อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเขา จึงผิดหวังและเสียใจอย่างอดไม่ได้หากว่าเย่จิ่งหลานเป็นคนทำจริงๆ ตัวเองควรทำอย่างไรดี?เขาเป็นเพื่อนที่รู้ใจเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ หากเขาไม่อยู่แล้ว นางคงอยู่คนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในโลกใบนี้เป็นแน่หากว่าเขาทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้จริงๆ ตัวเองจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ?นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “หากว่าศาลยุติธรรมจับผู้นี้ได้ จะมีมาตรการการลงโทษอย่างไร?”ฉางจี้จิ่วลูบเคราแล้วพูดว่า “วิธีการของคนผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก สติฟั่นเฟือน หากลงโทษคนผู้นี้ตามกฎหมาย ตามกฎหมายของต้าโจว จะมีการลงโทษโดยการใช้รถห้าคันดึงแยกร่างของนักโทษจนตาย”อินชิงเสวียนได้ยินก็ใจสั่น“หากว่าผู้กระทำความผิดเป็นลูกหลานในเชื้อพระวงศ์เล่า?”ฉางจี้จิ่วหัวเราะเหอะๆ ประสานมือคำนับไปทางตะวันออกแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ไม่มีทางลดโทษเพียงเพราะเป็นญาติสนิทในเชื้อพระวงศ์แน่นอน ตามคำกล่าวว่า ความผิดของโอรสแห่งสวรรค์ย่อมมีโทษเทียบเท่าประชาชน เรื่องนี้อาจารย์อินวางใจได้เลย”อินชิงเสวียนยิ่งฟังก็ยิ่งว้าวุ่นใจ จึงสอนวิชาฟิสิกส์อย่างลวกๆ จากนั้นก็พาหล
เมื่อเห็นข้อความในพระราชโองการ หินก้อนใหญ่ที่ทับอกของอินจ้งก็ถูกวางลงไม่ใช่ว่าเขาไม่ยินดีที่จะออกรบ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเสบียงและหญ้ามีไม่เพียงพอต่อการบริโภคเป็นเวลานาน อีกเรื่องสำคัญก็คืออาการป่วยของอินสิงอวิ๋นนี่เป็นไข้ใจของอินจ้งมาโดยตลอดคืนนั้น จวนแม่ทัพจัดการเลี้ยงสุรา เพื่อต้อนรับอูเอินและแม่ทัพเจียงวูสำหรับการต้อนรับที่สมศักดิ์ศรีของอินจ้ง อูเอินและคนอื่นๆ ต่างซาบซึ้งใจมากชูแก้วแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งของโอรสแห่งสวรรค์ ข้าและคนอื่นๆ ก็ยินดีที่จะยุติสงครามเช่นกัน ตอนนี้สามารถติดต่อค้าขายกันได้ ไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว ตราบใดที่สามารถแลกเปลี่ยนธัญพืชจากราชวงศ์โจวได้ พวกเราก็จะสามารถพัฒนาพื้นที่เพาะปลูกได้เช่นกัน ซึ่งทำให้มีชีวิตที่มั่นคงได้”อินจ้งหัวเราะเหอะๆ และพูดว่า “ฝ่าบาทมีปรีชาญาณโดดเด่น ฉลาดเฉียบแหลมและมีสายตายาวไกล คาดว่าพระองค์ทรงเห็นข้อเสียของเจียงวู จึงมีพระประสงค์ให้ทำการติดต่อค้าขายกันได้ ตราบใดที่เจียงวูไม่รุกรานอาณาเขตของพวกเรา ความสงบสุขนี้จะดำรงสืบไปเป็นนิตย์”อูเอินพูดอย่างละอายใจว่า “แม่ทัพอินพูดถูกต้องทีเดียว ครั้งนี้เจียงวูจะทำให
วันถัดมา ณ เมืองลั่วสยาอินจ้งนำอูเอินและคนอื่นๆ ตามทัพมาถึงพื้นที่ลาดชันสิบลี้ทางตะวันออกของเมืองด้านตรงข้าม มีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงินเข้มนั่งบนหลังม้า ด้านหลังของเขามีกลุ่มทหารเจียงวูตามมาด้วยเมื่อเห็นรูปร่างของผู้ชาย อินจ้งกำเชือกในมือแน่นเขารู้เรื่องอาซือหลานปลอมตัวเป็นอินสิงอวิ๋นจากปากของกวนเซี่ยว จึงแอบกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้นแต่กลับไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าเขายิ้มเล็กน้อย ประสานมือคำนับและพูดว่า “ท่านคือท่านอ๋องถูหย่าลาจี๋เล่อใช่หรือไม่?”อาซือหลานยกมือขึ้นคำนับและพูดว่า “แม่ทัพอิน สบายดีหรือไม่”กวนเซี่ยวขี่ม้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าแพ้สงคราม ก็ควรจะคุกเข่าลงยอมรับโทษ กล้าดีอย่างไรที่มัวนั่งสบายใจบนหลังม้า?”อาซือหลานยิ้มที่มุมปากและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะยอมแพ้ แต่ข้าก็ยอมแพ้ต่อฮ่องเต้ของราชวงศ์โจว ในเมื่อแม่ทัพอินไม่ใช่คนสกุลเย่ และไม่ลูกหลานของเชื้อพระวงศ์ จะให้ข้าคุกเข่าลงด้วยเหตุอันใด?”“เจ้า...”กวนเซี่ยวเกลียดเขาเข้ากระดูก จึงจับด้ามดาบไว้แน่นอินปู้อวี่กดไหล่ของเขาเอาไว้ เพื่อบอกเขาว่าอย่าเพิ่งวู่วามอินจ้งหั
อินชิงเสวียนตัดสินใจทำการทดลองในวัง อย่างไรพืชผักและเมล็ดข้าวสาลีในสวนอวิ๋นเซียงถูกเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ที่ดินก็ทิ้งว่างแม้อินชิงเสวียนจะสามารถเร่งเวลาการเติบโตในมิติได้ แต่พื้นมีกลับมีจำกัด แม้ว่านางจะนำเสบียงอาหารออกมาจากมิติทั้งหมด แต่ก็ไม่เพียงพอต่อประชาชนชาวต้าโจวดังคำที่ว่า สอนเขาจับปลา ดีกว่าหาปลาให้เขากิน แต่ถ้าหากปลูกเมล็ดข้าวสาลี ผลผลิตคงไม่มากเท่าด้านในมิติ การปลูกมันเทศและมันฝรั่งจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า พืชเหล่านี้เติบโตง่ายกว่า ผลผลิตค่อนข้างมาก และยังสามารถใช้ประทังความหิวได้หลายวันนี้ อินชิงเสวียนจึงใช้เวลาในช่วงบ่ายพาขันทีกลุ่มหนึ่งมาสร้างโรงเรือนที่สวนอวิ๋นเซียง และสร้างเตาผิงขนาดใหญ่ไว้ด้านในพวกลำไม้ไผ่ค่อนข้างหาได้ง่าย ถุงพลาสติกก็ใช้คะแนนสะสมแลกมา อินชิงเสวียนขี้เกียจอธิบายที่มาของพลาสติกกับทุกคน นางสั่งให้คนนำไปปูในทันทีทุกคนต่างเข้าใจเหมือนกันว่า สิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนล้วนมาจากฮว๋าเซี่ยทั้งนั้น เพราะเหนียงเหนียงมักมีสิ่งของที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนเสมอ ทุกคนจึงไม่รู้แปลกใจหลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์แล้ว อินชิงเสวียนก็ใช้น้ำพุวิญญาณน้ำผัก และสั่งให้ข
ณ ห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้เพิ่งหยิบสาส์นกราบทูลขึ้นมา หลี่เต๋อฝูก็เข้ามากราบทูล“ฝ่าบาท อินจ้งขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลง หรือว่าลืมเรื่องอะไร?“ให้เขาเข้ามาเถอะ”ครู่หนึ่ง อินจ้งก็เดินเข้ามาจากด้านนอก โน้มตัวและพูดว่า “กระหม่อมมีอีกเรื่องที่อยากทูลขอ ฝ่าบาทได้โปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“พูดมาสิ”อินจ้งพูดว่า “กระหม่อมได้พาอินสิงอวิ๋นลูกชายคนโตกลับมาด้วย แต่เขายังคงหลับสนิทไม่ฟื้นขึ้นมา กระหม่อมสงสัยว่าเขาจะเป็นโรคร้าย ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา ให้หมอหลวงเหลียงไปตรวจดูอาการที่จวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“แม่ทัพอินไม่รู้ว่าอินสิงอวิ๋นป่วยเป็นอะไรงั้นหรือ?”อินจ้งตกใจเล็กน้อย“คือ... กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ถามว่า “เจ้าไม่ได้รับจดหมายจากม้าด่วนของข้างั้นหรือ?”อินจ้งฟังไม่เข้าใจ จึงรีบพูดว่า “กระหม่อมได้รับเพียงจกหมายยินยอมยุติสงครามของฝ่าบาท และไม่เห็นจดหมายอื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรออกมาหากว่าอินจ้งรู้ว่าในร่างกายของอินสิงอวิ๋นมีพิษกู่ ซึ่งไม่มียาในการรักษา จะต้องหมดหวังอย่างแน่นอน สิ่งนี้โหดร
เย่จิ่งอวี้ก็ตกใจเล็กน้อยพวกผู้หญิงเจียงวูคุกเข่าลงและพูดพร้อมกันว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วแน่นตราบใดที่ตัวเองมีสถานะเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เขาไม่มีทางกลับคำพูดได้ จึงพูดกับหลี่เต๋อฝูว่า “ไปหาตำหนักให้พวกนางด้วย”หลี่เต๋อฝูก็มีสีหน้าประหลาดใจ เขาแอบเหลือบมองเย่จิ่งอวี้ และบอกพวกผู้หญิงว่า “ทุกท่าน ตามข้ามา”หญิงที่เป็นผู้นำพูดว่า “ขอบพระคุณกงกง”อินจ้งกระแอมเสียงแห้งและพูดว่า “กระหม่อมก็ขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”แม้เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเย่จิ่งอวี้เป็นถึงโอรสสวรรค์ในราชวงศ์นี้ อย่าว่าแต่ทาสหญิงพวกนี้เลยหากเขาต้องการผู้หญิงทุกคนบนโลก ก็ไม่มีใครกล้าพูดมากได้เย่จิ่งอวี้พยักหน้า แต่กลับอึดอัดในใจตัวเองเป็นอะไรไป หรือว่าเมื่อคืนไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ จึงสับสนมึนงงเช่นนี้?ทันใดนั้นก็นึกถึงพิษกู่ของอินสิงอวิ๋น จึงแอบตกใจเล็กน้อยหรือว่าคนเหล่านี้มาด้วยเป้าหมายที่ไม่ดี และกล้าทำมิดีมิร้ายในแก้วน้ำชาของตัวเอง?มิเช่นนั้นตัวเองจะกล้าทำการตัดสินใจแบบนี้ได้อย่างไร?เพราะคิดว่าเป็นชาของในวัง จึงไม่ได้คิดมาก เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง เย่จิ่งอวี้ก็ว้าวุ่
เย่จิ่งอวี้ก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลงกลใครแล้วจริงๆ หรือไม่ จึงไม่อยากพูดออกมาสุ่มสี่สุ่มห้า และทำให้อินชิงเสวียนต้องเป็นห่วงเขาหัวเราะและพูดว่า “ข้าแค่บอกว่าถ้าหาก ไม่ว่าใครก็ต้องทำผิดพลาดบ้าง หากข้าพูดจาเกินไปจริงๆ เสวียนเอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจเด็ดขาด”อินชิงเสวียนเหลือบมองเย่จิ่งอวี้ และตบที่ไหล่ของเขาพูดอย่างไม่แยแสว่า “วางใจเถอะเพคะ หากฝ่าบาทพูดสิ่งใดผิดไป หม่อมฉันจะยกโทษให้ฝ่าบาทเสมอ”“เช่นนั้นก็ดี”เย่จิ่งอวี้วางเสี่ยวหนานเฟิงลงบนรถเข็นเด็ก ยิ้มและพูดว่า “วันนี้ข้าอยากเรียนรู้วิธีการย่างเนื้อบ้าง เสวียนเอ๋อร์อย่าเก็บความสามารถไว้ผู้เดียวสิ”“เพคะ การได้ลงมือทำเอง จะยิ่งอร่อยมากขึ้น”อินชิงเสวียนหยิบพัดขึ้นมาอย่างทะมัดทะแมง พับแขนเสื้อและเดินมาด้านหน้าเตาย่างนางสอนวิธีการควบคุมไฟให้กับเย่จิ่งอวี้ ในหัวก็คิดเรื่องของอินสิงอวิ๋นแม้น้ำพุวิญญาณของนางจะมีประสิทธิภาพมาก แต่ไม่สามารถถอนพิษกู่ได้ หากต้องการช่วยเหลืออินสิงอวิ๋น จำเป็นต้องไปตามหาคนขโมยพิณที่สำนักเสียงศักดิ์สิทธิ์เพียงแต่ต้องไปตามหาทั่วทุกที่ และแม้จะตามหาเขาพบ ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือเข้ามาช่วยหรือไม่?ระหว่างที่
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปบอกพวกนางเดี๋ยวนี้”อินชิงเสวียนพยักหน้า สำหรับผู้หญิงเหล่านี้ นางไม่มีเรื่องจะพูดด้วย ยิ่งไม่อยากคบค้าสมาคมกับพวกนางขันทีน้อยมาที่หน้าประตู และบอกจูอวี้เหยียนว่า “พระนางกุ้ยเฟยพักผ่อนแล้ว ขอเชิญแม่นางทั้งหลายกลับไปเถอะ”จูอวี้เหยียนยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าไปบอกพระนางกุ้ยเฟย พูดเพียงว่าข้ารู้เรื่องของอินสิงอวิ๋นที่อยู่ในเจียงวู”“คือว่า...”ขันทีน้อยลังเลเล็กน้อย แม้พระนางกุ้ยเฟยมีจิตใจเมตตา แต่นางพูดชัดเจนว่าไม่ต้องการพบคนเหล่านี้ ตัวเองยังจำเป็นต้องไปรายงานเรื่องพวกนี้หรือไม่?จูอวี้เหยียนหยิบหยวนเป่าเงินออกมา แอบยัดใส่มือของขันทีน้อย“รบกวนกงกงน้อยรายงานเรื่องนี้แทนข้าด้วย ข้ากล้ารับประกันว่า เหนียงเหนียงจะต้องมาพบพวกข้าแน่นอน”กงกงน้อยรีบผลักเงินออกไป ก้มหน้าและพูดว่า “เช่นนั้นแม่นางช่วยรอสักครู่ ข้าจะไปถามความเห็นของเหนียงเหนียงดูก่อน”เขาเข้ามาในตำหนัก และพูดตามที่จูอวี้เหยียนบอก อินชิงเสวียนจึงลุกขึ้นนั่งทันที“นางพูดแบบนี้จริงงั้นหรือ?”ขันทีน้อยโน้มตัวและพูดว่า “แม้กระหม่อมจะมีความกล้ามากเท่าใด กระหม่อมก็ไม่กล้าพูดปดพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวีย
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี