ณ เจียงวูอาซือหลานกลับมาที่กระโจม ใบหน้าอันหล่อเหลามีสีหน้าเคลือบคลุมไม่แน่นอนจูอวี้เหยียนเดินนวยนาดเข้ามาจากประตู“หรือว่าที่สถานการณ์การสู้รบไม่ดีสำหรับเรา”อาซือหลานกล่าวว่า “อินจ้งมาถึงด่านถงกู่แล้ว จะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดเป็นแน่ คนผู้นี้ต่อสู้กับเจียงวูมาหลายครั้ง คุ้นเคยกับนิสัยการศึกของเจียงวูมาก หากต้องการเอาชนะเขา ต้องใช้กองทัพที่คาดไม่ถึง”จูอวี้เหยียนกระตุกมุมปากขึ้น แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเตรียมกองทัพที่คาดไม่ถึงมานานแล้วไม่ใช่หรือ ข้ารับรองว่าถ้าบอกให้อินสิงอวิ๋นไปทางใด เขาจะไม่มีวันไปอีกทาง”อาซือหลานโอบแขนรอบเอวบาง ก้มศีรษะลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กู่ของเจ้าร้ายกาจก็จริง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้มัน”จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึและพูดว่า “หรือว่าที่ท่านอ๋องเห็นเขาเป็นว่าที่พี่ชายของภรรยา ถึงตัดใจให้เขาตายไม่ได้”อาซือหลานกล่าวว่า “เขาไม่ใช่อินชิงเสวียนเสียหน่อย ทำไมข้าต้องตัดใจไม่ลง เพียงแค่ยังไม่สบโอกาสเหมาะ สิ่งที่ข้าต้องการคือชีวิตของอินจ้ง ไม่ใช่แค่ชัยชนะง่ายๆ”จูอวี้เหยียนหัวเราะเบาๆ อิงแอบในอ้อมแขนของอาซือหลาน“ท่านอ๋องโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ ท
เช้าวันต่อมาเมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้ก็จากไปแล้วเมื่อมองดูผ้าห่มที่พันรอบตัวนางอย่างแน่นหนา อินชิงเสวียนก็พูดไม่ออก เมื่อคืนนี้ตัวเองคงแย่งผ้าห่มจากเขาอีกแล้วสินะตอนนี้ก็เกือบเดือนสิบแล้ว แม้กลางวันจะร้อน แต่กลางคืนกลับเย็น ถึงไม่ได้ห่มผ้าก็ยังรู้สึกหนาวเย่จิ่งอวี้จะนอนเตียงเดียวกับนาง ต้องลำบากเขาแล้วอินชิงเสวียนก็อยากเป็นคนสุภาพเรียบร้อยเช่นกัน แต่พอนอนหลับแล้ว นางจะคุมตัวเองได้อย่างไร นางก็จนปัญญาจริงๆหลังจากชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็แลกผ้านวมผ้าไหมคู่ขนาดใหญ่จากมิติ ทั้งยังให้นางกำนัลทำปลอกผ้านวม เพื่อป้องกันไม่ให้เย่จิ่งอวี้ถูกดึงผ้าห่มออกในเวลากลางคืนเมื่อก่อนเคยลังเลที่จะใช้คะแนน เพราะอยากเก็บให้ถึงถึง 100,000 คะแนนเพื่อซื้อปืนพกมาเก็บไว้ ตอนนี้ทั้งแลกเนื้อวัว สุรา กล้องส่องทางไกล และสิ่งของอื่นๆ ทั้งยังใช้แลกของเล็กๆ น้อยๆ ไว้มากอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะทำย่างไรคะแนนก็ไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอินชิงเสวียนจึงทุบหม้อหม้อมข้าวโยนทิ้งทั้งอย่างนั้นสิ่งเดียวที่เสียดายคือ พอได้พิณการเวกมาอยู่ในมือแล้ว แต่กลับไม่มีปัญญาบรรเลงให้เป็นบท
เมื่ออินชิงเสวียนกลับไปที่ตำหนักจินหวู ก็เกือบจะมืดแล้วเสี่ยวหนานเฟิงที่ไปเที่ยวเล่นมาเกือบทั้งวันก็ดูท่าทางจะเหนื่อยเล็กน้อย เขาดื่มนมชงไปครึ่งขวดแล้วหลับไปทั้งๆ ที่กัดกำปั้นน้อยอยู่ยายหลี่อุ้มเด็กไปนอนที่ห้องโถงด้านข้าง อินชิงเสวียนรู้สึกว่างหน่อย นางจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเกมพักผ่อนสมองสักพักในขณะกำลังเล่นอย่างสนุกอยู่นั้น หลี่เต๋อฝูก็เดินเข้ามาจากด้านนอกกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “พระสนม ฝ่าบาทกำลังดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องสิบสาม จึงส่งกระหม่อมให้มารายงานที่นี่ว่า หากดึกมากเกินไป พระองค์จะไม่มารบกวนพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนยิ้ม “อืม ข้าทราบแล้ว”“เช่นนั้นกระหม่อมต้องทูลลา”หลี่เต๋อฝูโค้งคำนับ และออกจากห้องโถงกลางขณะที่เขาจากไป จู่ๆ อินชิงเสวียนก็เกิดความเหงาในใจเมื่อก่อนตอนที่นางยังไม่ชอบเย่จิ่งอวี้ นางเล่นสนุกสนานทุกวัน ตอนนี้นางเริ่มมีความรู้สึกต่อเขาแล้ว ก็รู้สึกกังวลว่าจะไม่ได้ครอบครอบ พอได้ครอบครองก็กลัวว่าจะสูญเสียเขาไปซึ่งความคิดนี้ทำให้อินชิงเสวียนตกใจ ถ้าขืนนางยังเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงเป็นโรคความรักขึ้นสมองกระมังนางไม่อยากเป็นแบบนั้น นางต้อ
“นังสารเลว? ส่งเสียงร้องโหยหวน? นี่หมายความว่าอย่างไร”อินชิงเสวียนถามอย่างไม่เข้าใจซูฉ่ายเวยเม้มริมฝีปากพูดว่า “ก็หญิงแซ่สวีนั่นอย่างไร วันๆ ที่อยู่ในวังเย็นเอาแต่ร้องเพลงอยู่เช่นนั้น คงคิดว่าจะใช้วิธีนี้ดึงดูดฝ่าบาทล่ะสิ น่าเสียดายที่แม้ว่านางจะร้องเพลงจนคอแตก ฝ่าบาทก็ไม่แม้แต่จะมองดูนาง”จิ๊ๆ หญิงแซ่สวีนี่ยังไม่เลิกคิดอกุศลสินะ“นางเอาแต่ร้องเพลงในวังเย็นทั้งวันงั้นหรือ”ซูฉ่ายเวยพูดด้วยสีหน้าสะอิดสะเอียน “ก็ใช่น่ะสิ ร้องเพลงตั้งแต่เช้าตรู่ถึงเที่ยงคืนทุกวัน หอฉงฮวาของข้าอยู่ใกล้กับวังเย็นมาก ถึงไม่อยากฟังก็ยังได้ยิน น่ารำคาญจริงๆ”“นางก็ช่างหยัดยืนจริงๆ เสียงไม่แหบแห้งไปหมดแล้วหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยสีหน้าพูดไม่ออก“ถ้าเสียงไม่แหบมาก นางก็ร้องเพลงต่อ ถ้าเสียงแหบหนักเข้า นางก็หยุดพักหนึ่งวัน น่าเสียดาย ประตูวังเย็นลงสลักไว้อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าอยากจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ให้รู้แล้วรู้รอดไปจริงๆ” ในช่วงนี้ ซูฉ่ายเวยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนัก พอพูดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเกลียดสวีจือย่วนจนทนไม่ไหว “นางแค่เพิ่งมีความคิดเช่นนี้ พอนางอยู่ในวังเย็นไปอีกสามเดือน ก็จะสิ้นหวังไปเอง ไ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของอินชิงเสวียน หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็เต้นรัว จับมือน้อยที่อบอุ่นอ่อนโยนนั้นไว้“เจ้าทำเพื่อข้ามากมาย ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้าผิดหวัง”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ และพูดว่า “เมื่อฝ่าบาทจะไม่ทำให้หม่อมฉันผิดหวัง หม่อมฉันก็จะไม่ทำให้ฝ่าบาทผิดหวังเช่นกันเพคะ”เย่จิ่งอวี้ยกมือที่ขาวเนียนละเอียดขึ้นมาจรดริมฝีปากของเขา จุมพิตเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้ารักลึกซึ้ง “เช่นนั้นพวกเราก็ได้สัญญากันแล้ว ร้อยปีก็ไม่เปลี่ยน”ครั้นมองไปยังดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังคู่นั้น อินชิงเสวียนก็หัวเราะคิกคัก“เหตุใดถึงพูดเหมือนกำลังเล่นพ่อแม่ลูกอยู่เลย รีบกินตอนร้อนเถอะเพคะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น พูดอย่างดื้อรั้น “ เจ้าต้องรับปากกับข้าก่อน”อินชิงเสวียนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “เพคะ หม่อมฉันรับปาก ร้อยปีก็ไม่เปลี่ยน เท่านี้คงพอใจแล้วกระมัง”เย่จิ่งอวี้หยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างมีความสุข พอกินได้สองคำ แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าได้บอกจอมพลเฒ่ากวนเกี่ยวกับโรงเรียนสอนการต่อสู้แล้ว เขาเห็นด้วยกับความคิดของเสวียนเอ๋อร์มาก สองวันนี้เลือกสถานที่ในเมืองหลวงได้แล้ว เมื่อก
ทันทีที่กวนเซี่ยวโพล่งขึ้น ทุกคนก็ถลึงตามองด้วยความโกรธทันที“เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าดีอย่างไรมาสั่งสอนพวกเรา เชื่อหรือไม่พวกเราอาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้าอีก”“อย่าคิดว่าเพียงเพราะเจ้าติดตามแม่ทัพอิน แล้วจะมาสำคัญตัวเองเช่นนี้ อย่างเจ้าไม่มีค่าอะไรด้วยซ้ำ”“ใช่แล้ว เป็นแค่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ยังกล้าคุยเรื่องปกป้องบ้านเมืองกับพวกเรา ตอนที่เราอยู่ในสงคราม ไม่รู้ว่าเจ้ายังเป็นวุ้นอยู่ในท้องของสตรีผู้ใดอยู่”แม่ทัพเหล่านี้พูดฉอดๆ คนละประโยคสองประโยค พวกเขาไม่กล้ามุ่งเป้าไปที่อินจ้ง แต่กลับไม่เห็นกวนเซี่ยวอยู่ในสายตาในสายตาของพวกเขา กวนเซี่ยวเป็นเพียงขุนพลน้อยที่ฝ่าบาทเรียกให้มาร่วมกองทัพเท่านั้น คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร“จริงอยู่ที่กวนเซี่ยวไม่เคยต่อสู้ในสงคราม แต่จอมพลเฒ่ากวนและแม่ทัพใหญ่กวนต่างก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยสนาม ไม่เคยได้ยินรึว่าพ่อเสือไม่ให้กำเนิดลูกหมา แม่ทัพทั้งหลายกล่าวหาเขาเช่นนี้ ค่อนข้างด่วนตัดสินเกินไปแล้วกระมัง”น้ำเสียงของอินจ้งแผ่วเบา แต่ทันทีที่เสียงนั้นเปล่งออกไป กลับเป็นเหมือนอสุนีบาตที่ฟาดเปรี้ยงทั้งๆ ที่ลมฝนสงบ ทำให้ทุกคนตกตะลึง
สีหน้าท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนไปทันตา“แม่ทัพอิน ท่านอย่าเหิมเกริมนัก”อินจ้งหยิบป้ายทองอาญาสิทธิ์ออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้รับคำสั่งให้รักษาชายแดนและยึดดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืน สามารถประหารก่อนค่อยทูลรายงานได้ ทหาร มาจับตัวแม่ทัพเหล่านี้ ประหารทันทีไม่มีการยกโทษ”ทหารจากเมืองหลวงก็รุมจับคนเหล่านั้นทันที เหลือเพียงเหลียงอันไท่คนเดียวเหลียงอันไท่ตัวสั่นด้วยความกลัว ขาสั่นพั่บๆ โชคดีที่เมื่อครู่คัวเองเพิ่งบอกว่าจะส่งทหารไป ไม่เช่นนั้นคงมีจุดจบเช่นกันคนที่เหลือเห็นดังนั้นก็รีบร้องขอความเมตตา แต่ก็ถูกลากลงจากกำแพงเมืองแล้วเสียงกรีดร้องระงม ครั้นแล้วแม่ทัพทั้งสี่ก็ถูกตัดศีรษะทันทีทหารทั้งหมดได้มาอยู่ภายใต้คำสั่งของอินจ้ง ไม่มีผู้ใดบ่นคำใดอีก กวนเซี่ยวจึงเข้าใจเจตนาของอินจ้ง เขาไม่ได้แสดงความเมตตา หากแต่ทำเพื่อให้ได้ใจของเหล่าทหารตอนนี้กองทัพมีใจไปทิศทางเดียวกัน มีขวัญกำลังใจเข้มแข็ง หากส่งทหารออกไปทำศึกอีกครั้ง จะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวอย่างแน่นอนหลังจากนั้นอินจ้งได้เลื่อนตำแหน่งจังเถี่ยและสวีเหลียง ให้ทั้งสองเป็นแม่ทัพรักษาเมืองชั่วคราว
อินชิงเสวียนเอามือไพล่หลังพูดว่า “สัญลักษณ์นี้เรียกว่าตัวเอ็กซ์ ซึ่งหมายถึงตัวแปรที่ไม่ทราบค่า ซึ่งนี่ก็คือสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวในคณิตศาสตร์”“ตัวเอ็กซ์? ทำไมชื่อถึงดูแปลกๆ”บัณฑิตเฒ่าไม่เข้าใจฉางเฮ่อไหลก็เดินมาหาด้วย“ใช่ๆ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แล้วตัวแปรที่ไม่ทราบค่าคืออะไร”แล้วอินชิงเสวียนก็อธิบายให้ทุกคนฟังทันที พร้อมกับหาโจทย์ง่ายๆ สองสามข้อ มาแสดงวิธีทำและหาคำตอบโดยใช้สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียวแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนอายุน้อย แต่ในด้านวิชาการ พวกเขาเป็นผู้ที่เก่งที่สุดในแคว้น แค่มองแวบเดียวก็เข้าใจแล้ว“ไม่นึกว่าโจทย์เลขจะแก้ด้วยวิธีนี้ได้ด้วย”“ใช่ ง่ายกว่าวิธีการคำนวณแบบตั้งเดิมมาก”“วิเศษจริงๆ คิดไม่ถึงว่าอาจารย์อินที่อายุยังน้อย จะมีความรู้มากมายเพียงนี้ ข้าเทียบไม่ได้เลย”เหล่าบัณฑิตเฒ่าต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน แล้วอินชิงเสวียนก็สอนเรื่องการหาค่าพื้นที่ของรูปลักษณะต่าง รวมถึงจำนวนบวกและลบ คณิตศาสตร์เชิงตรรกะ และสมการกำลังสองเป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้พื้นฐานตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมต้น แต่เสียดายที่บัณฑิตเฒ่าเหล่านี้ไม่สามารถรับความรู้มากมายได้