ณ สำนักหมอหลวงเย่จั้นฟื้นคืนสติเต็มที่แล้ว อินชิงเสวียนได้ปรุงน้ำแกงที่ใส่น้ำพุวิญญาณให้เขาเป็นพิเศษ ถือเป็นการชดเชยความผิดพลาดของตัวเองน้ำแกงมีรสกลมกล่อมถูกปากมาก เย่จั้นจึงกินได้มาก ซดน้ำแกงไปชามใหญ่ และกินเนื้อไก่ด้วยหลี่เต๋อฝูป้อนอาหารด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าเย่จั้นหยุดกิน เขาก็เก็บชามออกไปเย่จั้นไม่สามารถลุกขึ้นได้ จึงพยักหน้าให้อินชิงเสวียนแทน“ขอบคุณหวงกุ้ยเฟย”อินชิงเสวียนผลิยิ้มบางๆ“ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว”ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคือเย่จิ่งอวี้ที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าครามปกกว้างปักลายเมฆามงคลสีเข้ม สีสะอาดตา ขับเน้นให้ผิวขาวดูราวกับหยก ยิ่งหล่อเหลายิ่งขึ้น“ดูสีหน้าของเสด็จอา เหมือนจะดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา“ดีขึ้นมากจริงๆ ต้องขอบคุณหมอหลวงเหลียงด้วย ถ้าเขาไม่มาช่วย กระหม่อมคงจากฮ่องเต้ไปแล้ว”เย่จั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตเขา และคิดว่าเป็นหมอหลวงเหลียงที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทำการผ่าตัดเพื่อกำจัดกู่ออกจากเขาเย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ“ผู้ที่ช่วยชีวิตเสด็จอาไม่ใช่หมอหลวงเหลียง แต่เป็นเสวียนเอ๋อร์”“โอ้?”เ
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่เคยขอร้องข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากขอรร้องข้า แม้ว่าจะมีความยากลำบากและเสี่ยงอันตรายมากมาย ข้าก็จะช่วยเขาเติมเต็มความปรารถนาของเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่า...ทำไมเสด็จอาถึงอยากสืบหาหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”จู่ๆ อินชิงเสวียนก็นึกถึงอินหลีหลังจากเล่นดนตรีนางหายตัวไป และตอนนี้มีคนมาขโมยพิณ จึงอดปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้แต่เมื่อดูท่าทางของเย่จิ่งอวี้ ดูเหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องนี้เลย“ฝ่าบาทไม่กลัวว่าจะเป็นการไปก่อกวนสำนักสันโดษหรอกหรือ”อินชิงเสวียนถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง“ข้าย่อมไม่ต้องการไปก่อกวนพวกเขาอยู่แล้ว แต่ข้ายิ่งไม่อยากละอายใจต่อเสด็จอา”เย่จิ่งอวี้หยุดชะงัก และกุมมือเล็กๆ ของอินชิงเสวียนไว้ในฝ่ามือของเขา“หากวันหนึ่ง เสวียนเอ๋อร์ต้องการให้ข้าทำอะไรสักอย่าง แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะยอมทำเพื่อเสวียนเอ๋อร์ ถึงตัวตายก็ไม่หวั่น”เมื่อมองดูดวงตาที่ลึกล้ำราวกับทะเลลึกคู่นั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกเหมือนถูกไฟดูด หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำนางหลุบตาลง รอยยิ้มก็ระบายออกมาจากมุมริมฝีปากที่เม้มแน่น“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท
เมื่อเย่จิ่งอวี้เข้ามา เห็นอินชิงเสวียนกำลังอ่านหนังสือภายใต้แสงเทียน ท่าทางดูจริงจังยิ่งนักเพื่อไม่ให้อินชิงเสวียนตกใจ เขากระแอมไอเบาๆ อินชิงเสวียนเงยหน้าที่ขอบตาแดงก่ำขึ้น ก็เห็นเย่จิ่งอวี้ที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูพอหันไปมองเสี่ยวหนานเฟิงดูอีกที เห็นเขากัดกำปั้นเผลอหลับไปแล้ว“อ่านอะไรอยู่ เพลินขนาดนั้นเลยรึ”เย่จิ่งอวี้เดินไปที่เตียง และก้มลงดูอินชิงเสวียนขยี้ตาเบาๆ“เป็นตำราเลี้ยงลูก ซื้อมาจากพ่อค้าก่อนที่จะออกเรือนเพคะ”เย่จิ่งอวี้หยิบหนังสือขึ้นมาและถามอย่างสงสัย “สิ่งนี้ทำมาจากอะไร”ตอนที่อินชิงเสวียนยังเป็นขันทีน้อย เขาสนใจใคร่รู้เจ้าสิ่งที่สามารถบันทึกตัวอักษรเหล่านี้ได้การใช้สิ่งของประเภทนี้จดบันทึกเหตุการณ์น่าจะสะดวกกว่าม้วนไม้ไผ่มากนัก ม้วนใบไผ่อาจดูใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไม่สามารถจดจารตัวอักษรได้มากนักแต่ตำราเล่มเล็กๆ นี้กลับสามารถบันทึกตัวอักษรได้หลายพันคำ ทั้งยังพกพาสะดวก เย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอินชิงเสวียนครุ่นคิดครู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วก็ไม่ยุ่งยากเพคะ ขั้นแรกต้มเปลือกไม้ต้นป่านให้กลายเป็นเยื่อกระดาษ ทิ้งให้เย็น วางบนม
เมื่อมองดูร่างของลูกชายที่ค่อยๆ พร่าเลือนหายไปจากคลองสายตา อันไท่ผินก็ควบคุมตัวเองไม่ได้และร้องไห้ออกมาไม่ว่าวิญญาณที่อยู่ในร่างของเย่จิ่งหลานจะเป็นใคร แต่ร่างกายนี้ก็คือลูกชายของอันไท่ผินลองนึกภาพว่าหากวันหนึ่งตัวเองถูกบังคับให้แยกจากเสี่ยวหนานเฟิง อินชิงเสวียนก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นกันนางเดินเข้าไปช้าๆ จับมือของอันไท่ผิน“อันไท่ผินไม่จำเป็นต้องเสียใจไป ฝูอี้อ๋องเพียงออกจากวัง ไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงแต่อย่างใด หากเขาอยากจะกลับมา ก็สามารถกลับมาเยี่ยมท่านได้ตลอดเวลา”อันไท่ผินสะอื้น เงยหน้าพูดทั้งน้ำตาว่า “หลานเอ๋อร์อายุไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ เขาจะดูแลจวนได้อย่างไร หากพวกบ่าวไพร่รังแกเขาจะทำเช่นไร หวงกุ้ยเฟยช่วยขอความเมตตาจากฝ่าบาทได้หรือไม่ แม้ต้องให้เขาอยู่ต่ออีกสองปีก็ยังดี”อินชิงเสวียนรู้สึกหมดหนทาง ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นลูกชายของท่านที่ขอร้องเช่นนี้เอง จึงได้แต่พยักหน้าพูดว่า “ไท่ผินโปรดวางใจ ข้าจะหาโอกาสพูดคุยเรื่องนี้กับฝ่าบาทเอง”อันไท่ผินโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องขอบใจหวงกุ้ยเหยมากแล้ว”อินชิงเสวียนรีบช่วยประคองนางลุกขึ้นแม้ว่าอันไท่ผินจะมีตำแหน่งอยู่ในขั้นผิ
โหวเหนือได้ก้าวลงจากหอคอยบนกำแพงเมือง และต้อนรับอินจ้งเข้ามาในเมืองกล่าวด้วยถ้อยคำอันเต็มไปด้วยความอบอุ่น“แม่ทัพอินมาถึงที่นี่ได้ นับเป็นโชคดีของด่านถงกู่จริงๆ พวกข้านับคืนนับวันคอยเฝ้ารออยู่ตลอด ในที่สุดแม่ทัพอินก็มาแล้ว”อินจ้งหัวเราะเบาๆ ประกบมือคำนับพูดว่า “โหวเหนือกล่าวเกินไปแล้ว ได้ยินมาว่าเจียงวูรุกโจมตีเร่งด่วน ที่โหวเหนือสามารถปกป้องด่านถงกู่ไว้ได้ ทำให้อินจ้งเคารพเลื่อมใสไม่น้อย”โหวเหนือหัวเราะแห้งๆ“แม่ทัพอินกล่าวยกย่องเกินไปแล้ว ด่านในตอนนี้เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย เราใช้ทุกวิถีทางที่พอจะทำได้แล้ว ถ้าไม่มีการส่งคนมาจากเมืองหลวง เกรงว่าด่านถงกู่ก็อาจจะไม่สามารถป้องกันได้”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงกลองสงครามดังมาแต่ไกลมุมปากของโหวเหนือกระตุก“เอาอีกแล้ว นี่ก็หนึ่งเดือนแล้วที่ชาวเจียงวูส่งกองกำลังออกมาทั้งวันทั้งคืน ทำให้จิตใจของเหล่าทหารระส่ำระสาย ทั้งโดนหลอกให้ยิงธนูไปจนหมด ตอนนี้ดินปืนถูกใช้ไปหมดแล้ว จัดการกับโจรหยาบเหล่านี้ได้ยากยิ่ง”อินจ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในด่านไม่มีแม้แต่ลูกธนูเช่นนั้นหรือ“พวกเราขึ้นไปดูสถานการณ์บนหอคอยก่อนค่อยว่ากัน”อินจ้งออกจากกร
ณ เจียงวูการกลับมาของอาซือหลาน ทำให้ชาวเจียงวูรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษเมื่อเห็นข้าราชบริพารทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาในกระโจมของอาซือหลาน ราชาเผ่าอูเอินก็เผยรอยยิ้มขมขื่นเขาไม่มีความทะเยอทะยานตั้งแต่แรก ถ้าเขาไม่ใช่โอรสสายตรง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ไม่ว่าใครจะถูกฆ่าหรือบาดเจ็บ เขาก็เสียใจไม่แพ้กันแม้แต่ทหารของต้าโจว ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ของพวกเขา หากไม่มีความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจ พวกเขาคงไม่ต้องหลั่งเลือดรดดินแดนนี้เลยแม้ตัวเองจะได้ชื่อว่าเป็นราชาเผ่า แต่ก็ยังเป็นหุ่นเชิดที่ควบคุมโดยผู้อื่น พวกเขาไม่เพียงควบคุมอินสิงอวิ๋นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป่าเล่อเอ่อร์ด้วยเมื่อคิดถึงเด็กในท้องของเป่าเล่อเอ่อร์ อูเอินก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นจูอวี้เหยียนวางยาพิษในอาหารของพวกเขาโดยตลอด ตัวเองรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าน้องเล็กรู้ว่าเด็กไม่สามารถเกิดมาได้ นางคงจะเสียใจอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงตรงนี้ อูเอินก็รู้สึกทั้งเกลียดชังและขุ่นเคืองเขาตัดสินใจพูดคุยดีๆ กับอาซือหลานหากอาซือหลานต้องการบัลลังก์ เขาก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ทุกเมื่อ ตัวเองหวังแค่ว
การต่อสู้ที่เจียงวูกำลังเตรียมพร้อมทางด้านเมืองหลวง สถานการณ์ทุกอย่างยังคงเดิมหลังจากการดูแลรักษาพยาบาลหลายวัน เย่จั้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สามารถเดินบนพื้นได้ได้หลังจากทราบข่าว อินชิงเสวียนก็ส่งน้ำพุวิญญาณสองถังให้เขาไปแช่ตัวทันทีหมอหลวงเหลียงยิ่งสับสนงุนงง“กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องยังไม่หายดี ถ้าบาดแผลถูกน้ำจะไม่อักเสบแน่หรือ”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร หมอหลวงเหลียงจะทำตามที่ข้าบอกก็พอ ข้ารับรองว่าจะไม่มีปัญหาอะไร”“เอ่อ...เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ใครก็ได้ มายกน้ำสองถังนี้เข้าไปหน่อย”เย่จั้นกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เขานอนมาหลายวันแล้ว สมองตื้อไปหมด การได้นั่งเช่นนี้กลับรู้สึกสบายกว่าเขายังกังวลถึงเรื่องสงครามในเมืองซุ่ยหาน เขาเสนอตัวจะออกไปหลายครั้ง แต่ถูกเย่จิ่งอวี้ปฏิเสธ เย่จั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาบ้างเมื่อเห็นขันทีน้อยหลายคนช่วยกันถือถังน้ำขนาดใหญ่สองใบเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่เอามาทำไมรึ”หมอหลวงเหลียงตามเข้ามา และกล่าวว่า “เป็นน้ำที่หวงกุ้ยเฟยส่งมาให้ท่านอ๋องไปอาบพ่ะย่ะค่ะ”เย่จั้นตกตะลึงอ
อินชิงเสวียนยกมือขึ้นปิดหน้าผาก เบิกตากว้างด้วยสีหน้าไร้เดียงสา“ไม่มีเพคะ”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ พูดอย่างมีความสุข “ไม่ก็ไม่ ถือว่าข้าเดาผิดไปเอง”เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงก็รีบชี้ไปที่ตู้หนังสือทันที“เด็กขนาดนี้ก็อยากเรียนหนังสือแล้วรึ”เย่จิ่งอวี้หยิบพู่กันออกมา แล้วส่งให้เสี่ยวหนานเฟิงเสี่ยวหนานเฟิงอ้าปากจะกัด แต่อินชิงเสวียนรีบแย่งออกไปก่อนพูดอย่างค้อนๆ “ฝ่าบาทตามใจเขามากเกินไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเขา”เสี่ยวหนานเฟิงที่ถูกแย่งพู่กันไป แสดงสีหน้าไม่มีความสุข คิ้วเล็กจ้อยขมวดมุ่นทันที“เอา~”เขายื่นมือป้อมๆ ออกมา แล้วกระดกปากสีชมพูนุ่มนิ่มขึ้น ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความจริงจังอินชิงเสวียนตีหลังมือของเขาเบาๆ “ห้ามเอาแต่ใจ”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกเสียใจ มุมปากคว่ำลงทันที ขอบตาแดงก่ำจากการกลั้นน้ำตาเมื่อเห็นว่าลูกชายเสียใจ เย่จิ่งอวี้ก็หยิบพู่กันอีกด้ามออกมากล่าวด้วยสีหน้ารักใคร่ลุ่มหลงว่า “เล่นได้สิ แต่กัดไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”เสี่ยวหนาน