เจ้าหมาน้อยได้ดื่มนมก็เงียบทันทีมือเล็กๆ สองข้างโบกไปมาด้วยความดีใจ เท้าเล็กๆ สีอมชมพูก็เตะเป็นจังหวะเมื่อมองดูเจ้าตัวเล็กที่หลับตาอยู่กำลังดูดจุกนมด้วยความพยายาม อินชิงเสวียนก็อดที่จะรู้สึกในความอัศจรรย์ของชีวิตไม่ได้เด็กตัวเล็กๆ แค่นี้ยังรู้จักพยายามเอาชีวิตรอด ตัวเองในฐานะแม่(ไม่เจ็บท้อง)ของเขา จะต้องพยายามให้มากยิ่งกว่าขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูมาก สนุกกว่าหลานชายตัวเองที่อ้าปากเป็นร้องไห้เยอะเลยเธออยากจะอุ้มเด็กน้อย แต่ก็ไม่กล้านัก เธอรู้สึกว่าเด็กน้อยนั้นแขนก็เล็กขาก็เล็ก เปราะบางเกินไป รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันดีกว่ากลับมาถึงห้อง อินชิงเสวียนก็เริ่มครุ่นคิดขึ้นมาถ้าอยากออกจากวังก็ต้องมีเงิน มีเงินถึงสามารถผูกสัมพันธ์กับผู้คนและสร้างเครือข่ายต่างๆ ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่แดงเดียว นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่มากตอนย้ายมาวังเย็นเป็นเหตุการณ์ที่ฉุกละหุกมาก เจ้าของร่างเดิมไม่ทันได้เอาอะไรติดตัวมาเลย แม้แต่เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนก็ยังไม่มี ดังนั้นอย่าพูดถึงของมีค่าเลย ถ้ามีวิธีที่แลกเงินได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหารบูดเน่าทุกมื้อสิ่งที่เธอปลูกในช่อ
อวิ๋นฉ่ายหัวร้อนขึ้นมาทันที ลุกขึ้นแล้วพูดว่า "ไป๋เสวี่ย ทำไมเจ้ามาที่นี่อีกแล้ว เจ้าแย่งเนื้อของพระสนมไม่ได้นะ"เมื่อมองดูไป๋เสวี่ยที่กำลังเคี้ยวเนื้ออย่างเอร็ดอร่อย อินชิงเสวียนรู้สึกไร้คำจะบรรยายเอามากๆเจ้าสุนัขตัวนี้จมูกไวเกินไปแล้ว"มันจะกินก็ให้มันกินเถอะ เรายังมีเนื้ออีกตั้งเยอะ"อวิ๋นฉ่ายรีบปิดฝาหม้อทันที ป้องกันไป๋เสวี่ยกระโดดขึ้นมาแย่งอีกกลิ่นเนื้อหอมยั่วยวน ทำให้ไป๋เสวี่ยร้อนใจจนเดินวนเป็นวงกลม มันตัดสินใจนั่งลง แล้วเอามือประกบชิดกันเป็นท่าไหว้อินชิงเสวียนอินชิงเสวียนคีบเนื้อให้มันอีกชิ้นหนึ่ง หัวเราะพลางดุว่าไปด้วย "เจ้าตัวแสบ เจ้านายของเจ้าขาดเหลือสิ่งใดกัน เจ้าถึงต้องมาแย่งกินกับพวกข้า"อวิ๋นฉ่ายกินไปด้วย และพูดอ้ำอึ้งไปด้วยว่า "ต้องเป็นเพราะเนื้อที่ฝ่าบาทให้ไม่หอมเท่าของพวเราแน่ๆ เลย พระสนม มันอร่อยมากจริงๆ โรตีก็อร่อยเพคะ"เมื่อเห็นยัยหนูยิ้มจนตาหยี อินชิงเสวียนก็อารมณ์ดีมาก"วันหลังพวกเราจะกินของอร่อยทุกวันเลย"ทั้งสามคนกินด้วยตวามไวปานพายุ พริบตาเดียวเนื้อที่ต้มไว้ในหม้อเหลือเพียงไม่มากแล้ว ไป๋เสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็พลอยได้ลาภปากไปน้อยเช่นกัน มันดีใจจนส่งเส
ทุกคนต่างก็รู้ว่าเย่จิ่งอวี้รักสุนัขตัวนี้ เหล่าหญิงงามที่เพิ่งเข้าวังต่างก็พยายามเอาอกเอาใจมันเพื่อให้เป็นที่โปรดปราน แต่ไม่ว่าพวกเธอจะใช้วิธีอะไรหลองล่อไป๋เสวี่ย เจ้าสุนัขกลับไม่ยอมใกล้ชิดพวกเธอเลยและเพราะไป๋เสวี่ยมีขนาดตัวใหญ่มาก พวกเธจึงไม่กล้าเข้าใกล้มันมากเช่นกัน เพราะกลัวจะโดนมันกัด คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนกล้าวาดเขียนบนหน้ามันแบบนี้ หากเป็นฝีมือของหญิงงาม เธอต้องตายแน่คนจำนวนไม่น้อยกำลังรอดูเรื่องสนุกซึ่งรวมถึงหลานสาวแท้ๆ ของไทเฮา ลู่จิ้งเสียน ด้วยซึ่งตอนนี้เธอถูกแต่งตั้งเป็นเสียนเฟย(สนมผู้พร้อมด้วยคุณธรรมปัญญา)แล้วแม้ว่าเธอไม่เคยถูกเย่จิ่งอวี้โปรดปราน แต่ในบรรดาหญิงงามที่มีอยู่เต็มพระราชวังแห่งนี้ เธอก็คือบุปผาที่โดดเด่นที่สุด มีทั้งฐานะและอำนาจ จึงเป็นบุคคลที่เหล่าหญิงงามแย่งกันประจบประแจงเมื่อได้ข่าวเรื่องนี้ ลู่จิ้งเสียนก็หัวเราะด้วยความเยาะเย้ย"ใครหน้าไหนกันที่ไม่ลืมหูลืมตากล้าสบประมาทไป๋เสวี่ยเช่นนี้ คิดจริงๆ หรือว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทได้ ฝันไปเถอะ"ชุ่ยจู๋ที่กำลังนวดขาพูดทันทีว่า "นั่นสิเพคะ ฝ่าบาทออกคำสั่งแล้วว่าหากจับคนๆ นั้นได้จะโบ
อินชิงเสวียนเดินตามมาที่ประตูด้วย เธอซ่อนตัวแอบฟังอยู่ข้างๆยายหลี่ถามอย่างอดรอไม่ไหวว่า "พี่ชายหวังทั้งสอง ของขายไปแล้วหรือยัง?"หวังต้าหวู่พูดด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด "ขายแล้ว พวกเจ้าไปเอามาจากที่ไหนหรือ?"ยายหลี่ว่า "เรื่องนั้นเจ้าอย่าสนใจเลย ส่งเงินเข้ามาเถอะ"เสียงขบฟันดังขึ้น ประตูวังถูกผลักเปิดเป็นช่องแคบเล็กๆ เงินถุงหนึ่งถูกส่งเข้ามาจากด้านนอกหวังเอ้อร์หวู่พูดตามหลังมาว่า "ยายหลี่ ของน่ะก็ขายดีอยู่หรอก แต่ราคาไม่ได้สูงอย่างที่เจ้าพูดมา ของสี่ชิ้นขายได้ทั้งหมดสามร้อยตำลึง เจ้าว่าได้ไหม?"ยายหลี่มองไปที่อินชิงเสวียนแวบหนึ่ง อินชิงเสวียนขมวดคิ้วบางเล็กน้อย แล้วพยักหน้ายายหลี่รับเงินมาแล้วว่า "ได้สิ ครั้งหน้าพวกเจ้าต้องขายให้ราคาสูงๆ หน่อย เพราะของๆ เรามีเงินก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ"หวังเอ้อร์หวู่หัวเราะ"เจ้าวางใจเถอะ ถ้ามีของอีก ข้ารับรองจะทำทุกวิถีทางช่วยเจ้าขาย"อินชิงเสวียนกลับเข้าบ้านไปแล้วของสี่ชิ้นขายได้สามร้อยตำลึงนับว่าไม่น้อยแล้ว ในยุคนี้เงินสามร้อยตำลึงมากพอให้คนธรรมดาอยู่ได้ห้าถึงหกปีแล้วแต่เมื่อเทียบกับที่เธออยากจะออกจากพระราชวังแล้ว มันถือว่าน้อยมาก
"สามหาว สามหาวจริงๆ"เย่จิ่งอวี้ผลักไป๋เสวี่ยล้มไปบนพื้น แล้วมองมือสีดำของตัวเอง ความโกรธก็แทบปะทุผ่านดวงตาออกมาเขาพูดอย่างโมโห "ตกลงใครกันแน่ที่บังอาจกล้าดีทำกับไป๋เสวี่ยได้เช่นนี้ หลี่เต๋อฝู เจ้าไปตรวจสอบมาหลายวันแล้ว สรุปแล้วคนที่ทำเป็นใคร?"หลี่เต๋อฝูคุกเข่าเสียงดังตึ่ง พูดด้วยเสียงสั่นเครือ "บ่าวไล่ถามแทบทุกคนในวังจนหมดแล้ว แต่ไม่ได้ยินเลยว่าท่านไป๋เสวี่ยเคยไปที่วังใดมาก่อน เหล่าหญิงงามที่มาใหม่มีความคิดที่จะเข้าใกล้ท่านไป๋เสวี่ย แต่ว่าท่านไป๋เสวี่ยของเรานิสัยไม่ดี พวกนางเข้าใกล้ไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แม้แต่พระสนมเสียนเฟย ไป๋เสวี่ยก็ยังไม่ไว้หน้าเลย บ่าวเองก็ไม่ทราบจริงๆ พ่ะย่ะค่ะว่าใครกล้าบังอาจเช่นนี้"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาเรียวลง ด่าทอด้วยเสียงต่ำ "ไม่ได้เรื่อง เรื่องแค่นี้เจ้าก็ยังตรวจสอบไม่ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าคอยติดตามไป๋เสวี่ย หากตรวจสอบไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมา""พ่ะย่ะค่ะ"หลี่เต๋อฝูรับคำด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย และออกไปหยิบชุดรบของเย่จิ่งอวี้มาหมู่นี้พอฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี ก็มักจะไปตำหนักฉงหวู่ ทหารคู่ซ้อมก็พลอยได้รับเคราะห์ไปหลายนายเมื่อคิดถึงพวกเขาที่ถูกซ้อม
เธอลุกขึ้นพร้อมกับเอามือนวดที่เอวไปด้วย แล้วไอกระแอมและพูดว่า "ข้าเป็นคนของหอฉงฮวา เพิ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน แต่ไม่ระวังเดินหลงทาง รบกวนท่านพี่ทหารช่วยชี้ทางให้หน่อยได้ไหม"ตอนที่เดินมา เธอจำได้ว่าตัวเองเดินผ่านสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าหอฉงฮวา ซึ่งเดินตรงไปตามทางนั้นก็จะไปถึงวังเย็นพี่ทหาร?เย่จิ่งอวี้หลี่ตาลง สายตาที่นิ่งลึกกวาดมองใบหน้าอินชิงเสวียนนึกไม่ถึงว่าในวังแห่งนี้ยังมีบ่าวที่ไม่รู้จักตนเองอยู่ด้วยน่าจะเป็นคนที่ติดตามพวกหญิงงามมาเขาหันไปทางทิศตะวันตก พูดด้วยเสียงเย็นชา "เดินไปสุดทางนี้แล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็จะเห็นหอฉงฮวาแล้ว"อินชิงเสวียนฟังแล้วก็ชะงักค้าง ในยุคปัจจุบันเธอเรียกว่าเป็นจอมหลงทางเลย ขนาดมีจีพีเอสนำทางทางเธอยังสามารถหลงได้ เธอยิ้มให้เขาแล้วพูดว่า "ท่านพี่ทหาร รบกวนท่านไปส่งข้าระยะหนึ่งได้ไหม?"แววตาเย่จิ่งอวี้ฉายแววเยือกเย็นลงขันทีหนุ่มคนนี้จะได้คืบเอาศอกมากไปแล้วเมื่อเห็นเขาทำหน้าไม่พอใจ อินชิงเสวียนก็เบะปากพิมพำเสียงเบา "ไม่ไปส่งก็ไม่ไปส่งสิ จะดุขนาดนี้ไปทำไม"เธอนวดเอวตัวเองพลางพูดว่า "เดินไปทางนั้น เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาสิ
อินชิงเสวียนหันศรีษะกลับหลัง เธอก็เห็นทหารหนุ่มหน่าตาหล่อเหลาดั่งสวรรค์สรรสร้างที่พบเมื่อวานนี้อีกครั้งเธอหันหลังกลับไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกตื่นเต้น "ท่านพี่ทหาร ข้าหาเจ้าพบเสียทีนะ"เย่จิ่งอวี้มองหน้าเธอ ถามด้วยเสียงราบเรียบ "เจ้าหาข้าทำไม?"อินชิงเสวียนดึงแขนเสื้อของเย่จิ่งอวี้ และลากเขาไปที่มุมหนึ่งเธอมองไปรอบๆ แล้วจึงพูดเสียงเบาว่า "ท่านพี่ทหาร ข้าน่ะแค่อยากให้เราร่ำรวยไปด้วยกัน""หืม?" แววตาของเย่จิ่งอวี้มืดลงเล็กน้อยในทันทีเจ้าสุนัขรับใช้ กล้าทำการค้าขายในวังเชียวรึอินชิงเสวียนรีบพูดต่อว่า "เจ้าวางใจ ของเหล่านี้ของข้ามีที่มาถูกต้อง ขอเพียงเจ้ายอมช่วยข้าขาย ข้าจะเก็บแค่ต้นทุนก็พอ"เธอหยิบกระจกบานเล็กออกมาจากอ้อมอก หลังจากที่เปิดออก ก็แกว่งไปมาตรงหน้าเย่จิ่งอวี้"เจ้าดูสิ กระจกบานนี้ทำมาจากอลูมิเนียมฟอยล์ มันส่องได้ชัดกว่ากระจกทองแดงเยอะเลย สนมนางในในวังต้องชอบมันแน่นอน"แล้วเธอก็หยิบขวดน้ำหอมแบบลูกกลิ้งขวดนั้นออกมา จากนั้นดึงมือของเย่จิ่งอวี้มาและทามันไปที่หลังมือของเขา"นี่คือน้ำหอมไข่มุกหลิวหลี กลิ่นหอมติดทนนาน ข้ากล้ารับประกันเลยว่าหากสนมนางในในวังใช้สิ่ง
อินชิงเสวียนกลับไปถึงวังแล้วแม้ว่าเธอจะเป็นจอมหลงทาง แต่ขอแค่ท่องไว้ว่าเลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวขวาอีกครั้ง ก็ยังสามารถกลับถึงได้อย่างสบายๆอวิ๋นฉ่ายเฝ้ารออยู่ที่รูกำแพง เมื่อเห็นอินชิงเสวียนคลานเข้ามา เธอก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเจ้านาย"พระสนม ราบรื่นไหมเพคะ?"อินชิงเสวียนยืดตัวตรง"แม้ว่าจะมีติดขัดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าราบรื่น"อย่างแย่ก็แค่สูญเสียคะแนนสะสมไปนิดหน่อย แต่ก็ย่อมดีกว่าโดนเจ้าชาติชั่วสองคนนั้นโกง"ยายหลี่หลับแล้วหรือ?"อวิ๋นฉ่ายพูดเสียงเบา "กำลังกล่อมองค์ชายน้อยอยู่ คงใกล้นอนแล้วเช่นกันเพคะ""เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ อย่ารบกวนพวกเขาเลย"อวิ๋นฉ่ายรับคำ แล้วพยุงอินชิงเสวียนเข้าไปในเรือนเมื่อเธอเข้าไปดูในช่องว่าง ก็อดดีใจไม่ได้ ในที่สุดพืชผักก็ออกดอกแล้ว ถ้านับเวลาตามนี้ละก็ ประมาณสักสามสี่วันก็คงจะติดผลแม้ว่าจะไม่ทันใจเหมือนตอนมือใหม่ แต่ได้เก็บเกี่ยวทุกครึ่งเดือน เธอก็ยังรับได้พอหลับตา เธอก็นึกถึงทหารที่พบวันนี้อีกที่อินชิงเสวียนดึงดันจะไปหาเขา ก็ไม่ได้เพียงเพื่อขายของเท่านั้น แต่เธออยากผูกสัมพันธ์อื่นกับเขาไว้ด้วยสองพี่น้องตระกูลหวังถ้ามีความสามารถก็คงไม่ต้องม
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี