อินชิงเสวียนได้กลับเข้ามาในเรือนแล้ว กำลังจะขึ้นไปที่ศาลา แต่กลับเห็นเย่จิ่งอวี้ที่มือซ้ายอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ส่วนมือขวาก็ประคองสวีจือย่วน และสวีจือย่วนก็ซบอยู่บนตักของเขาพอดีเพลิงโทสะในใจพลันลุกโชน บุรุษไม่มีคนดีเลยจริงๆโดยเฉพาะฮ่องเต้!นางมาที่ห้องครัวเล็กด้วยสีหน้าโกรธเคือง บอกอวิ๋นฉ่ายที่กำลังผสมไส้ว่า “ไม่ต้องนึ่งซาลาเปาแล้วล่ะ ฝ่าบาทบอกว่าไม่กินแล้ว”อวิ๋นฉ่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อ้าว? แล้วจะทำอาหารอะไรดีเพคะ”“ไม่ต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยกินอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นส่งมาก็ได้”อินชิงเสวียนกลับไปที่ห้องโถงด้านใน และหายตัวเข้าไปในมิติพอดีกับพืชผลในมิติที่กำลังสุกงอม นางจึงถือโอกาสเก็บเกี่ยวไว้ด้วยเลยจากนั้นก็ปลูกพืชอีกครั้ง แต่ในใจยังรู้สึกไม่มีความสุขดูเหมือนว่าสิ่งที่นางคิดเมื่อก่อนนั้นถูกต้อง จะชอบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮ่องเต้เย่จิ่งอวี้มีสตรีชอบด้วยกฎหมายมากมาย แต่นางมีเพียงเขาเท่านั้น นี่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีอินชิงเสวียนได้ตกลงปลงใจไว้แล้ว คิดไว้ว่าจะรอให้อินจ้งกลับมาก่อน แล้วนางค่อยเพลิดเพลินไปกับชีวิตรักในยุคโบราณทว่าตอนนี้นางหมดอารม
ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมา และพาเย่จิ่งอวี้ออกจากระยะฝ่ามือของชายคนนั้นฝ่ามือของชายคนนั้นพลาด เขาก็หันฝ่ามือขึ้น แล้วสะบัดใส่ผู้มาเยือนด้วยความเร็วปานอสุนีบาตมีเสียงปังดังสนั่น แล้วร่างทั้งคู่ก็แยกออกจากกันเย่จิ่งอวี้อุทาน “เสวียนเอ๋อร์”ซึ่งผู้ที่ดึงเย่จิ่งอวี้ออกไป ก็คืออินชิงเสวียนนั่นเองนางรู้จักกับเย่จิ่งอวี้มานาน ถึงจะในฐานะเพื่อน นางก็ไม่อาจเห็นเขาได้รับบาดเจ็บได้ อีกทั้งตัวเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นชายผมขาวกำลังจะลงมือ นางก็แลกความเร็วและพลังของมิติ เพื่อสู้ฝ่ามือกับชายผมขาวผู้นั้นทันทีเมื่อฝ่ามือนั้นพุ่งออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานและเลือดในอกที่กำลังปั่นป่วน กลิ่นเค็มคาวเลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอ ยากที่จะระงับไว้ได้ นางจึงกระอักเลือดออกมาเต็มคำชายคนนั้นหยุดฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่จ้องมองอินชิงเสวียนด้วยแววตาลึกล้ำตอนแรกดวงตาที่สงบคู่นั้น คล้ายจะเกิดคลื่นขนาดใหญ่ และค่อยๆ บ้าคลั่ง“ดีมาก ถ้าเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องดีใจมากที่ได้พบเจ้าอย่างแน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยืนขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้ถามด้วยน้ำเสียงเย็
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าดูแลให้ดีด้วย”“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”“ออกไปเถอะ”เย่จิ่งอวี้โบกมือหมอหลวงเหลียงถอยหลังออกไปหลายก้าว“กระหม่อมทูลลา”หลังจากที่หมอหลวงเหลียงจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้านในนางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “การต่อสู้เมื่อครู่ คงทำให้ฝ่าบาทมีเหงื่อออกมาก หม่อมฉันได้สั่งให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว ฝ่าบาทไปชำระพระวรกายเถิด”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทั้งที่สวมชุดคลุม เดินมาหาอินชิงเสวียน แล้วมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า“เสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนยักไหล่“หม่อมฉันดูคล้ายคนที่เป็นอะไรงั้นหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้มองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ์เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อาจจะรับฝ่ามือของคนประหลาดผู้นั้นไม่ได้”เขาขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง “เสวียนเอ๋อร์รู้จักคนประหลาดผมขาวคนนั้นหรือเปล่า”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ “ไม่รู้จักเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แปลกมาก ทำไมพอเขาเห็นเจ้าถึงเรียกเจ้าว่าศิษย์ แล้วเหตุใดถึงมีวรยุทธ์สูงขนาดนี้”อินชิงเสวียนพูดอย่างไม่รู้จะอธ
หลังจากดื่มชาแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็แต่งตัวเต็มยศชุดคลุมสีเหลืองอ่อนทำให้เขาดูมีสูงศักดิ์น่าครั่นคร้าม เรียวตาหงส์ดูผ่องใสเย่จั้นยังคงสวมชุดขาวราวกับหิมะ ปราศจากฝุ่นผงแปดเปื้อนเขาเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน กางเสื้อคลุมออก และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง“กระหม่อมเย่จั้น ถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปช่วยเย่จั้นลุกขึ้น พูดอย่างอบอุ่น “ที่นี่ไม่มีคนนอก เหตุใดเสด็จอาต้องมากพิธีเช่นนี้ เชิญลุกขึ้นเร็ว”เย่จั้นยืนขึ้น กวาดสายมองสำรวจร่างกายของเย่จิ่งอวี้แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “กระหม่อมได้ยินมาว่ามีคนลอบสังหารในวัง ฝ่าบาทก็ได้รับบาดเจ็บจากการใช้กำลังภายในด้วย ตามหมอหลวงมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พันแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีพลังงานเหลือเฟือ ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนแม้แต่น้อย เสด็จอาไม่ต้องห่วง”อินชิงเสวียนเหลือบมองใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ ก็เห็นว่าเขาดูแช่มชื่น สีหน้าดูไม่เลว จึงคิดว่าการแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณได้ผลจริงๆช่วงนี้ควรให้เขาแช่น้ำพุวิญญาณทุกวันก็ดี เย่จิ่งอวี้ฝึกวรยุทธ์มา ดังนั้นน้ำพุวิญญาณน่าจะช่วยเขาได้เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสว
เมื่อมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ค่อยๆ ปรากฏชัดในคลองจักษุ อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกทันที“ท่าน...ท่านจะทำอะไร”ดวงตาของนางเบิกกว้าง ดูคล้ายกระต่ายตัวน้อยที่กำลังตื่นกลัวเมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็ไม่สามารถควบคุมความหวั่นไหวในหัวใจได้อีกต่อไป ริมฝีปากบางประกบลงไปอย่างแนบแน่นการจูบอย่างกะทันหันทำให้คนไม่ทันระวังตัว การเสียดสีของริมฝีปากและฟัน รวมถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ไหลรดจมูกของนาง ทำให้สมองของอินชิงเสวียนขาวโพลน นางคว้าเสื้อของเย่จิ่งอวี้โดยไม่รู้ตัว กระซิบเสียงแผ่ว “อย่า...”ทว่าเสียงแผ่วบวกกับการเคลื่อนไหวของนาง กลับยิ่งรู้สึกถึงการเชิญชวนบางอย่างเย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใช้ลิ้นอันช้ำชองดุนฟันของนางให้แยกออก วงแขนอันแข็งแกร่งกอดกระหวัดเอวเรียวเล็กของอินชิงเสวียนไว้แน่น ราวกับจะรั้งร่างของนางเข้าสิงสู่ร่างกายของเขาจูบของเขาเร่าร้อนและครอบครอง เรียวตาหงส์ค่อยๆ พร่าเลือนเขาหอบหายใจเล็กน้อย แล้วกระซิบข้างหูนาง “เสวียนเอ๋อร์ อย่ากลัวเลย...”นิ้วเรียวยาวได้ปลดสายรัดเอวของนางออกแล้ว กระโปรงผ้านิ่มก็เลื่อนหลุดออกไปทันทีความเย็นที่กระทบร่างทำให้อ
“หากไทเฮาไม่สบายพระทัย กระหม่อมจะส่งคนไปสืบเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”ชุยไห่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “หลังจากเกิดเรื่องเสวียนเจิน ฝ่าบาทก็ไม่น่าจะหาคนเข้าวังมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว”ไทเฮาหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เหตุผลที่เสวียนเจินเต็มใจที่จะอยู่ในวัง ก็เพราะว่าข้าสามารถอ่านความคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาไม่ใช่หลวงจีน ก็เหมาะสมกับอันไท่ผินอยู่ แต่น่าเสียดาย ที่เขาไร้ความสามารถเกินไป สุดท้ายข้าก็ใช้การไม่ได้ กลับทำให้นังแพศยาดึงดูดความสนใจไปแทน”ชุยไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เรื่องนี้...”ไทเฮาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังเห็นสัญญาณบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลวงจีนก็ดี นักพรตเต๋าก็ช่าง มนุษย์ล้วนหนีไม่พ้น สุรา เมถุน ทรัพย์ และความโกรธหรอก ประเดี๋ยวข้าจะไปดูหน่อย หลวงจีนผู้นี้ชอบสิ่งใด”ความทะเยอทะยานของไทเฮายังไม่สิ้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเสวียนเจิน นางก็เข้าใจด้วยว่าโลกนี้ไม่มีผีหรือปีศาจ ทุกอย่างเป็นเพียงการตบตาคน ใช้เรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างเท่านั้นนางไม่เชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับนังแพศยาอินชิงเสวียนทุกครั้งไปหรอกชุยไห่ช่วยประคองไทเ
ณ เมืองหลวงของต้าโจวตำหนักจินหวูชั่วพริบตาเดียวก็เป็นยามเที่ยงแล้ว อินชิงเสวียนคาดว่าเย่จิ่งอวี้คงใกล้เลิกประชุมเช้าแล้ว จึงให้อวิ๋นฉ่ายจัดเรียงซาลาเปาใส่ซึงนึ่ง แล้วจุดไฟสามสิบนาทีต่อมา เย่จิ่งอวี้ที่เปลี่ยนชุดลำลองแล้วก็เดินเข้ามาจากด้านนอกเมื่อเห็นเขามีสีหน้าสงบ อินชิงเสวียนก็เดาได้ว่าเช้านี้อาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”นางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ยืนยอบการคำนับเขาอยู่หน้าประตูเย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เจ้าถวายบังคมข้าด้วย คงไม่ได้มีเรื่องจะขอร้องกระมัง”ในการประชุมเช้าวันนี้ โหราจารย์ได้รายงานเรื่องที่เสวียนเทียนเข้าวังตามที่เขาบอกแล้วซึ่งตาเฒ่าผู้นี้ไม่มีการตั้งคำถามให้มากความ ช่วยให้เย่จิ่งอวี้ประหยัดน้ำลายได้มากอีกทั้งคลองส่งอาหารและน้ำได้ผลสำเร็จ ราษฎรผู้พลัดถิ่นได้กลับบ้านเกิดแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาจริงๆสิ่งเดียวที่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจคือคนประหลาดผมขาวคนนั้นหากเขาหายดีจากอาการบาดเจ็บ เขาอาจไม่แพ้เมื่อคิดได้ดังนี้ เย่จิ่งอวี้ก็สงบลงอีกครั้งอินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่เกรงใจ“ถ้าไม่มีเรื่องขอร้องฝ
อินชิงเสวียนมีมิติสำหรับปกป้องตัวเอง แต่นางเป็นห่วงบาดแผลของเย่จิ่งอวี้“สุขภาพของฝ่าบาท...ได้หรือ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร บาดแผลเกือบจะหายดีแล้ว อีกอย่างอาจไม่ได้เผชิญหน้ากับนักฆ่าทุกครั้งหรอกกระมัง”เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อินชิงเสวียนกลับยิ่งกังวลมากขึ้นถึงอย่างไรก็ยังจับตัวอาซือหลานไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวง จะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังตลอดเวลาอย่างแน่นอนเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็จับไหล่ของนางไว้พูดอย่างอบอุ่น “หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะให้ทหารรักษาพระองค์ตามไปเยอะๆ”“ได้เพคะ!”พาคนไปเยอะ ป้องกันไว้ก่อนจะได้รู้สึกอุ่นใจทุกคนจึงขนของมุ่งหน้าออกจากเมือง หนึ่งชั่วยามต่อมา ก็มาถึงเขตชานเมืองเมื่อยืนอยู่บนเนินเขา ยังคงมองเห็นหลุมลึกที่เกิดจากการระเบิดครั้งล่าสุดได้“ต้องทำอย่างไร ข้าจะให้คนมาช่วยเจ้า” เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วถามขึ้นอินชิงเสวียนสั่งอย่างเป็นระเบียบ “ขั้นแรกต้มดินดินประสิว แร่กำมะถันก็ต้องบดเป็นผงด้วย จากนั้นส่งคนไปเผาถ่าน”ส่วนตัวนางก็หยิบผ้าหยาบออกมา แล้วบิดเป็นสายชนวนทหารรักษาพระองค์ถูกแ