โหวเหนือได้ก้าวลงจากหอคอยบนกำแพงเมือง และต้อนรับอินจ้งเข้ามาในเมืองกล่าวด้วยถ้อยคำอันเต็มไปด้วยความอบอุ่น“แม่ทัพอินมาถึงที่นี่ได้ นับเป็นโชคดีของด่านถงกู่จริงๆ พวกข้านับคืนนับวันคอยเฝ้ารออยู่ตลอด ในที่สุดแม่ทัพอินก็มาแล้ว”อินจ้งหัวเราะเบาๆ ประกบมือคำนับพูดว่า “โหวเหนือกล่าวเกินไปแล้ว ได้ยินมาว่าเจียงวูรุกโจมตีเร่งด่วน ที่โหวเหนือสามารถปกป้องด่านถงกู่ไว้ได้ ทำให้อินจ้งเคารพเลื่อมใสไม่น้อย”โหวเหนือหัวเราะแห้งๆ“แม่ทัพอินกล่าวยกย่องเกินไปแล้ว ด่านในตอนนี้เต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย เราใช้ทุกวิถีทางที่พอจะทำได้แล้ว ถ้าไม่มีการส่งคนมาจากเมืองหลวง เกรงว่าด่านถงกู่ก็อาจจะไม่สามารถป้องกันได้”ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงกลองสงครามดังมาแต่ไกลมุมปากของโหวเหนือกระตุก“เอาอีกแล้ว นี่ก็หนึ่งเดือนแล้วที่ชาวเจียงวูส่งกองกำลังออกมาทั้งวันทั้งคืน ทำให้จิตใจของเหล่าทหารระส่ำระสาย ทั้งโดนหลอกให้ยิงธนูไปจนหมด ตอนนี้ดินปืนถูกใช้ไปหมดแล้ว จัดการกับโจรหยาบเหล่านี้ได้ยากยิ่ง”อินจ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย ในด่านไม่มีแม้แต่ลูกธนูเช่นนั้นหรือ“พวกเราขึ้นไปดูสถานการณ์บนหอคอยก่อนค่อยว่ากัน”อินจ้งออกจากกร
ณ เจียงวูการกลับมาของอาซือหลาน ทำให้ชาวเจียงวูรู้สึกคึกคักเป็นพิเศษเมื่อเห็นข้าราชบริพารทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาในกระโจมของอาซือหลาน ราชาเผ่าอูเอินก็เผยรอยยิ้มขมขื่นเขาไม่มีความทะเยอทะยานตั้งแต่แรก ถ้าเขาไม่ใช่โอรสสายตรง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มานั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ ไม่ว่าใครจะถูกฆ่าหรือบาดเจ็บ เขาก็เสียใจไม่แพ้กันแม้แต่ทหารของต้าโจว ก็ถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ของพวกเขา หากไม่มีความขัดแย้งระหว่างสองขั้วอำนาจ พวกเขาคงไม่ต้องหลั่งเลือดรดดินแดนนี้เลยแม้ตัวเองจะได้ชื่อว่าเป็นราชาเผ่า แต่ก็ยังเป็นหุ่นเชิดที่ควบคุมโดยผู้อื่น พวกเขาไม่เพียงควบคุมอินสิงอวิ๋นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเป่าเล่อเอ่อร์ด้วยเมื่อคิดถึงเด็กในท้องของเป่าเล่อเอ่อร์ อูเอินก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นจูอวี้เหยียนวางยาพิษในอาหารของพวกเขาโดยตลอด ตัวเองรู้อยู่เต็มอกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าน้องเล็กรู้ว่าเด็กไม่สามารถเกิดมาได้ นางคงจะเสียใจอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงตรงนี้ อูเอินก็รู้สึกทั้งเกลียดชังและขุ่นเคืองเขาตัดสินใจพูดคุยดีๆ กับอาซือหลานหากอาซือหลานต้องการบัลลังก์ เขาก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ทุกเมื่อ ตัวเองหวังแค่ว
การต่อสู้ที่เจียงวูกำลังเตรียมพร้อมทางด้านเมืองหลวง สถานการณ์ทุกอย่างยังคงเดิมหลังจากการดูแลรักษาพยาบาลหลายวัน เย่จั้นก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สามารถเดินบนพื้นได้ได้หลังจากทราบข่าว อินชิงเสวียนก็ส่งน้ำพุวิญญาณสองถังให้เขาไปแช่ตัวทันทีหมอหลวงเหลียงยิ่งสับสนงุนงง“กุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ อาการบาดเจ็บของท่านอ๋องยังไม่หายดี ถ้าบาดแผลถูกน้ำจะไม่อักเสบแน่หรือ”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร หมอหลวงเหลียงจะทำตามที่ข้าบอกก็พอ ข้ารับรองว่าจะไม่มีปัญหาอะไร”“เอ่อ...เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ใครก็ได้ มายกน้ำสองถังนี้เข้าไปหน่อย”เย่จั้นกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เขานอนมาหลายวันแล้ว สมองตื้อไปหมด การได้นั่งเช่นนี้กลับรู้สึกสบายกว่าเขายังกังวลถึงเรื่องสงครามในเมืองซุ่ยหาน เขาเสนอตัวจะออกไปหลายครั้ง แต่ถูกเย่จิ่งอวี้ปฏิเสธ เย่จั้นไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลาบ้างเมื่อเห็นขันทีน้อยหลายคนช่วยกันถือถังน้ำขนาดใหญ่สองใบเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่เอามาทำไมรึ”หมอหลวงเหลียงตามเข้ามา และกล่าวว่า “เป็นน้ำที่หวงกุ้ยเฟยส่งมาให้ท่านอ๋องไปอาบพ่ะย่ะค่ะ”เย่จั้นตกตะลึงอ
อินชิงเสวียนยกมือขึ้นปิดหน้าผาก เบิกตากว้างด้วยสีหน้าไร้เดียงสา“ไม่มีเพคะ”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ พูดอย่างมีความสุข “ไม่ก็ไม่ ถือว่าข้าเดาผิดไปเอง”เขาเอื้อมมือออกไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงขึ้นมา เสี่ยวหนานเฟิงก็รีบชี้ไปที่ตู้หนังสือทันที“เด็กขนาดนี้ก็อยากเรียนหนังสือแล้วรึ”เย่จิ่งอวี้หยิบพู่กันออกมา แล้วส่งให้เสี่ยวหนานเฟิงเสี่ยวหนานเฟิงอ้าปากจะกัด แต่อินชิงเสวียนรีบแย่งออกไปก่อนพูดอย่างค้อนๆ “ฝ่าบาทตามใจเขามากเกินไปแล้ว”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรต่อจากนี้ไปทั้งหมดนี้ก็จะเป็นของเขา”เสี่ยวหนานเฟิงที่ถูกแย่งพู่กันไป แสดงสีหน้าไม่มีความสุข คิ้วเล็กจ้อยขมวดมุ่นทันที“เอา~”เขายื่นมือป้อมๆ ออกมา แล้วกระดกปากสีชมพูนุ่มนิ่มขึ้น ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความจริงจังอินชิงเสวียนตีหลังมือของเขาเบาๆ “ห้ามเอาแต่ใจ”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็รู้สึกเสียใจ มุมปากคว่ำลงทันที ขอบตาแดงก่ำจากการกลั้นน้ำตาเมื่อเห็นว่าลูกชายเสียใจ เย่จิ่งอวี้ก็หยิบพู่กันอีกด้ามออกมากล่าวด้วยสีหน้ารักใคร่ลุ่มหลงว่า “เล่นได้สิ แต่กัดไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”เสี่ยวหนาน
เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น้ำที่สุดยอดเช่นนี้ เกรงว่าคงหามาได้ไม่ง่าย เสวียนเอ๋อร์ต้องทุ่มเทไปไม่น้อย ข้าไม่อยากบังคับนาง”“ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้ว เป็นกระหม่อมที่คิดมักง่าย เพียงแต่...”เย่จั้นหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “กระหม่อมรู้สึกว่าหวงกุ้ยเฟยที่อยู่ตรงหน้า แตกต่างจากลูกสาวที่อินจ้งกล่าวบรรยายไว้...”เย่จั้นรู้ว่าอินชิงเสวียนไม่ใช่คนเลว ดูจากเรื่องที่นางยอมช่วยเหลือตัวเองและเย่จิ่งอวี้ ก็พอจะมองออกได้บ้างอย่างไรก็ตาม ความสงสัยในใจถูกซ่อนไว้มานานแล้ว อดรำพึงรำพันออกไปไม่ได้จริงๆ เย่จิ่งอวี้มองไปยังเย่จั้น แล้วยิ้มบางๆ “ข้าไม่สนใจว่านางเป็นใคร ตราบใดที่นางไม่ทำร้ายข้า ไม่ทำร้ายราษฎรในแผ่นดิน นางยังคงเป็นกุ้ยเฟยของข้าเช่นเดิม”น้ำเสียงของเขาเนิบช้า เขากล่าวเสริมอีกว่า “ข้าก็เคยสงสัยเรื่องนี้มาก่อน นางดูแตกต่างจากอินชิงเสวียนคนก่อนอยู่จริง ต่อมาข้าก็คิดได้ บางทีสิ่งที่ดึงดูดข้า อาจเป็นความฉลาดมีไหวพริบมีคุณธรรมนำใจ และความรักอันยิ่งใหญ่ของนาง”เย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าบาทคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว กระหม่อมก็ไม่พูดมากกว่านี้”หลังจากกลับมาเมืองหลวง
ท้องฟ้าเริ่มสดใสขึ้น และในที่สุดค่ำคืนอันยาวนานก็สิ้นสุดลงอินชิงเสวียนหลับไปโดยที่ลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำเมื่อมองไปยังสาวน้อยที่ยังมีเหงื่อเกาะพราวที่ปลายจมูก เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกผิดเล็กน้อยแม้ว่าจะพยายามควบคุมตัวเองอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงสูญเสียการควบคุม หากครั้งนี้ทำให้นางกลัว ต่อไปหากต้องการใกล้ชิดกันนางอีกก็คงเป็นเรื่องยากเขาอยากอยู่ข้างกายอินชิงเสวียนจริงๆ พอนางลืมตาจะได้เห็นตัวเองทันที แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขายังต้องไปประชุมเช้า ยังมีกิจการบ้านเมืองที่ยังสะสางไม่เสร็จในขณะนี้ จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าเป็นฮ่องเต้โฉดก็น่าจะดีเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ลุกขึ้นจากม่านมุ้งสีแดงนุ่มๆหลี่เต๋อฝูถือเสื้อคลุมมังกรรออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานแล้วเมื่อเห็นฝ่าบาทออกมา ขันทีน้อยหลายคนก็เริ่มทำงานกันทันทีมีคนเตรียมน้ำสำหรับชำระล้าง มีคนยกน้ำชามาให้ ส่วนหลี่เต๋อฝูก็พาคนอื่นๆ มาช่วยสวมชุดคลุมมังกรให้เย่จิ่งอวี้ และสวมมาลามงกุฎ หลังจากเร่งมือกันอย่างหนัก ก็ประคองฮ่องเต้ไปยังเกี้ยวพระที่นั่งมังกรเสียงขานเคลื่อนขบวนเสด็จดังขึ้น เย่จ
ณ ด่านถงกู่หลังจากพักผ่อนมาทั้งคืน เหล่าทหารก็ฟื้นกำลังวังชาได้พอควรแล้วในตอนเช้าตรู่ อินจ้งขึ้นไปที่ด่าน โดยที่ถือของแปลกๆ ไว้ในมือโหวเหนือติดตามอินจ้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม“ท่านแม่ทัพ นี่คือสิ่งใด”อินจ้งหัวเราะเบาๆ “นี่เรียกว่ากล้องส่องทางไกล มันเป็นสมบัติหายากที่ลูกสาวของข้ารวบรวมได้มาจากชาวบ้าน สามารถมองเห็นได้ไกล แม้ในความมืดก็มองเห็นได้ชัดเจน”อินชิงเสวียนได้ฝากคนส่งของสิ่งนี้กลับมายังจวนตระกูลอิน ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างมาก เมื่อมีสิ่งนี้ ก็สามารถสังเกตสถานการณ์ของศัตรูได้ชัดขึ้นนี่เป็นครั้งแรกที่โหวเหนือได้เห็นสิ่งนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะอยากลองเมื่อเห็นดังนี้ อินจ้งก็ส่งกล้องส่องทางไกลให้เขา โหวเหนือก็มองไปในระยะไกล แล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก“นึกไม่ถึงว่าโลกนี้จะมีสิ่งที่ชาญฉลาดเช่นนี้ มองสถานที่ไกลๆ ก็เหมือนว่าอยู่ใกล้”อินจ้งยิ้ม แล้วรับกล้องส่องทางไกลกลับคืน“เหล่าทหารก็พักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ข้าเตรียมที่จะนำทหารออกรบในคืนนี้ ไม่ทราบว่าท่านโหวคิดว่าอย่างไร”โหวเหนือกลอกตาล่อกแล่ก พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ทหารม้าที่ท่านแม่ทัพนำขบวนมาก็สามารถออกไปได้ แต่พวกพ้องห้า
ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดกระโตกกระตากคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองไปอย่างเงียบๆ แม้ว่าทางเจียงวูจะยึดเมืองหนึ่งได้ แต่พวกเขายังคงคุ้นเคยกับการพักอาศัยอยู่ในกระโจม มีทหารเพียงไม่กี่คนที่คอยอารักขาเมือง ในความเห็นของพวกเขา ทหารม้าที่ด่านถงกู่ต่างหวาดกลัวไปหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องป้องกันอะไรมากนักเมื่อทุกคนเข้าใกล้เมืองถึงครึ่งลี้ ม้าส่วนหนึ่งก็หยุดลง ในขณะที่ส่วนหนึ่งเร่งความเร็วและบุกเข้าไปในเมืองทั้งคนและม้าเหล่านี้รวดเร็วมาก กระทั่งทหารที่อารักขาเมืองชาวเจียงวูยังไม่ทันได้ตอบโต้ คนเหล่านี้มาถึงด้านล่างของเมืองแล้วทุกคนหยิบวัตถุสีเข้มออกมาจากแขนเสื้อ แล้วโยนขึ้นไปที่กำแพงเมือง แล้วคนต่างปีนขึ้นไปตามเชือกอย่างรวดเร็วสิ่งนี้เรียกว่าตะขอบิน เป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนผลิตขึ้นให้อินปู้อวี่ แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก แต่คนที่ใช้มันล้วนต้องเป็นคนที่มีกำลังแขนแข็งแรง โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีการยิงพลาดเหล่าทหารรักษาเมืองต่างลนลานไปหยิบธนูและลูกธนู ในชั่วพริบตา อินปู้อวี่ก็พากลุ่มคนปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง และตวัดดาบใส่พวกเขาจนล้มระเนระนาดครั้นเห็นของสิ่งนี้มีประโยชน์มาก กวนเซี่ยวก็อดตื่นเต้นยินด