อินชิงเสวียนได้กลับเข้ามาในเรือนแล้ว กำลังจะขึ้นไปที่ศาลา แต่กลับเห็นเย่จิ่งอวี้ที่มือซ้ายอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ส่วนมือขวาก็ประคองสวีจือย่วน และสวีจือย่วนก็ซบอยู่บนตักของเขาพอดีเพลิงโทสะในใจพลันลุกโชน บุรุษไม่มีคนดีเลยจริงๆโดยเฉพาะฮ่องเต้!นางมาที่ห้องครัวเล็กด้วยสีหน้าโกรธเคือง บอกอวิ๋นฉ่ายที่กำลังผสมไส้ว่า “ไม่ต้องนึ่งซาลาเปาแล้วล่ะ ฝ่าบาทบอกว่าไม่กินแล้ว”อวิ๋นฉ่ายตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “อ้าว? แล้วจะทำอาหารอะไรดีเพคะ”“ไม่ต้องทำแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้าค่อยกินอาหารที่ห้องพระเครื่องต้นส่งมาก็ได้”อินชิงเสวียนกลับไปที่ห้องโถงด้านใน และหายตัวเข้าไปในมิติพอดีกับพืชผลในมิติที่กำลังสุกงอม นางจึงถือโอกาสเก็บเกี่ยวไว้ด้วยเลยจากนั้นก็ปลูกพืชอีกครั้ง แต่ในใจยังรู้สึกไม่มีความสุขดูเหมือนว่าสิ่งที่นางคิดเมื่อก่อนนั้นถูกต้อง จะชอบใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮ่องเต้เย่จิ่งอวี้มีสตรีชอบด้วยกฎหมายมากมาย แต่นางมีเพียงเขาเท่านั้น นี่ไม่ยุติธรรมเลยเดิมทีอินชิงเสวียนได้ตกลงปลงใจไว้แล้ว คิดไว้ว่าจะรอให้อินจ้งกลับมาก่อน แล้วนางค่อยเพลิดเพลินไปกับชีวิตรักในยุคโบราณทว่าตอนนี้นางหมดอารม
ในช่วงเวลาวิกฤติ ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวแวบออกมา และพาเย่จิ่งอวี้ออกจากระยะฝ่ามือของชายคนนั้นฝ่ามือของชายคนนั้นพลาด เขาก็หันฝ่ามือขึ้น แล้วสะบัดใส่ผู้มาเยือนด้วยความเร็วปานอสุนีบาตมีเสียงปังดังสนั่น แล้วร่างทั้งคู่ก็แยกออกจากกันเย่จิ่งอวี้อุทาน “เสวียนเอ๋อร์”ซึ่งผู้ที่ดึงเย่จิ่งอวี้ออกไป ก็คืออินชิงเสวียนนั่นเองนางรู้จักกับเย่จิ่งอวี้มานาน ถึงจะในฐานะเพื่อน นางก็ไม่อาจเห็นเขาได้รับบาดเจ็บได้ อีกทั้งตัวเขายังได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นชายผมขาวกำลังจะลงมือ นางก็แลกความเร็วและพลังของมิติ เพื่อสู้ฝ่ามือกับชายผมขาวผู้นั้นทันทีเมื่อฝ่ามือนั้นพุ่งออกมา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานและเลือดในอกที่กำลังปั่นป่วน กลิ่นเค็มคาวเลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอ ยากที่จะระงับไว้ได้ นางจึงกระอักเลือดออกมาเต็มคำชายคนนั้นหยุดฝีเท้า ดวงตาทั้งคู่จ้องมองอินชิงเสวียนด้วยแววตาลึกล้ำตอนแรกดวงตาที่สงบคู่นั้น คล้ายจะเกิดคลื่นขนาดใหญ่ และค่อยๆ บ้าคลั่ง“ดีมาก ถ้าเสี่ยวเฟิ่งเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องดีใจมากที่ได้พบเจ้าอย่างแน่นอน”เย่จิ่งอวี้ยืนขวางหน้าอินชิงเสวียนไว้ถามด้วยน้ำเสียงเย็
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว พวกเจ้าดูแลให้ดีด้วย”“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”“ออกไปเถอะ”เย่จิ่งอวี้โบกมือหมอหลวงเหลียงถอยหลังออกไปหลายก้าว“กระหม่อมทูลลา”หลังจากที่หมอหลวงเหลียงจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้านในนางเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “การต่อสู้เมื่อครู่ คงทำให้ฝ่าบาทมีเหงื่อออกมาก หม่อมฉันได้สั่งให้คนเตรียมน้ำไว้แล้ว ฝ่าบาทไปชำระพระวรกายเถิด”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นทั้งที่สวมชุดคลุม เดินมาหาอินชิงเสวียน แล้วมองสำรวจนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า“เสวียนเอ๋อร์ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ”อินชิงเสวียนยักไหล่“หม่อมฉันดูคล้ายคนที่เป็นอะไรงั้นหรือเพคะ”เย่จิ่งอวี้มองดูนางอยู่นาน แล้วจึงพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวรยุทธ์เช่นนี้ แม้แต่ข้าก็อาจจะรับฝ่ามือของคนประหลาดผู้นั้นไม่ได้”เขาขมวดคิ้วและถามอีกครั้ง “เสวียนเอ๋อร์รู้จักคนประหลาดผมขาวคนนั้นหรือเปล่า”อินชิงเสวียนส่ายศีรษะ “ไม่รู้จักเพคะ หม่อมฉันไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วกล่าวว่า “แปลกมาก ทำไมพอเขาเห็นเจ้าถึงเรียกเจ้าว่าศิษย์ แล้วเหตุใดถึงมีวรยุทธ์สูงขนาดนี้”อินชิงเสวียนพูดอย่างไม่รู้จะอธ
หลังจากดื่มชาแล้ว เย่จิ่งอวี้ก็แต่งตัวเต็มยศชุดคลุมสีเหลืองอ่อนทำให้เขาดูมีสูงศักดิ์น่าครั่นคร้าม เรียวตาหงส์ดูผ่องใสเย่จั้นยังคงสวมชุดขาวราวกับหิมะ ปราศจากฝุ่นผงแปดเปื้อนเขาเดินเข้าไปในห้องโถงชั้นใน กางเสื้อคลุมออก และคุกเข่าลงข้างหนึ่ง“กระหม่อมเย่จั้น ถวายบังคมฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปช่วยเย่จั้นลุกขึ้น พูดอย่างอบอุ่น “ที่นี่ไม่มีคนนอก เหตุใดเสด็จอาต้องมากพิธีเช่นนี้ เชิญลุกขึ้นเร็ว”เย่จั้นยืนขึ้น กวาดสายมองสำรวจร่างกายของเย่จิ่งอวี้แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “กระหม่อมได้ยินมาว่ามีคนลอบสังหารในวัง ฝ่าบาทก็ได้รับบาดเจ็บจากการใช้กำลังภายในด้วย ตามหมอหลวงมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “พันแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ข้ามีพลังงานเหลือเฟือ ไม่รู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนแม้แต่น้อย เสด็จอาไม่ต้องห่วง”อินชิงเสวียนเหลือบมองใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ ก็เห็นว่าเขาดูแช่มชื่น สีหน้าดูไม่เลว จึงคิดว่าการแช่ตัวในน้ำพุวิญญาณได้ผลจริงๆช่วงนี้ควรให้เขาแช่น้ำพุวิญญาณทุกวันก็ดี เย่จิ่งอวี้ฝึกวรยุทธ์มา ดังนั้นน้ำพุวิญญาณน่าจะช่วยเขาได้เมื่อนึกถึงตรงนี้ อินชิงเสว
เมื่อมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ค่อยๆ ปรากฏชัดในคลองจักษุ อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกทันที“ท่าน...ท่านจะทำอะไร”ดวงตาของนางเบิกกว้าง ดูคล้ายกระต่ายตัวน้อยที่กำลังตื่นกลัวเมื่อเห็นท่าทางที่น่ารักของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็ไม่สามารถควบคุมความหวั่นไหวในหัวใจได้อีกต่อไป ริมฝีปากบางประกบลงไปอย่างแนบแน่นการจูบอย่างกะทันหันทำให้คนไม่ทันระวังตัว การเสียดสีของริมฝีปากและฟัน รวมถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ไหลรดจมูกของนาง ทำให้สมองของอินชิงเสวียนขาวโพลน นางคว้าเสื้อของเย่จิ่งอวี้โดยไม่รู้ตัว กระซิบเสียงแผ่ว “อย่า...”ทว่าเสียงแผ่วบวกกับการเคลื่อนไหวของนาง กลับยิ่งรู้สึกถึงการเชิญชวนบางอย่างเย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใช้ลิ้นอันช้ำชองดุนฟันของนางให้แยกออก วงแขนอันแข็งแกร่งกอดกระหวัดเอวเรียวเล็กของอินชิงเสวียนไว้แน่น ราวกับจะรั้งร่างของนางเข้าสิงสู่ร่างกายของเขาจูบของเขาเร่าร้อนและครอบครอง เรียวตาหงส์ค่อยๆ พร่าเลือนเขาหอบหายใจเล็กน้อย แล้วกระซิบข้างหูนาง “เสวียนเอ๋อร์ อย่ากลัวเลย...”นิ้วเรียวยาวได้ปลดสายรัดเอวของนางออกแล้ว กระโปรงผ้านิ่มก็เลื่อนหลุดออกไปทันทีความเย็นที่กระทบร่างทำให้อ
“หากไทเฮาไม่สบายพระทัย กระหม่อมจะส่งคนไปสืบเพิ่มพ่ะย่ะค่ะ”ชุยไห่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “หลังจากเกิดเรื่องเสวียนเจิน ฝ่าบาทก็ไม่น่าจะหาคนเข้าวังมาอย่างส่งเดชอีกแล้ว”ไทเฮาหัวเราะเยาะและกล่าวว่า “เหตุผลที่เสวียนเจินเต็มใจที่จะอยู่ในวัง ก็เพราะว่าข้าสามารถอ่านความคิดของเขาได้ทะลุปรุโปร่ง ถ้าเขาไม่ใช่หลวงจีน ก็เหมาะสมกับอันไท่ผินอยู่ แต่น่าเสียดาย ที่เขาไร้ความสามารถเกินไป สุดท้ายข้าก็ใช้การไม่ได้ กลับทำให้นังแพศยาดึงดูดความสนใจไปแทน”ชุยไห่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เรื่องนี้...”ไทเฮาแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา กล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ก็ยังเห็นสัญญาณบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหลวงจีนก็ดี นักพรตเต๋าก็ช่าง มนุษย์ล้วนหนีไม่พ้น สุรา เมถุน ทรัพย์ และความโกรธหรอก ประเดี๋ยวข้าจะไปดูหน่อย หลวงจีนผู้นี้ชอบสิ่งใด”ความทะเยอทะยานของไทเฮายังไม่สิ้น หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเสวียนเจิน นางก็เข้าใจด้วยว่าโลกนี้ไม่มีผีหรือปีศาจ ทุกอย่างเป็นเพียงการตบตาคน ใช้เรื่องเหล่านั้นมาเป็นข้ออ้างเท่านั้นนางไม่เชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับนังแพศยาอินชิงเสวียนทุกครั้งไปหรอกชุยไห่ช่วยประคองไทเ
ณ เมืองหลวงของต้าโจวตำหนักจินหวูชั่วพริบตาเดียวก็เป็นยามเที่ยงแล้ว อินชิงเสวียนคาดว่าเย่จิ่งอวี้คงใกล้เลิกประชุมเช้าแล้ว จึงให้อวิ๋นฉ่ายจัดเรียงซาลาเปาใส่ซึงนึ่ง แล้วจุดไฟสามสิบนาทีต่อมา เย่จิ่งอวี้ที่เปลี่ยนชุดลำลองแล้วก็เดินเข้ามาจากด้านนอกเมื่อเห็นเขามีสีหน้าสงบ อินชิงเสวียนก็เดาได้ว่าเช้านี้อาจจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”นางอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง ยืนยอบการคำนับเขาอยู่หน้าประตูเย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้เจ้าถวายบังคมข้าด้วย คงไม่ได้มีเรื่องจะขอร้องกระมัง”ในการประชุมเช้าวันนี้ โหราจารย์ได้รายงานเรื่องที่เสวียนเทียนเข้าวังตามที่เขาบอกแล้วซึ่งตาเฒ่าผู้นี้ไม่มีการตั้งคำถามให้มากความ ช่วยให้เย่จิ่งอวี้ประหยัดน้ำลายได้มากอีกทั้งคลองส่งอาหารและน้ำได้ผลสำเร็จ ราษฎรผู้พลัดถิ่นได้กลับบ้านเกิดแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาจริงๆสิ่งเดียวที่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจคือคนประหลาดผมขาวคนนั้นหากเขาหายดีจากอาการบาดเจ็บ เขาอาจไม่แพ้เมื่อคิดได้ดังนี้ เย่จิ่งอวี้ก็สงบลงอีกครั้งอินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่เกรงใจ“ถ้าไม่มีเรื่องขอร้องฝ
อินชิงเสวียนมีมิติสำหรับปกป้องตัวเอง แต่นางเป็นห่วงบาดแผลของเย่จิ่งอวี้“สุขภาพของฝ่าบาท...ได้หรือ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร บาดแผลเกือบจะหายดีแล้ว อีกอย่างอาจไม่ได้เผชิญหน้ากับนักฆ่าทุกครั้งหรอกกระมัง”เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อินชิงเสวียนกลับยิ่งกังวลมากขึ้นถึงอย่างไรก็ยังจับตัวอาซือหลานไม่ได้ เขาอยู่ในเมืองหลวง จะต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังตลอดเวลาอย่างแน่นอนเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้ก็จับไหล่ของนางไว้พูดอย่างอบอุ่น “หากเจ้าเป็นกังวล ข้าจะให้ทหารรักษาพระองค์ตามไปเยอะๆ”“ได้เพคะ!”พาคนไปเยอะ ป้องกันไว้ก่อนจะได้รู้สึกอุ่นใจทุกคนจึงขนของมุ่งหน้าออกจากเมือง หนึ่งชั่วยามต่อมา ก็มาถึงเขตชานเมืองเมื่อยืนอยู่บนเนินเขา ยังคงมองเห็นหลุมลึกที่เกิดจากการระเบิดครั้งล่าสุดได้“ต้องทำอย่างไร ข้าจะให้คนมาช่วยเจ้า” เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลังแล้วถามขึ้นอินชิงเสวียนสั่งอย่างเป็นระเบียบ “ขั้นแรกต้มดินดินประสิว แร่กำมะถันก็ต้องบดเป็นผงด้วย จากนั้นส่งคนไปเผาถ่าน”ส่วนตัวนางก็หยิบผ้าหยาบออกมา แล้วบิดเป็นสายชนวนทหารรักษาพระองค์ถูกแ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี