานเมื่อเห็นอินชิงเสวียนและเย่จั้น เย่จิ่งหลานก็ตกใจเล็กน้อยรีบน้อมตัวลงและพูดว่า “สวัสดีเสด็จอาสิบสาม สวัสดีเสด็จพี่สะใภ้”ปากเล็กๆ พูดจาค่อนข้างหวานเลยทีเดียวเย่จั้นมองเขาแล้วถามว่า “มาดื่มชางั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้อากาศดีทีเดียว จึงออกมาเดินเล่น เสด็จอาสิบสามและเสด็จพี่สะใภ้จะกลับแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ความจริงจะไปเยี่ยมท่าน ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้ว ข้าจะอยู่ต่ออีกหน่อย”เย่จั้นเหลือบมองเขาทั้งสองคน และเกิดความสงสัยในใจทั้งสองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด?“เช่นนั้นพวกท่านเชิญตามสบาย แต่รีบกลับด้วยล่ะ”เย่จั้นประสานมือคำนับ ยกชุดคลุมแล้วเดินออกไปอินชิงเสวียนมายังชั้ยสอง และนั่งลงตำแหน่งที่นั่งเดิม“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เ
อินชิงเสวียนไม่เคยเห็นสิ่งใดในสายตาของเย่จิ่งหลานเพียงแต่เมื่อนึกถึงตัวละครชายที่ข้ามมิติมา ตัวเอกที่เป็นผู้ชายมักมีสูตรโกง ที่จะรวบรวมสี่ทะเลแปดดินแดนอย่างเกรงขาม อินชิงเสวียนจึงไม่มีความมั่นใจสิ่งที่นางต้องการมีเพียงแค่ความสงบสุขในต้าโจว ตราบใดที่เย่จิ่งหลานไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อ หากเขาต้องการสิ่งใด นางจะช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ“เย่จิ่งหลาน ท่านอยากเป็นหมอในต้าโจวจริงๆ งั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานยิ้มที่มุมปาก“เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าทำอะไรได้อีกบ้าง?”อินชิงเสวียนพูดไม่ออกในทันที เมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเขาสองคนต่างเป็นคนยุคปัจจุบัน มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเหมือนคนโบราณ“ข้าคิดว่าพวกผู้ชายอย่างท่านไม่มีความพอใจต่อสิ่งที่มีอยู่ อีกทั้งยังมีใจที่จะเอาชนะโลกนี้ หากท่านต้องการไปขยายอาณาเขตในดินแดนอื่น ข้ายินดีที่จะสนับสนุนอาหารให้จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทน”เย่จิ่งหลานเหลือบมองอินชิงเสวียนครู่หนึ่ง ยิ้มและถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยิ่งมีใจทะเยอทะยานหรอกหรือ?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ข้าเชื่อใจท่าน เพราะท่านเคยพูดว่าเราสองคนเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน”เมื่อม
อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในสวน สองวันนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เมื่อกลับมาจากสำนักศึกษาหลวง ก็กลับเข้าวังเลยทันที จึงกลับมาค่อนข้างไวทีเดียวตอนนี้ลูกกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พูดจารู้ความขึ้นมาก อินชิงเสวียนจึงยอมสละเวลาเพื่ออยู่กับลูกมากขึ้นเด็กคนนี้เติบโตมาด้วยน้ำพุวิญญาณ จะต้องฉลาดกว่าเด็กคนอื่นแน่นอน อินชิงเสวียนอ่านบทกลอนให้เขาฟังทุกวัน จากนั้นก็สอนสัตว์ต่างๆ บนการ์ดให้เขาได้เรียนรู้เพียงแต่ความอดทนของเจ้าเด็กอ้วนมีขีดจำกัด เรียนสักพักยังพอไหว แต่หากเรียนเป็นเวลานานก็จะทำลายข้าวของด้วยความใจร้อนอินชิงเสวียนกำลังแย่งแผ่นการ์ดจากปากของเขา เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาพอดี“จ้าวเอ๋อร์ยั่วโมโหเสด็จแม่อีกแล้วใช่ไหม?”เดินสาวเท้ามาด้านหน้าเตียงนอน อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่ซุกซนขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงหยิบแผ่นการ์ดในปากออกมาทันที และใส่เข้าปากของเย่จิ่งอวี้“กินกิน”อินชิงเสวียนขำพรวดออกมา“ดูสิว่าลูกชายของท่านกตัญญูมากแค่ไหน เก็บแผ่นการ์ดไว้ให้พ่อของเขาด้วย”เย่จิ่งอวี้ใช้สองนิ้วคีบการ์ดแผ่นนั้นเอาไว้ และลูบลงบนศีรษะของเสี่ยวหนานเฟิง“เสด็จพ่อไม่กิน ขอบใจเจ้ามาก”เสี่ย
เจวี๋ยอิ่งก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมยังไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ได้ส่งคนไปตามสืบแล้ว”เย่จิ่งอวี้ตบฉาดลงบนโต๊ะอย่างแรงพูดด้วยความโมโห “ในโลกนี้มีคนสติฟั่นเฟือนเช่นนี้ด้วยหรือ หากจับตัวคนร้ายได้ ให้เขารับโทษรถแยกร่าง ศาลยุติธรรมส่งคนไปตรวจสอบแล้วหรือไม่?”เจวี๋ยอิ่งพูดว่า “เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมไปถึงที่เกิดเหตุแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ได้นำร่างส่งมาที่ศาลยุติธรรมแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเข้มว่า “เจ้าคอยฟังข่าวมา แล้วมารายงานข้าได้ทุกเวลา”“พ่ะย่ะค่ะ”เจวี๋ยอิ่งเดินเข้ามาสองก้าว จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางที่ชื่อว่าจังอวี้จิ่น ควรจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เอาเงินไว้ให้นาง ช่วยนางหาซื้อบ้านในเมืองหลวง รอให้จับตัวอาซือหลานได้เมื่อใด ค่อยบอกนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้สงบจิตใจลง และหยิบสาส์นกราบทูลขึ้นมาอีกครั้ง...ณ ตำหนักจินหวูตกบ่าย ซูฉ่ายเวยมานั่งพูดคุยด้วยครู่หนึ่ง นางไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มที่มาหลายคืน เพราะเสียงร้องโหยหวนของสวีจือย่วน หลังจากที่เงียบไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในที่สุดก็
เสียงศักดิ์สิทธิ์?หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?อินชิงเสวียนมองหยกชิ้นนี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจหากเป็นของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหตุใดจึงปรากฏอยู่ที่ตำหนักจินหวู?คนที่ขโมยพิณไปไม่ได้เข้ามาในตำหนัก อีกทั้งหยกชิ้นนี้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด อย่างน้อยก็ต้องตกอยู่ที่นี่เป็นปีแล้ว ไม่มีทางเป็นของของนาง...“กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นที่ข้างหู อินชิงเสวียนได้สติกลับมาทันที“ฝ่าบาทมาถึงเมื่อไรเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มจางๆ“ข้าเพิ่งมา เสวียนเอ๋อร์มีเรื่องไม่สบายใจหรือไม่?”อินชิงเสวียนชูหยกในมือขึ้นมา“ข้าพบสิ่งนี้เพคะ”เย่จิ่งอวี้รับหยกมา เมื่อพลิกดูแล้ว คิ้วคมก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย“เสียงศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?”อินชิงเสวียนพูดว่า “นอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ยังมีสถานที่อื่นชื่อว่าเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า“นิกายต่างๆ ในยุทธภพ ข้ารู้จักไม่มากนัก แต่สิ่งเดียวที่ข้ายืนยันได้ก็คือ นิกายจะไม่มีชื่อที่คล้ายกันอย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนถามอีกว่า “หากเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เช่นนั้นสิ่งที่ถือเป
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี