เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้ที่หายตัวไปมีแต่คนชรางั้นหรือ?”เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยความเคารพ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มีรายงานว่ามีหกเจ็ดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบว่า “อาจเดินพลัดหลงไป ติดตามดูแนวโน้มของฝ่ายราชการ และหาข้อสรุปที่แน่นอน”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็อ่านสาส์นกราบทูลต่อ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักตอนนี้ปัญหาเรื่องอาหารได้แก้ไขไปมากกว่าครึ่งแล้ว การถ่ายเทน้ำก็บรรลุผลเบื้องต้นแล้วเช่นกัน ภัยตั๊กแตนและโรคระบาดก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้เหลือเพียงแค่ในเจียงวูและเมืองซุ่ยหานบาดแผลของเย่จั้นก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับเมืองซุ่ยหานได้ ขอเพียงอินจ้งสามารถระงับความวุ่นวายทางนั้นได้อย่างราบรื่น ต้าโจวก็จะสงบสุขผู้ส่งสารออกจากเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวันแล้ว อินจ้งน่าจะได้รับข่าวที่อินสิงอวิ๋นได้รับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถระมัดระวังและป้องกันไม่ให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นได้เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ในใจ แต่มือยังคงไม่หยุดทำงาน เขาอ่านสาส์นกราบทูลทีละฉบับจนหมด เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็จวน
หลังจากนอนหลับสะลึมสะลือไม่นานนัก อินชิงเสวียนก็ถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกขึ้นมานางกอดผ้าห่มไว้ไม่อยากตื่น แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเสนอเรื่องการเรียน จึงไม่อาจถอดใจกลางคันก่อนใครได้จึงทำได้เพียงกัดฟันลุกขึ้นมา เข้าไปแช่น้ำพุวิญญาณในมิติ ตอนที่ออกมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าเย่จิ่งอวี้ก็อดนอนมาทั้งคืน เมื่อครู่เข้าประชุมในราชสำนักคงง่วงนอนแย่ คืนนี้จะเตรียมน้ำพุวิญญาณให้เขาหนึ่งถัง เพื่อขจัดความเหนื่อยล้ามื้อเช้ากินอะไรง่ายๆ จากนั้นก็ออกจากวังพร้อมหลี่ชีและฉินเทียนเมื่อมาถึงสำนักศึกษาหลวง ก็ได้ยินใต้เท้าทั้งหลายกำลังปรึกษาหารือกัน บอกว่าช่วงนี้มีคนแก่หายไปจากเมืองหลวงหลายคนอินชิงเสวียนจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา“เหตุใดคนแก่จึงหายตัวไปได้?”ใต้เท้าโจวส่ายหน้า ลูบเคราแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนมาที่นี่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน คิดว่าเป็นเรื่องจริง ได้ยินว่ามีคนแจ้งทางการแล้ว”อินชิงเสวียนตกใจมาก หรือว่าเป็นฝีมือของชาวเจียงวูอีกแล้ว ในเมื่อจูอวี้เหยียนชำนาญในการใช้พิษกู่ ไม่แน่ว่านางอาจจะจับคนไปทำการทดลองแต่ทว่าเพียงแค่การจับคน ไม่จำเป็นต้องมาจั
อินชิงเสวียนพยักหน้า และออกจากโรงน้ำชาพร้อมเย่จั้นเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบเด็กคนหนึ่งในชุดผ้าแพรเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู และเอามือไพล่หลังเมื่อเห็นหน้าตาของเขาชัดเจนแล้ว อินชิงเสวียนจึงคิดในใจว่า สงสัยว่าผู้คนในราชวงศ์ต่างชื่นชอบมาฟังเรื่องซุบซิบที่นี่เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนี้ ก็คือฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานเมื่อเห็นอินชิงเสวียนและเย่จั้น เย่จิ่งหลานก็ตกใจเล็กน้อยรีบน้อมตัวลงและพูดว่า “สวัสดีเสด็จอาสิบสาม สวัสดีเสด็จพี่สะใภ้”ปากเล็กๆ พูดจาค่อนข้างหวานเลยทีเดียวเย่จั้นมองเขาแล้วถามว่า “มาดื่มชางั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้อากาศดีทีเดียว จึงออกมาเดินเล่น เสด็จอาสิบสามและเสด็จพี่สะใภ้จะกลับแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ความจริงจะไปเยี่ยมท่าน ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้ว ข้าจะอยู่ต่ออีกหน่อย”เย่จั้นเหลือบมองเขาทั้งสองคน และเกิดความสงสัยในใจทั้งสองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด?“เช่นนั้นพวกท่านเชิญตามสบาย แต่รีบกลับด้วยล่ะ”เย่จั้นประสานมือคำนับ ยกชุดคลุมแล้วเดินออกไปอินชิงเสวียนมายังชั้ยสอง และนั่งลงตำแหน่งที่นั่งเดิม“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เ
อินชิงเสวียนไม่เคยเห็นสิ่งใดในสายตาของเย่จิ่งหลานเพียงแต่เมื่อนึกถึงตัวละครชายที่ข้ามมิติมา ตัวเอกที่เป็นผู้ชายมักมีสูตรโกง ที่จะรวบรวมสี่ทะเลแปดดินแดนอย่างเกรงขาม อินชิงเสวียนจึงไม่มีความมั่นใจสิ่งที่นางต้องการมีเพียงแค่ความสงบสุขในต้าโจว ตราบใดที่เย่จิ่งหลานไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อ หากเขาต้องการสิ่งใด นางจะช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ“เย่จิ่งหลาน ท่านอยากเป็นหมอในต้าโจวจริงๆ งั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานยิ้มที่มุมปาก“เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าทำอะไรได้อีกบ้าง?”อินชิงเสวียนพูดไม่ออกในทันที เมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเขาสองคนต่างเป็นคนยุคปัจจุบัน มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเหมือนคนโบราณ“ข้าคิดว่าพวกผู้ชายอย่างท่านไม่มีความพอใจต่อสิ่งที่มีอยู่ อีกทั้งยังมีใจที่จะเอาชนะโลกนี้ หากท่านต้องการไปขยายอาณาเขตในดินแดนอื่น ข้ายินดีที่จะสนับสนุนอาหารให้จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทน”เย่จิ่งหลานเหลือบมองอินชิงเสวียนครู่หนึ่ง ยิ้มและถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยิ่งมีใจทะเยอทะยานหรอกหรือ?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ข้าเชื่อใจท่าน เพราะท่านเคยพูดว่าเราสองคนเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน”เมื่อม
อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในสวน สองวันนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เมื่อกลับมาจากสำนักศึกษาหลวง ก็กลับเข้าวังเลยทันที จึงกลับมาค่อนข้างไวทีเดียวตอนนี้ลูกกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พูดจารู้ความขึ้นมาก อินชิงเสวียนจึงยอมสละเวลาเพื่ออยู่กับลูกมากขึ้นเด็กคนนี้เติบโตมาด้วยน้ำพุวิญญาณ จะต้องฉลาดกว่าเด็กคนอื่นแน่นอน อินชิงเสวียนอ่านบทกลอนให้เขาฟังทุกวัน จากนั้นก็สอนสัตว์ต่างๆ บนการ์ดให้เขาได้เรียนรู้เพียงแต่ความอดทนของเจ้าเด็กอ้วนมีขีดจำกัด เรียนสักพักยังพอไหว แต่หากเรียนเป็นเวลานานก็จะทำลายข้าวของด้วยความใจร้อนอินชิงเสวียนกำลังแย่งแผ่นการ์ดจากปากของเขา เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาพอดี“จ้าวเอ๋อร์ยั่วโมโหเสด็จแม่อีกแล้วใช่ไหม?”เดินสาวเท้ามาด้านหน้าเตียงนอน อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่ซุกซนขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงหยิบแผ่นการ์ดในปากออกมาทันที และใส่เข้าปากของเย่จิ่งอวี้“กินกิน”อินชิงเสวียนขำพรวดออกมา“ดูสิว่าลูกชายของท่านกตัญญูมากแค่ไหน เก็บแผ่นการ์ดไว้ให้พ่อของเขาด้วย”เย่จิ่งอวี้ใช้สองนิ้วคีบการ์ดแผ่นนั้นเอาไว้ และลูบลงบนศีรษะของเสี่ยวหนานเฟิง“เสด็จพ่อไม่กิน ขอบใจเจ้ามาก”เสี่ย
เจวี๋ยอิ่งก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “กระหม่อมยังไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ได้ส่งคนไปตามสืบแล้ว”เย่จิ่งอวี้ตบฉาดลงบนโต๊ะอย่างแรงพูดด้วยความโมโห “ในโลกนี้มีคนสติฟั่นเฟือนเช่นนี้ด้วยหรือ หากจับตัวคนร้ายได้ ให้เขารับโทษรถแยกร่าง ศาลยุติธรรมส่งคนไปตรวจสอบแล้วหรือไม่?”เจวี๋ยอิ่งพูดว่า “เจ้าหน้าที่ศาลยุติธรรมไปถึงที่เกิดเหตุแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ได้นำร่างส่งมาที่ศาลยุติธรรมแล้ว”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเข้มว่า “เจ้าคอยฟังข่าวมา แล้วมารายงานข้าได้ทุกเวลา”“พ่ะย่ะค่ะ”เจวี๋ยอิ่งเดินเข้ามาสองก้าว จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางที่ชื่อว่าจังอวี้จิ่น ควรจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เอาเงินไว้ให้นาง ช่วยนางหาซื้อบ้านในเมืองหลวง รอให้จับตัวอาซือหลานได้เมื่อใด ค่อยบอกนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้สงบจิตใจลง และหยิบสาส์นกราบทูลขึ้นมาอีกครั้ง...ณ ตำหนักจินหวูตกบ่าย ซูฉ่ายเวยมานั่งพูดคุยด้วยครู่หนึ่ง นางไม่ได้นอนหลับอย่างเต็มที่มาหลายคืน เพราะเสียงร้องโหยหวนของสวีจือย่วน หลังจากที่เงียบไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ในที่สุดก็
เสียงศักดิ์สิทธิ์?หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?อินชิงเสวียนมองหยกชิ้นนี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจหากเป็นของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เหตุใดจึงปรากฏอยู่ที่ตำหนักจินหวู?คนที่ขโมยพิณไปไม่ได้เข้ามาในตำหนัก อีกทั้งหยกชิ้นนี้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด อย่างน้อยก็ต้องตกอยู่ที่นี่เป็นปีแล้ว ไม่มีทางเป็นของของนาง...“กำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ?”เสียงของเย่จิ่งอวี้ดังขึ้นที่ข้างหู อินชิงเสวียนได้สติกลับมาทันที“ฝ่าบาทมาถึงเมื่อไรเพคะ?”เย่จิ่งอวี้ยิ้มจางๆ“ข้าเพิ่งมา เสวียนเอ๋อร์มีเรื่องไม่สบายใจหรือไม่?”อินชิงเสวียนชูหยกในมือขึ้นมา“ข้าพบสิ่งนี้เพคะ”เย่จิ่งอวี้รับหยกมา เมื่อพลิกดูแล้ว คิ้วคมก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย“เสียงศักดิ์สิทธิ์? หรือว่าเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์?”อินชิงเสวียนพูดว่า “นอกจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ยังมีสถานที่อื่นชื่อว่าเสียงศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า“นิกายต่างๆ ในยุทธภพ ข้ารู้จักไม่มากนัก แต่สิ่งเดียวที่ข้ายืนยันได้ก็คือ นิกายจะไม่มีชื่อที่คล้ายกันอย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนถามอีกว่า “หากเป็นหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เช่นนั้นสิ่งที่ถือเป
อินชิงเสวียนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นเขา จึงผิดหวังและเสียใจอย่างอดไม่ได้หากว่าเย่จิ่งหลานเป็นคนทำจริงๆ ตัวเองควรทำอย่างไรดี?เขาเป็นเพื่อนที่รู้ใจเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ หากเขาไม่อยู่แล้ว นางคงอยู่คนเดียวอย่างเปล่าเปลี่ยวเดียวดายในโลกใบนี้เป็นแน่หากว่าเขาทำเรื่องผิดบาปเช่นนี้จริงๆ ตัวเองจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้หรือ?นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “หากว่าศาลยุติธรรมจับผู้นี้ได้ จะมีมาตรการการลงโทษอย่างไร?”ฉางจี้จิ่วลูบเคราแล้วพูดว่า “วิธีการของคนผู้นี้โหดเหี้ยมยิ่งนัก สติฟั่นเฟือน หากลงโทษคนผู้นี้ตามกฎหมาย ตามกฎหมายของต้าโจว จะมีการลงโทษโดยการใช้รถห้าคันดึงแยกร่างของนักโทษจนตาย”อินชิงเสวียนได้ยินก็ใจสั่น“หากว่าผู้กระทำความผิดเป็นลูกหลานในเชื้อพระวงศ์เล่า?”ฉางจี้จิ่วหัวเราะเหอะๆ ประสานมือคำนับไปทางตะวันออกแล้วพูดว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ไม่มีทางลดโทษเพียงเพราะเป็นญาติสนิทในเชื้อพระวงศ์แน่นอน ตามคำกล่าวว่า ความผิดของโอรสแห่งสวรรค์ย่อมมีโทษเทียบเท่าประชาชน เรื่องนี้อาจารย์อินวางใจได้เลย”อินชิงเสวียนยิ่งฟังก็ยิ่งว้าวุ่นใจ จึงสอนวิชาฟิสิกส์อย่างลวกๆ จากนั้นก็พาหล