อินปู้อวี่ตกตะลึง“เกิดอะไรขึ้น พวกเขามาจากไหน”ทหารพูดด้วยความตื่นตระหนก “ดูเหมือนว่ามีการขุดหลุมไว้ใต้กำแพงเมือง”อินปู้อวี่ชักกระบี่ยาวออกมา แล้วพูดด้วยความโกรธ “ตามข้าไปฆ่ามัน”เขาเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วเหาะลงจากกำแพงเมือง คมกระบี่เป็นประกายวาวกล้า ตวัดฟาดฟันใส่ทหารเจียงวูอย่างรวดเร็วในเวลานี้ ทั้งเมืองอยู่ในความโกลาหล ประตูเมืองก็ถูกเปิดโดยทหารเจียงวูแล้ว เมื่อมู่จัวและแม่ทัพผู้อื่นเห็นดังนี้ก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง“ประตูเมืองเปิดแล้ว จุดควันหมาป่าทันที ตามข้าเข้าไปในเมือง ยึดเมืองลั่วสยากลับคืน”จากระยะไกล อาซือหลานและจูอวี้เหยียนยืนทอดสายตามองออกไป เห็นควันลอยสูงขึ้น ต่างอดไม่ได้ที่จะมีความสุขตราบใดที่เมืองลั่วสยาพ่ายแพ้ ต้าโจวก็จะแพ้การต่อสู้ครั้งนี้หากจับตัวอินปู้อวี่ได้ ก็สมารถให้อินชิงเสวียนมาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันได้เมื่อนึกถึงใบหน้างามผุดผาดดวงนั้น อาซือหลานก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายไม่ไกลนัก อูเอินสวมชุดเกราะคุมทัพอยู่นอกเมืองหน่วยอารักขาที่อยู่ข้างๆ ตื่นเต้น“ราชาเผ่า พวกเราเข้าไปในเมืองได้แล้วกระมัง”“แม่ทัพมู่จัวเข้าไปแล้ว”
โหวเหนือถอนหายใจแล้วพูดว่า “สาวน้อยภายในเข้มแข็งแต่ภายนอกอ่อนโยน แต่ไม่ใช่ผู้ที่มีอารมณ์อ่อนแอ ในเมื่อเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้ว จึงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าหลงในอำนาจ หากไม่ใช่เพราะข้าบีบให้นางแต่งงานกับอันผิงอ๋อง ก็คงไม่เกิดเหตุยุ่งยากเช่นนี้”อินจ้งพูดปลอบใจว่า “ทุกเรื่องต่างมีข้อยกเว้น อีกทั้งคุณหนูก็เป็นคนสนิทเพียงคนเดียวของท่านโหว เพื่อเห็นแก่ท่านโหว ไม่แน่ว่าอาจจะยินยอมสึก”เมื่อได้ฟังคำพูดของอินจ้ง โหวเหนือจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง“แม่ทัพอินพูดมีเหตุผลทีเดียว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ต้องลองดูก่อนจึงจะรู้”อินจ้งพยักหน้า และสั่งเสียงเข้มว่า “ปิดช่องว่างของกำแพงเมืองเดี๋ยวนี้ หากผู้ใดกล้าเข้าใกล้ประตูเมือง จะถูกยิงทันทีไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม”ข่าวที่อินจ้งยังไม่ตายถูกกระจายถึงหูชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าอินจ้งยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างโห่ร้องดีใจ และเมื่อได้ข่าวว่าราชาเผ่าเจียงวูถูกจับตัว ก็ตีฆ้องตีกลองด้วยความปีติยินดีมากยิ่งขึ้น เฉลิมฉลองไปตามถนนเป็นเวลากลางคืนที่คึกคักเสียยิ่งกว่าเวลากลางวันนอกเมืองอาซือหลานและจ
หลายวันแล้วที่ไม่ได้รับข่าวจากเจียงวู อินชิงเสวียนจึงร้อนใจอย่างอดไม่ได้หากว่าอาซือหลานตายแล้ว นางก็คงไม่ต้องกังวลใจมากขนาดนี้ ตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าวายร้ายคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ จิตใจของนางจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแม้ว่าอินจ้งจะมีประสบการณ์การใช้กองกำลังทหารที่โชกโชน แต่ทว่าแผนการในใจอันแยบยลกลับไม่มากเท่าอาซือหลาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอินสิงอวิ๋นที่ถูกพิษกู่เล่นงานอยู่ช่วงเช้าไปทำการสอนที่สำนักศึกษาหลวง อย่างน้อยก็พอเบี่ยงเบนความสนใจได้บ้าง แต่ทันทีที่กลับถึงตำหนัก อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดฟุ้งซ่านเมื่อเห็นพระสนมจิตใจว้าวุ่น อวิ๋นฉ่ายจึงถามอย่างระมัดระวังว่า “พระสนม พระองค์เป็นห่วงนายท่านและคุณชายรองใช่ไหมเพคะ”อินชิงเสวียนตอบรับและพูดว่า “ถูกต้อง ท่านพ่อและพี่รองของข้าไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ อีกทั้งคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก ข้ากลัวว่าพวกเขาจะรับมือไม่ไหว”อวิ๋นฉ่ายยิ้มและพูดอย่างไม่ถือสาว่า “พระสนมอย่าได้เป็นกังวลเลยเพคะ นายท่านเริ่มนำกองทัพตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี ผ่านสงครามน้อยใหญ่มานับร้อยครั้ง และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต่อสู้กับเจียงวู จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอนเพคะ”
เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้ที่หายตัวไปมีแต่คนชรางั้นหรือ?”เจวี๋ยอิ่งพูดด้วยความเคารพ “เป็นจริงดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้มีรายงานว่ามีหกเจ็ดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พูดเสียงเรียบว่า “อาจเดินพลัดหลงไป ติดตามดูแนวโน้มของฝ่ายราชการ และหาข้อสรุปที่แน่นอน”“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เมื่อเจวี๋ยอิ่งออกไปแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็อ่านสาส์นกราบทูลต่อ และไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนักตอนนี้ปัญหาเรื่องอาหารได้แก้ไขไปมากกว่าครึ่งแล้ว การถ่ายเทน้ำก็บรรลุผลเบื้องต้นแล้วเช่นกัน ภัยตั๊กแตนและโรคระบาดก็แทบจะหมดสิ้นไปแล้ว สิ่งสำคัญในตอนนี้เหลือเพียงแค่ในเจียงวูและเมืองซุ่ยหานบาดแผลของเย่จั้นก็ฟื้นฟูขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถกลับเมืองซุ่ยหานได้ ขอเพียงอินจ้งสามารถระงับความวุ่นวายทางนั้นได้อย่างราบรื่น ต้าโจวก็จะสงบสุขผู้ส่งสารออกจากเมืองหลวงได้เจ็ดแปดวันแล้ว อินจ้งน่าจะได้รับข่าวที่อินสิงอวิ๋นได้รับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายแล้ว หวังว่าเขาจะสามารถระมัดระวังและป้องกันไม่ให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นได้เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ในใจ แต่มือยังคงไม่หยุดทำงาน เขาอ่านสาส์นกราบทูลทีละฉบับจนหมด เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็จวน
หลังจากนอนหลับสะลึมสะลือไม่นานนัก อินชิงเสวียนก็ถูกอวิ๋นฉ่ายปลุกขึ้นมานางกอดผ้าห่มไว้ไม่อยากตื่น แต่เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนเสนอเรื่องการเรียน จึงไม่อาจถอดใจกลางคันก่อนใครได้จึงทำได้เพียงกัดฟันลุกขึ้นมา เข้าไปแช่น้ำพุวิญญาณในมิติ ตอนที่ออกมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาไปทั่วทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าเย่จิ่งอวี้ก็อดนอนมาทั้งคืน เมื่อครู่เข้าประชุมในราชสำนักคงง่วงนอนแย่ คืนนี้จะเตรียมน้ำพุวิญญาณให้เขาหนึ่งถัง เพื่อขจัดความเหนื่อยล้ามื้อเช้ากินอะไรง่ายๆ จากนั้นก็ออกจากวังพร้อมหลี่ชีและฉินเทียนเมื่อมาถึงสำนักศึกษาหลวง ก็ได้ยินใต้เท้าทั้งหลายกำลังปรึกษาหารือกัน บอกว่าช่วงนี้มีคนแก่หายไปจากเมืองหลวงหลายคนอินชิงเสวียนจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา“เหตุใดคนแก่จึงหายตัวไปได้?”ใต้เท้าโจวส่ายหน้า ลูบเคราแล้วพูดว่า “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนมาที่นี่ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกัน คิดว่าเป็นเรื่องจริง ได้ยินว่ามีคนแจ้งทางการแล้ว”อินชิงเสวียนตกใจมาก หรือว่าเป็นฝีมือของชาวเจียงวูอีกแล้ว ในเมื่อจูอวี้เหยียนชำนาญในการใช้พิษกู่ ไม่แน่ว่านางอาจจะจับคนไปทำการทดลองแต่ทว่าเพียงแค่การจับคน ไม่จำเป็นต้องมาจั
อินชิงเสวียนพยักหน้า และออกจากโรงน้ำชาพร้อมเย่จั้นเมื่อมาถึงหน้าประตู ก็พบเด็กคนหนึ่งในชุดผ้าแพรเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู และเอามือไพล่หลังเมื่อเห็นหน้าตาของเขาชัดเจนแล้ว อินชิงเสวียนจึงคิดในใจว่า สงสัยว่าผู้คนในราชวงศ์ต่างชื่นชอบมาฟังเรื่องซุบซิบที่นี่เด็กผู้ชายตัวน้อยคนนี้ ก็คือฝูอี้อ๋องเย่จิ่งหลานเมื่อเห็นอินชิงเสวียนและเย่จั้น เย่จิ่งหลานก็ตกใจเล็กน้อยรีบน้อมตัวลงและพูดว่า “สวัสดีเสด็จอาสิบสาม สวัสดีเสด็จพี่สะใภ้”ปากเล็กๆ พูดจาค่อนข้างหวานเลยทีเดียวเย่จั้นมองเขาแล้วถามว่า “มาดื่มชางั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานพูดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ วันนี้อากาศดีทีเดียว จึงออกมาเดินเล่น เสด็จอาสิบสามและเสด็จพี่สะใภ้จะกลับแล้วหรือ?”อินชิงเสวียนยิ้มและพูดว่า “ความจริงจะไปเยี่ยมท่าน ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้ว ข้าจะอยู่ต่ออีกหน่อย”เย่จั้นเหลือบมองเขาทั้งสองคน และเกิดความสงสัยในใจทั้งสองคนนี้สนิทสนมกันตั้งแต่เมื่อใด?“เช่นนั้นพวกท่านเชิญตามสบาย แต่รีบกลับด้วยล่ะ”เย่จั้นประสานมือคำนับ ยกชุดคลุมแล้วเดินออกไปอินชิงเสวียนมายังชั้ยสอง และนั่งลงตำแหน่งที่นั่งเดิม“ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เ
อินชิงเสวียนไม่เคยเห็นสิ่งใดในสายตาของเย่จิ่งหลานเพียงแต่เมื่อนึกถึงตัวละครชายที่ข้ามมิติมา ตัวเอกที่เป็นผู้ชายมักมีสูตรโกง ที่จะรวบรวมสี่ทะเลแปดดินแดนอย่างเกรงขาม อินชิงเสวียนจึงไม่มีความมั่นใจสิ่งที่นางต้องการมีเพียงแค่ความสงบสุขในต้าโจว ตราบใดที่เย่จิ่งหลานไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อ หากเขาต้องการสิ่งใด นางจะช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ“เย่จิ่งหลาน ท่านอยากเป็นหมอในต้าโจวจริงๆ งั้นหรือ?”เย่จิ่งหลานยิ้มที่มุมปาก“เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าทำอะไรได้อีกบ้าง?”อินชิงเสวียนพูดไม่ออกในทันที เมื่อลองคิดดูแล้ว พวกเขาสองคนต่างเป็นคนยุคปัจจุบัน มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อมเหมือนคนโบราณ“ข้าคิดว่าพวกผู้ชายอย่างท่านไม่มีความพอใจต่อสิ่งที่มีอยู่ อีกทั้งยังมีใจที่จะเอาชนะโลกนี้ หากท่านต้องการไปขยายอาณาเขตในดินแดนอื่น ข้ายินดีที่จะสนับสนุนอาหารให้จำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นการตอบแทน”เย่จิ่งหลานเหลือบมองอินชิงเสวียนครู่หนึ่ง ยิ้มและถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยิ่งมีใจทะเยอทะยานหรอกหรือ?”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ข้าเชื่อใจท่าน เพราะท่านเคยพูดว่าเราสองคนเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน”เมื่อม
อินชิงเสวียนกำลังหยอกล้อกับเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ในสวน สองวันนี้ไม่มีเรื่องสำคัญอะไร เมื่อกลับมาจากสำนักศึกษาหลวง ก็กลับเข้าวังเลยทันที จึงกลับมาค่อนข้างไวทีเดียวตอนนี้ลูกกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ พูดจารู้ความขึ้นมาก อินชิงเสวียนจึงยอมสละเวลาเพื่ออยู่กับลูกมากขึ้นเด็กคนนี้เติบโตมาด้วยน้ำพุวิญญาณ จะต้องฉลาดกว่าเด็กคนอื่นแน่นอน อินชิงเสวียนอ่านบทกลอนให้เขาฟังทุกวัน จากนั้นก็สอนสัตว์ต่างๆ บนการ์ดให้เขาได้เรียนรู้เพียงแต่ความอดทนของเจ้าเด็กอ้วนมีขีดจำกัด เรียนสักพักยังพอไหว แต่หากเรียนเป็นเวลานานก็จะทำลายข้าวของด้วยความใจร้อนอินชิงเสวียนกำลังแย่งแผ่นการ์ดจากปากของเขา เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามาพอดี“จ้าวเอ๋อร์ยั่วโมโหเสด็จแม่อีกแล้วใช่ไหม?”เดินสาวเท้ามาด้านหน้าเตียงนอน อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่ซุกซนขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงหยิบแผ่นการ์ดในปากออกมาทันที และใส่เข้าปากของเย่จิ่งอวี้“กินกิน”อินชิงเสวียนขำพรวดออกมา“ดูสิว่าลูกชายของท่านกตัญญูมากแค่ไหน เก็บแผ่นการ์ดไว้ให้พ่อของเขาด้วย”เย่จิ่งอวี้ใช้สองนิ้วคีบการ์ดแผ่นนั้นเอาไว้ และลูบลงบนศีรษะของเสี่ยวหนานเฟิง“เสด็จพ่อไม่กิน ขอบใจเจ้ามาก”เสี่ย