มืออันอบอุ่นเลื่อนมาหยุดที่เอว ราวกับเปลวไฟที่ลามเลียทุ่งหญ้า ความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่างกายในทันทีแก้มของอินชิงเสวียนกลายเปนสีแดงปลั่ง บุรุษหล่อเหลารูปงานปานนี้ นางจะเกลียดได้อย่างไรนางกัดมุมปาก สายตาเลื่อนมองจับไปที่ผ้าสีขาวที่พันรอบทรวงอกของเขา“หม่อมฉันจะเกลียดฝ่าบาทได้อย่างไร”มือของเย่จิ่งอวี้กระชับขึ้นอีกเล็กน้อย“แล้วทำไมเจ้า...ถึงไม่ยอมใกล้ชิดกับข้าเล่า”ครั้นเห็นร่างกายที่แนบชิดมาอย่างพอดีกัน ใบหูของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันใดนั้นก็ฉุกนึกถึงคำพูดหนึ่งได้ นางผลักเย่จิ่งอวี้ออกไปทันที หันหลังให้แล้วพูดขึ้นว่า “ปราชญ์กล่าวว่า กลางวันแสกๆ ห้ามทำเรื่องบัดสี ฝ่าบาทเป็นถึงพระราชาผู้ครองแคว้น ควรดำรงอยู่ในวิถีแห่งปราชญ์”จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเหมือนร่างถูกรัด ร่างทั้งร่างก็ถูกโอบกอดด้วยวงแขนที่แข็งแรงคู่หนึ่งกลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ลอยกรุ่ยเข้าไปในโพรงจมูกของอินชิงเสวียน ผสมกับกลิ่นยาจางๆ และเสียงทุ้มก็ดังขึ้นในหูในเวลาเดียวกัน“ข้ายังเคยได้ยินคนพูดกันว่า เพียงอิจฉายวนยางไม่อิจฉาเซียน แม้ว่าข้าจะเป็นฮ่องเต้ผู้ครองแคว้น แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ยิ่งไม่ต้องการฝึกฝนวิถ
อินชิงเสวียนก็มีความคิดเช่นเดียวกับเขา หลังจากพลิกผันมาหลายครั้ง ในที่สุดก็รอคอยจนกระทั่งอินจ้งสามารถกลับเมืองหลวงได้แล้ว หวังว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องพาไป๋เสวี่ยไปพบกวนเซี่ยว ดังนั้นนางจึงพูดกับเย่จิ่งอวี้ว่า “หม่อมฉันต้องกลับไปที่ตำหนักจินหวูก่อน เพื่อให้ไป๋เสวี่ยจำกลิ่นของกวนเซี่ยวไว้ด้วย พรุ่งนี้ฝ่าบาทก็ยังมีประชุมเช้า วันนี้ก็รีบพักผ่อนเถอะเพคะ”“ไปเถอะ ข้าต้องเตรียมการบางอย่าง ตอนนี้เหลือกวนเซี่ยวเป็นทายาทเพียงคนเดียวในตระกูลกวน ข้าไม่อาจปล่อยให้เขาตกอยู่ในอันตรายโดยลำพังได้”เย่จิ่งอวี้ยังอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับความรักระหว่างชายหญิงแล้ว เรื่องงานสำคัญมากกว่าเขาส่งอินชิงเสวียนจนถึงประตูตำหนัก จากนั้นหันกลับไปที่ห้องโถงด้านในเสียงดีดนิ้วดังเปาะ ครั้นแล้วร่างหนึ่งก็ปรากฏที่ด้านหลังของฉากบังลมเย่จิ่งอวี้ไม่พอใจเล็กน้อย“เมื่อเจ้ากลับมาวังแล้ว เหตุใดถึงไม่มาพบข้า”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าทั้งสองข้างลง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด“กระหม่อมปล่อยให้ฝ่าบาทได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ จึงยากที่จะเลี่ยงความผิดจริง
จอมพลเฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้มจนปัญญา “ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รบกวนเท่านั้น ฝากพระสนมไปขอบพระทัยฝ่าบาทแทนกระหม่อมด้วย เมื่อกระหม่อมอาการทุเลาลงแล้ว จะไปขอบพระทัยที่ตำหนักเฉิงเทียนด้วยตนเอง”อินชิงเสวียนพูดเสียงอ่อนโยน “ท่านปาจารย์เป็นเสาหลักของบ้านเมือง ฝ่าบาทก็ให้ความเคารพท่านเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่เพียงแต่ให้หมอหลวงรักษาเท่านั้น แต่ยังให้ทหารทหารรักษาพระองค์คุ้มครองอยู่ที่นี่ด้วย ขอให้ท่านปาจารย์พักฟื้นอย่างสบายใจได้”จอมพลเฒ่าถอนหายใจแล้วพูดว่า “กระหม่อมทราบแล้ว ที่ฝ่าบาททรงดีต่อตระกูลกวนเช่นนี้ กระหม่อมก็รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้”อินชิงเสวียนคลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดกับกวนเซี่ยวว่า “วังหลังไม่ใช่ราชสำนัก ท่านปาจารย์สามารถพักฟื้นที่นี่ได้ แต่สำหรับพี่ชายกวนเกรงว่าจะอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน โปรดอภัยด้วย”กวนฮั่นหลินย่อมรู้อยู่แล้วว่าวังหลังคือสถานที่เช่นไร แม้ว่าอินชิงเสวียนไม่พูด เขาก็ไม่ให้กวนเซี่ยวอยู่ที่นี่“กระหม่อมก็มีความคิดเช่นเดียวกัน กำลังคิดว่าจะส่งเขากลับจวนพอดี”อินชิงเสวียนจึงกล่าวอีกว่า “คิดว่าพี่ชายกวนคงแจ้งให้ท่านปาจารย์ทราบเรื่องการลอบสังหารแล้ว หากพวกท่
ณ ห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้ถอดมาลามงกุฎออก แล้วเปลี่ยนเป็นชุดคลุมตัวยาวตรงสีขาวราวกับหิมะคาดเอวด้วยผ้าโปร่งเมฆาสีขาวเงินจันทร์ และมีหยกขาวสีไขมันแพะชั้นดีสองชิ้นห้อยไว้ที่สายคาดเอว ทว่าอาภรณ์ที่เรียบง่ายเช่นนี้ยังคงไม่สามารถปกปิดความสูงศักดิ์แต่กำเนิดของเขาได้ฉินไห่ฉิวยืนเข้างๆ ด้วยความเคารพ“สิ่งที่ฝ่าบาทให้ไปรวบรวม กระหม่อมได้ส่งคนไปรวบรวมได้มากแล้ว และได้สั่งให้คัดแยกเป็นหมวดหมู่ เก็บไว้ในคลังของกรมโยธาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่างท่าผึ่งผายองอาจ พูดเรียบๆ “ดีมาก ภายในวันสองวันนี้ ข้าจะส่งคนไปตรวจรับ ข้อมูลนี้จะต้องถูกเก็บเป็นความลับด้วย”ฉินไห่ฉิวโค้งคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมจะปิดปากเงียบ ไม่เปิดเผยออกไปแม้เพียงครึ่งคำ”เย่จิ่งอวี้ส่งเสียงอืมตอบรับ แล้วพูดว่า “อืม ออกไปเถอะ”“กระหม่อมขอทูลลา”แม้ว่าฉินไห่ฉิวจะไม่รู้เหตุผล แต่เขาก็เชื่อในตัวของเย่จิ่งอวี้วิธีการผันน้ำจากใต้ขึ้นเหนือเห็นผงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าการตัดสินใจของเย่จิ่งอวี้นั้นถูกต้องเมื่อฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ ฉินไห่ฉิวก็เป็นเหมือนกับขุนนางทุกคน ที่รู้สึกตะขิดตะขวงใ
สวีจือย่วนที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “จ้าวเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ จำหน้าคนได้แล้ว เรียกฝ่าบาทเป็นด้วย”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยสีหน้ามีความสุข “จ้าวเอ๋อร์เป็นโอรสสายตรงของข้า ย่อมฉลาดอยู่แล้ว”สวีจือย่วนหยุดไปชั่วขณะ และเหมือนตั้งใจแต่คล้ายไม่เจตนา “มีเพียงโอรสที่เกิดจากครรภ์ของฮองเฮาเท่านั้นกระมัง ถึงสามารถเรียกว่าโอรสสายตรงได้”เมื่อมองดูเด็กน้อยที่กำลังเล่นผมของเขา เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มกล่าวด้วยนน้ำเสียงเจือความเอ็นดูลุ่มหลง“เสวียนเอ๋อร์ก็คือฮองเฮาของข้า ตอนนี้แม่ทัพอินได้กลับมายังเมืองหลวงแล้ว ข้าจะรีบแก้ไขสถานะให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด เดิมทีนางก็เป็นชายาเอกเมื่อตอนที่ข้ายังเป็นรัชทายาทอยู่แล้ว จะอยู่ในตำแหน่งฮองเฮา ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม”สวีจือย่วนตกตะลึงเล็กน้อย “แม่ทัพอิน...จะกลับราชสำนักแล้วหรือเพคะ”ถ้าอินจ้งกลับมาจริงๆ แล้วใครจะเป็นต่อสู้กับอินชิงเสวียนได้อีกตระกูลฝ่ายแม่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท...เย่จิ่งอวี้กำลังยุ่งอยู่กับการหยอกล้อเสี่ยวหนานเฟิง ไม่มีเวลาอธิบายมาก เขาจึงตอบรับสั้นๆอินชิงเสวียนเพิ่งเดินมาถึงประตูพอดี เมื่อได้ยินเช่น
อินชิงเสวียนได้กลับเข้ามาในเรือนแล้ว กำลังจะขึ้นไปที่ศาลา แต่กลับเห็นเย่จิ่งอวี้ที่มือซ้ายอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ส่วนมือขวาก็ประคองสวีจือย่วน และสวีจือย่วนก็ซบอยู่บนตักของเขาพอดีเพลิงโทสะในใจพลันลุกโชน บุรุษไม่มีคนดีเลยจริงๆโดยเฉพาะฮ่องเต้!นางมาที่ห้องครัวเล็กด้วยสีหน้าโกรธเคือง บอกอวิ๋นฉ่ายที่กำลังผสมไส้ว่า “ไม่ต้องนึ่งซาลาเปาแล้วล่ะ ฝ่าบาทบอกว่าไม่กินแล้ว”อวิ๋นฉ่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อ้าว? แล้วจะทำอาหารอะไรดีเพคะ”“ไม่ต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยกินอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นส่งมาก็ได้”อินชิงเสวียนกลับไปที่ห้องโถงด้านใน และหายตัวเข้าไปในมิติพอดีกับพืชผลในมิติที่กำลังสุกงอม นางจึงถือโอกาสเก็บเกี่ยวไว้ด้วยเลยจากนั้นก็ปลูกพืชอีกครั้ง แต่ในใจยังรู้สึกไม่มีความสุขดูเหมือนว่าสิ่งที่นางคิดเมื่อก่อนนั้นถูกต้อง จะชอบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮ่องเต้เย่จิ่งอวี้มีสตรีชอบด้วยกฎหมายมากมาย แต่นางมีเพียงเขาเท่านั้น นี่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีอินชิงเสวียนได้ตกลงปลงใจไว้แล้ว คิดไว้ว่าจะรอให้อินจ้งกลับมาก่อน แล้วนางค่อยเพลิดเพลินไปกับชีวิตรักในยุคโบราณทว่าตอนนี้นางหมดอารม
ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมา และพาเย่จิ่งอวี้ออกจากระยะฝ่ามือของชายคนนั้นฝ่ามือของชายคนนั้นพลาด เขาก็หันฝ่ามือขึ้น แล้วสะบัดใส่ผู้มาเยือนด้วยความเร็วปานอสุนีบาตมีเสียงปังดังสนั่น แล้วร่างทั้งคู่ก็แยกออกจากกันเย่จิ่งอวี้อุทาน “เสวียนเอ๋อร์”ซึ่งผู้ที่ดึงเย่จิ่งอวี้ออกไป ก็คืออินชิงเสวียนนั่นเองนางรู้จักกับเย่จิ่งอวี้มานาน ถึงจะในฐานะเพื่อน นางก็ไม่อาจเห็นเขาได้รับบาดเจ็บได้ อีกทั้งตัวเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นชายผมขาวกำลังจะลงมือ นางก็แลกความเร็วและพลังของมิติ เพื่อสู้ฝ่ามือกับชายผมขาวผู้นั้นทันทีเมื่อฝ่ามือนั้นพุ่งออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานและเลือดในอกที่กำลังปั่นป่วน กลิ่นเค็มคาวเลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอ ยากที่จะระงับไว้ได้ นางจึงกระอักเลือดออกมาเต็มคำชายคนนั้นหยุดฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่จ้องมองอินชิงเสวียนด้วยแววตาลึกล้ำตอนแรกดวงตาที่สงบคู่นั้น คล้ายจะเกิดคลื่นขนาดใหญ่ และค่อยๆ บ้าคลั่ง“ดีมาก ถ้าเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องดีใจมากที่ได้พบเจ้าอย่างแน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยืนขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้ถามด้วยน้ำเสียงเย็
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าดูแลให้ดีด้วย”“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”“ออกไปเถอะ”เย่จิ่งอวี้โบกมือหมอหลวงเหลียงถอยหลังออกไปหลายก้าว“กระหม่อมทูลลา”หลังจากที่หมอหลวงเหลียงจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้านในนางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “การต่อสู้เมื่อครู่ คงทำให้ฝ่าบาทมีเหงื่อออกมาก หม่อมฉันได้สั่งให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว ฝ่าบาทไปชำระพระวรกายเถิด”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทั้งที่สวมชุดคลุม เดินมาหาอินชิงเสวียน แล้วมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า“เสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนยักไหล่“หม่อมฉันดูคล้ายคนที่เป็นอะไรงั้นหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้มองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ์เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อาจจะรับฝ่ามือของคนประหลาดผู้นั้นไม่ได้”เขาขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง “เสวียนเอ๋อร์รู้จักคนประหลาดผมขาวคนนั้นหรือเปล่า”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ “ไม่รู้จักเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แปลกมาก ทำไมพอเขาเห็นเจ้าถึงเรียกเจ้าว่าศิษย์ แล้วเหตุใดถึงมีวรยุทธ์สูงขนาดนี้”อินชิงเสวียนพูดอย่างไม่รู้จะอธ
“หม่อมฉันน้อมถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”อินชิงเสวียนยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพอย่างเป็นทางการตามราชประเพณี“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้คว้าตัวอินชิงเสวียนขึ้นเมื่อก่อนที่เคยอยู่ในวังหลวง เย่จิ่งอวี้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชบริพารจะกราบถวายบังคมเจ้าเหนือหัว ตอนนี้เมื่อได้เดินทางท่องยุทธภพ กลับรู้สึกว่ามันลำบากยุ่งยากจริงๆ“จากนี้ไปเมื่อเสวียนเอ๋อร์พบข้า ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอีก ส่วนพวกเจ้าเมื่อกลับเข้าวังมาแล้ว เช่นนั้นควรปฏิบัติหน้าที่รับใช้ให้ดี เสวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”เมื่อทั้งหมดรู้ว่าอินชิงเสวียนตั้งครรภ์ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ ในสายตาของพวกเขา การมีลูกหลานมากมายถือเป็นโชควาสนา ทั้งสองพระองค์แต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้ว ยังมีแค่เสี่ยวหนานเฟิงคนเดียว ในวังค่อนข้างเงียบเหงาอยู่บ้าง“พวกกระหม่อม/หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชา จะพยายามดูแลพระนางฮองเฮาให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!”“ดีมาก ออกไปก่อนเถอะ”เย่จิ่งอวี้ถอยห่างจากฝูงชน ดึงอินชิงเสวียนไปที่เก้าอี้“เสวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์ฮองเฮาช่างดูดียิ่งนัก”“ฝ่าบาทก็เช่นกัน ชุดมังกรเหมาะกับท่านมาก”อิ
เมื่อเห็นพวกเขา อินชิงเสวียนก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน“เสี่ยวอานจื่อ อวิ๋นฉ่าย อวี้จิ่น ยายหลี่ พวกเจ้าอยู่กันทุกคน วิเศษไปเลย ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเร็ว!”อินชิงเสวียนช่วยพยุงทุกคนให้ลุกขึ้น ดวงตาชื้นเมื่อเห็นพวกเขา นางก็พลันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งข้ามภพมาอยู่ในตำหนักเย็นเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน“ฮองเฮา ท่านกลับมาช่างดีจริงๆ!”ทั้งหมดต่างมาห้อมล้อมอินชิงเสวียนไว้ตรงกลาง กอดนางเต็มรัก อินชิงเสวียนก็กอดพวกเขาตอบเช่นกัน ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าวังระหว่างทาง เสี่ยวอานจื่อก็พูดเจื้อยแจ้ว “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักเย็นถูกรื้อแล้ว ฝ่าบาทสร้างสวนสนุกที่นั่น องค์ชายน้อยมีที่เล่นสนุกแล้ว”อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ“แล้วคนในตำหนักเย็นล่ะ สวีจือย่วนอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ”ตอนที่นางจากไปเหมือนว่าสวีจือย่วนยังอยู่ในตำหนักเย็นอยู่เลยยายหลี่ลดเสียงกระซิบว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่า นายหญิงสวีฆ่าตัวตาย ร่างถูกโยนลงในสุสานไร้ญาติ”“อ้อ”อินชิงเสวียนเข้าใจแล้วจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้แม้ว่าจะถูกเย่จิ่งอวี้ประหารอย่างลับๆ แต่ก็นับว่าส
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ