เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น้ำที่สุดยอดเช่นนี้ เกรงว่าคงหามาได้ไม่ง่าย เสวียนเอ๋อร์ต้องทุ่มเทไปไม่น้อย ข้าไม่อยากบังคับนาง”“ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้ว เป็นกระหม่อมที่คิดมักง่าย เพียงแต่...”เย่จั้นหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “กระหม่อมรู้สึกว่าหวงกุ้ยเฟยที่อยู่ตรงหน้า แตกต่างจากลูกสาวที่อินจ้งกล่าวบรรยายไว้...”เย่จั้นรู้ว่าอินชิงเสวียนไม่ใช่คนเลว ดูจากเรื่องที่นางยอมช่วยเหลือตัวเองและเย่จิ่งอวี้ ก็พอจะมองออกได้บ้างอย่างไรก็ตาม ความสงสัยในใจถูกซ่อนไว้มานานแล้ว อดรำพึงรำพันออกไปไม่ได้จริงๆ เย่จิ่งอวี้มองไปยังเย่จั้น แล้วยิ้มบางๆ “ข้าไม่สนใจว่านางเป็นใคร ตราบใดที่นางไม่ทำร้ายข้า ไม่ทำร้ายราษฎรในแผ่นดิน นางยังคงเป็นกุ้ยเฟยของข้าเช่นเดิม”น้ำเสียงของเขาเนิบช้า เขากล่าวเสริมอีกว่า “ข้าก็เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน นางดูแตกต่างจากอินชิงเสวียนคนก่อนอยู่จริง ต่อมาข้าก็คิดได้ บางทีสิ่งที่ดึงดูดข้า อาจเป็นความฉลาดมีไหวพริบมีคุณธรรมนำใจ และความรักอันยิ่งใหญ่ของนาง”เย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาทคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระหม่อมก็ไม่พูดมากกว่านี้”หลังจากกลับมาเมืองหลวง
ท้องฟ้าเริ่มสดใสขึ้น และในที่สุดค่ำคืนอันยาวนานก็สิ้นสุดลงอินชิงเสวียนหลับไปโดยที่ลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำเมื่อมองไปยังสาวน้อยที่ยังมีเหงื่อเกาะพราวที่ปลายจมูก เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกผิดเล็กน้อยแม้ว่าจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงสูญเสียการควบคุม หากครั้งนี้ทำให้นางกลัว ต่อไปหากต้องการใกล้ชิดกันนางอีกก็คงเป็นเรื่องยากเขาอยากอยู่ข้างกายอินชิงเสวียนจริงๆ พอนางลืมตาจะได้เห็นตัวเองทันที แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขายังต้องไปประชุมเช้า ยังมีกิจการบ้านเมืองที่ยังสะสางไม่เสร็จในขณะนี้ จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าเป็นฮ่องเต้โฉดก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากม่านมุ้งสีแดงนุ่มๆหลี่เต๋อฝูถือเสื้อคลุมมังกรรออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานแล้วเมื่อเห็นฝ่าบาทออกมา ขันทีน้อยหลายคนก็เริ่มทำงานกันทันทีมีคนเตรียมน้ำสำหรับชำระล้าง มีคนยกน้ำชามาให้ ส่วนหลี่เต๋อฝูก็พาคนอื่นๆ มาช่วยสวมชุดคลุมมังกรให้เย่จิ่งอวี้ และสวมมาลามงกุฎ หลังจากเร่งมือกันอย่างหนัก ก็ประคองฮ่องเต้ไปยังเกี้ยวพระที่นั่งมังกรเสียงขานเคลื่อนขบวนเสด็จดังขึ้น เย่จ
ณ ด่านถงกู่หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน เหล่าทหารก็ฟื้นกำลังวังชาได้พอควรแล้วในตอนเช้าตรู่ อินจ้งขึ้นไปที่ด่าน โดยที่ถือของแปลกๆ ไว้ในมือโหวเหนือติดตามอินจ้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ท่านแม่ทัพ นี่คือสิ่งใด”อินจ้งหัวเราะเบาๆ “นี่เรียกว่ากล้องส่องทางไกล มันเป็นสมบัติหายากที่ลูกสาวของข้ารวบรวมได้มาจากชาวบ้าน สามารถมองเห็นได้ไกล แม้ในความมืดก็มองเห็นได้ชัดเจน”อินชิงเสวียนได้ฝากคนส่งของสิ่งนี้กลับมายังจวนตระกูลอิน ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อมีสิ่งนี้ ก็สามารถสังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้ชัดขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่โหวเหนือได้เห็นสิ่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะอยากลองเมื่อเห็นดังนี้ อินจ้งก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้เขา โหวเหนือก็มองไปในระยะไกล แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ชาญฉลาดเช่นนี้ มองสถานที่ไกลๆ ก็เหมือนว่าอยู่ใกล้”อินจ้งยิ้ม แล้วรับกล้องส่องทางไกลกลับคืน“เหล่าทหารก็พักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ข้าเตรียมที่จะนำทหารออกรบในคืนนี้ ไม่ทราบว่าท่านโหวคิดว่าอย่างไร”โหวเหนือกลอกตาล่อกแล่ก พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ทหารม้าที่ท่านแม่ทัพนำขบวนมาก็สามารถออกไปได้ แต่พวกพ้องห้า
ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดกระโตกกระตากคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าทางเจียงวูจะยึดเมืองหนึ่งได้ แต่พวกเขายังคงคุ้นเคยกับการพักอาศัยอยู่ในกระโจม มีทหารเพียงไม่กี่คนที่คอยอารักขาเมือง ในความเห็นของพวกเขา ทหารม้าที่ด่านถงกู่ต่างหวาดกลัวไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องป้องกันอะไรมากนักเมื่อทุกคนเข้าใกล้เมืองถึงครึ่งลี้ ม้าส่วนหนึ่งก็หยุดลง ในขณะที่ส่วนหนึ่งเร่งความเร็วและบุกเข้าไปในเมืองทั้งคนและม้าเหล่านี้รวดเร็วมาก กระทั่งทหารที่อารักขาเมืองชาวเจียงวูยังไม่ทันได้ตอบโต้ คนเหล่านี้มาถึงด้านล่างของเมืองแล้วทุกคนหยิบวัตถุสีเข้มออกมาจากแขนเสื้อ แล้วโยนขึ้นไปที่กำแพงเมือง แล้วคนต่างปีนขึ้นไปตามเชือกอย่างรวดเร็วสิ่งนี้เรียกว่าตะขอบิน เป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนผลิตขึ้นให้อินปู้อวี่ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่คนที่ใช้มันล้วนต้องเป็นคนที่มีกำลังแขนแข็งแรง โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีการยิงพลาดเหล่าทหารรักษาเมืองต่างลนลานไปหยิบธนูและลูกธนู ในชั่วพริบตา อินปู้อวี่ก็พากลุ่มคนปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง และตวัดดาบใส่พวกเขาจนล้มระเนระนาดครั้นเห็นของสิ่งนี้มีประโยชน์มาก กวนเซี่ยวก็อดตื่นเต้นยินด
ณ เจียงวูอาซือหลานกลับมาที่กระโจม ใบหน้าอันหล่อเหลามีสีหน้าเคลือบคลุมไม่แน่นอนจูอวี้เหยียนเดินนวยนาดเข้ามาจากประตู“หรือว่าที่สถานการณ์การสู้รบไม่ดีสำหรับเรา”อาซือหลานกล่าวว่า “อินจ้งมาถึงด่านถงกู่แล้ว จะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเป็นแน่ คนผู้นี้ต่อสู้กับเจียงวูมาหลายครั้ง คุ้นเคยกับนิสัยการศึกของเจียงวูมาก หากต้องการเอาชนะเขา ต้องใช้กองทัพที่คาดไม่ถึง”จูอวี้เหยียนกระตุกมุมปากขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเตรียมกองทัพที่คาดไม่ถึงมานานแล้วไม่ใช่หรือ ข้ารับรองว่าถ้าบอกให้อินสิงอวิ๋นไปทางใด เขาจะไม่มีวันไปอีกทาง”อาซือหลานโอบแขนรอบเอวบาง ก้มศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กู่ของเจ้าร้ายกาจก็จริง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้มัน”จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึและพูดว่า “หรือว่าที่ท่านอ๋องเห็นเขาเป็นว่าที่พี่ชายของภรรยา ถึงตัดใจให้เขาตายไม่ได้”อาซือหลานกล่าวว่า “เขาไม่ใช่อินชิงเสวียนเสียหน่อย ทำไมข้าต้องตัดใจไม่ลง เพียงแค่ยังไม่สบโอกาสเหมาะ สิ่งที่ข้าต้องการคือชีวิตของอินจ้ง ไม่ใช่แค่ชัยชนะง่ายๆ”จูอวี้เหยียนหัวเราะเบาๆ อิงแอบในอ้อมแขนของอาซือหลาน“ท่านอ๋องโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ท
เช้าวันต่อมาเมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็จากไปแล้วเมื่อมองดูผ้าห่มที่พันรอบตัวนางอย่างแน่นหนา อินชิงเสวียนก็พูดไม่ออก เมื่อคืนนี้ตัวเองคงแย่งผ้าห่มจากเขาอีกแล้วสินะตอนนี้ก็เกือบเดือนสิบแล้ว แม้กลางวันจะร้อน แต่กลางคืนกลับเย็น ถึงไม่ได้ห่มผ้าก็ยังรู้สึกหนาวเย่จิ่งอวี้จะนอนเตียงเดียวกับนาง ต้องลำบากเขาแล้วอินชิงเสวียนก็อยากเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเช่นกัน แต่พอนอนหลับแล้ว นางจะคุมตัวเองได้อย่างไร นางก็จนปัญญาจริงๆหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็แลกผ้านวมผ้าไหมคู่ขนาดใหญ่จากมิติ ทั้งยังให้นางกำนัลทำปลอกผ้านวม เพื่อป้องกันไม่ให้เย่จิ่งอวี้ถูกดึงผ้าห่มออกในเวลากลางคืนเมื่อก่อนเคยลังเลที่จะใช้คะแนน เพราะอยากเก็บให้ถึงถึง 100,000 คะแนนเพื่อซื้อปืนพกมาเก็บไว้ ตอนนี้ทั้งแลกเนื้อวัว สุรา กล้องส่องทางไกล และสิ่งของอื่นๆ ทั้งยังใช้แลกของเล็กๆ น้อยๆ ไว้มากอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะทำย่างไรคะแนนก็ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงทุบหม้อหม้อมข้าวโยนทิ้งทั้งอย่างนั้นสิ่งเดียวที่เสียดายคือ พอได้พิณการเวกมาอยู่ในมือแล้ว แต่กลับไม่มีปัญญาบรรเลงให้เป็นบท
เมื่ออินชิงเสวียนกลับไปที่ตำหนักจินหวู ก็เกือบจะมืดแล้วเสี่ยวหนานเฟิงที่ไปเที่ยวเล่นมาเกือบทั้งวันก็ดูท่าทางจะเหนื่อยเล็กน้อย เขาดื่มนมชงไปครึ่งขวดแล้วหลับไปทั้งๆ ที่กัดกำปั้นน้อยอยู่ยายหลี่อุ้มเด็กไปนอนที่ห้องโถงด้านข้าง อินชิงเสวียนรู้สึกว่างหน่อย นางจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเกมพักผ่อนสมองสักพักในขณะกำลังเล่นอย่างสนุกอยู่นั้น หลี่เต๋อฝูก็เดินเข้ามาจากด้านนอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “พระสนม ฝ่าบาทกำลังดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องสิบสาม จึงส่งกระหม่อมให้มารายงานที่นี่ว่า หากดึกมากเกินไป พระองค์จะไม่มารบกวนพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนยิ้ม “อืม ข้าทราบแล้ว”“เช่นนั้นกระหม่อมต้องทูลลา”หลี่เต๋อฝูโค้งคำนับ และออกจากห้องโถงกลางขณะที่เขาจากไป จู่ๆ อินชิงเสวียนก็เกิดความเหงาในใจเมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่ชอบเย่จิ่งอวี้ นางเล่นสนุกสนานทุกวัน ตอนนี้นางเริ่มมีความรู้สึกต่อเขาแล้ว ก็รู้สึกกังวลว่าจะไม่ได้ครอบครอบ พอได้ครอบครองก็กลัวว่าจะสูญเสียเขาไปซึ่งความคิดนี้ทำให้อินชิงเสวียนตกใจ ถ้าขืนนางยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงเป็นโรคความรักขึ้นสมองกระมังนางไม่อยากเป็นแบบนั้น นางต้อ
“นังสารเลว? ส่งเสียงร้องโหยหวน? นี่หมายความว่าอย่างไร”อินชิงเสวียนถามอย่างไม่เข้าใจซูฉ่ายเวยเม้มริมฝีปากพูดว่า “ก็หญิงแซ่สวีนั่นอย่างไร วันๆ ที่อยู่ในวังเย็นเอาแต่ร้องเพลงอยู่เช่นนั้น คงคิดว่าจะใช้วิธีนี้ดึงดูดฝ่าบาทล่ะสิ น่าเสียดายที่แม้ว่านางจะร้องเพลงจนคอแตก ฝ่าบาทก็ไม่แม้แต่จะมองดูนาง”จิ๊ๆ หญิงแซ่สวีนี่ยังไม่เลิกคิดอกุศลสินะ“นางเอาแต่ร้องเพลงในวังเย็นทั้งวันงั้นหรือ”ซูฉ่ายเวยพูดด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน “ก็ใช่น่ะสิ ร้องเพลงตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเที่ยงคืนทุกวัน หอฉงฮวาของข้าอยู่ใกล้กับวังเย็นมาก ถึงไม่อยากฟังก็ยังได้ยิน น่ารำคาญจริงๆ”“นางก็ช่างหยัดยืนจริงๆ เสียงไม่แหบแห้งไปหมดแล้วหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยสีหน้าพูดไม่ออก“ถ้าเสียงไม่แหบมาก นางก็ร้องเพลงต่อ ถ้าเสียงแหบหนักเข้า นางก็หยุดพักหนึ่งวัน น่าเสียดาย ประตูวังเย็นลงสลักไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าอยากจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ให้รู้แล้วรู้รอดไปจริงๆ” ในช่วงนี้ ซูฉ่ายเวยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก พอพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเกลียดสวีจือย่วนจนทนไม่ไหว “นางแค่เพิ่งมีความคิดเช่นนี้ พอนางอยู่ในวังเย็นไปอีกสามเดือน ก็จะสิ้นหวังไปเอง ไ
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง