ซึ่งเวลานี้ ในตำหนักจินหวูกำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวายหลายอึดใจก่อน ไทเฮาประกาศว่าอินชิงเสวียนได้ลอบสังหารฝ่าบาท ทุกคนในวังล้วนตกอยู่ในความระแวดระวัง เป็นที่ตื่นตระหนกกันไปทั่วทุกแห่งหนหรือว่าเรื่องที่ฝ่าบาทจะทำการสังหารหมู่ในตำหนักจินหวู กำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้วเดิมทีทุกคนคิดว่าจะสามารถมีวาสนาไปกับเจ้านายที่ได้รับความโปรดปราน แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน พระสนมเหยาเฟยผู้นี้ก็กลายเป็นนักฆ่า แถมยังลอบสังหารฝ่าบาทอีกด้วยหากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ พวกเขาคงจะถูกตัดหัวแน่ในวังหลวงแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยคนที่ประจบผู้มีฐานะสูงและเหยียบย่ำผู้ที่ตกต่ำ เมื่อก่อนพวกขันทีนางกำนัลเหล่านี้มีแต่จะมาประจบประแจงยกยอปอปั้นอวิ๋นฉ่าย ยายหลี่ และเสี่ยวอานจื่อ บัดนี้พระสนมเกิดโชคร้าย อยู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกขัดตาขึ้นมาเสียงอย่างนั้นตอนแรกเสี่ยวอานจื่ออยากส่งคนไปหาข่าวสักคน แต่กลับไม่สามารถใช้งานใครได้ จึงอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าและสาปแช่งด้วยความโกรธขันทีน้อยต่างก็คิดว่าถึงอย่างไรพวกเขาจะต้องตายกันหมดอยู่แล้ว ไยจึงต้องมาทนกับอารมณ์โมโหร้ายนี้ด้วย จึงไม่ทำตามคำสั่งของเสี่ยวอานจื่อ แถมทั้งหมดยังช่วยกันรุ
ณ ตำหนักเฉิงเทียนอินชิงเสวียนป้อนน้ำพุวิญญาณจนหมดขวด สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การสะท้อนขึ้นลงของหน้าอกดูมีแรงขึ้นเมื่อมองดูเส้นสีเขียวบนข้อมือของเขา ก็ดูดีขึ้นมากแล้วอินชิงเสวียนเช็ดปาก แล้วพูดกับเย่จั้น “พิษของฝ่าบาทน่าจะถูกขจัดไปเกือบหมดแล้ว”เย่จั้นวางนิ้วบนข้อมือของเย่จิ่งอวี้ทันที เมื่อเห็นว่าชีพจรเริ่มเต้นแรงแล้ว เขาก็พยักหน้า“ข้าจะตามหมอหลวงเข้ามาตรวจดู”“ดี”อินชิงเสวียนประคองเย่จิ่งอวี้ให้เขานอนหนุนหมอนอย่างเบามือ เมื่อมองดูคิ้วที่ขมวดมุ่น นางก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนางจับมืออันเย็นชื้นข้างนั้น พร่ำกระซิบในใจไม่หยุดทุกอย่างต้องเรียบร้อยดี!เย่จิ่งอวี้ ท่านจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน!เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าด้านนอก อินชิงเสวียนก็ปล่อยมืออย่างรวดเร็ว ก้มศีรษะลงแล้วก้าวออกไปอยู่ข้างๆหมอหลวงเหลียงรีบเดินเข้าไปในห้อง แล้วคุกเข่าข้างเตียงเพื่อตรวจชีพจรของเย่จิ่งอวี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งแววตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจเขาพูดด้วยความประหลาดใจระคนยินดี “พิษของฝ่าบาทถูกขจัดไปแล้วจริงๆ นี่ นี่เป็นไปได้อย่างไร”ว่ากันว่าเมื่อดีนกยูงได้เข้าสู่ร่างก
นางยอมให้คนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นตัวเอง ยังดีเสียกว่าที่ต้องมาเห็นเย่จิ่งอวี้ถูกทำร้ายแบบนี้!แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไปแล้ว นางทำได้เพียงอธิษฐานต่อสวรรค์ ขอให้เย่จิ่งอวี้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็วน้ำตาร่วงเผาะๆ ลงบนหลังมือของเย่จิ่งอวี้ ตอนนี้ราวกับว่าน้ำทั้งหมดในร่างกายเหมือนจะทะลักออกมาจากดวงตาอินชิงเสวียนไม่อยากร้องไห้ นางไม่เคยเป็นคนอ่อนแอเจ้าน้ำตาเช่นนี้มาก่อน แต่นางก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เช็ดน้ำตาชุดเดิมที่ไหลรินออกมาแล้ว ก็ยังมีน้ำตาระลอกใหม่ไหลออกมาอีก อินชิงเสวียนเช็ดดวงตาอย่างแรง ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง จึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดตา“ท่านอ๋อง ท่านกลับมาแล้ว”ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าที่อยู่ข้างหลังก็หยุดลง แล้วน้ำเสียงอันคุ้นเคยก็พูดอย่างตื่นเต้น “พระสนม เป็นท่านจริงๆ!”อินชิงเสวียนหันกลับมาทันที จึงได้เห็นเสี่ยวอานจื่อที่ใบหน้าและจมูกบวมช้ำ“เสี่ยวอานจื่อ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”เสี่ยวอานจื่อเดินเร็วๆ ไปหลายก้าว แล้วมาคุกเข่าอยู่หน้าเตียง กล่าวด้วยกระแสเสียงที่ผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย“พระสนม ท่านไม่เป็นอะไรช่างดีจริงๆ ฝ่าบาท...พระองค์ทรงไม่สบายจริงหรือ”
ชายที่มีหนวดเครารีบคุกเข่าลงบนพื้นแล้วพูดอย่างสั่นเทา “ข้าน้อยไม่เชื่อเรื่องนางมารร้ายอะไรนั่น คงเป็นฟางรั่วที่กลัวว่านายท่านจะพาแม่นางอินกลับไปที่เจียงวูด้วย จึงปล่อยตัวนางไป”ฟางรั่วรู้สึกถึงความเค็มในปาก แล้วนางก็กระอักเลือดออกมาเต็ม“เจ้าอย่าใส่ความข้านะ ข้าติดตามนายท่านมามากกว่าสิบปีแล้ว ข้าแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ตลอด”อาซือหลานแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา มองฟางรั่วด้วยแววตามืดมน ฟางรั่วอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เอื้อมมือไปจับชายเสื้อคลุมของอาซือหลาน“นายท่าน ฟางรั่วไม่เคยกล้ามีความคิดเช่นนี้เลย ฟางรั่วสามารถสาบานต่อสวรรค์ใช้ท่านพ่อท่านแม่เป็นเดิมพันได้เลย ว่าไม่มีทางปล่อยอินชิงเสวียนไปเด็ดขาด”อาซือหลานถามเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นเจ้าจงบอกข้ามา ว่าคนหายไปไหน”ฟางรั่วส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ฟางรั่วไม่ทราบ นางปรากฏตัวที่โถงทางเดินแวบหนึ่ง แล้วก็หายตัวไปเลย”“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบงั้นรึ”อาซือหลานยกเท้าขึ้นเตะฟางรั่วไปอีกด้าน แล้วพูดกับชายมีหนวดเครา “ทันทีที่มีการยกเลิกคำสั่งห้ามออกจากเมืองหลวง ให้ส่งนางกลับไปที่เจียงวูทันที”ฟางรั่วอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำอีก “นายท่านถอนคำสั่งด้วย
เมื่อเห็นว่าในมือพวกเขาถือถุงดำอยู่ และดูเหมือนจะมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างใน อินชิงเสวียนรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีนางรีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที แล้วเรียกเย่จั้นขึ้นเย่จั้นเป็นคนนอนไวตื่นไวอยู่แล้ว เขาตื่นตั้งแต่ตอนที่อินชิงเสวียนออกจากห้องโถงด้านในแล้วเมื่อเห็นนางเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น”อินชิงเสวียนชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือ แล้วพูดด้วยความกระวนกระวายใจ “ท่านอ๋อง มีคนไปที่ตำหนักจินหวู อาจเป็นอันตรายต่อจ้าวเอ๋อร์ ท่านอ๋องโปรดไปช่วยเขาโดยเร็วด้วยเถิด”เมื่อมองดูร่างทั้งสองบนโทรศัพท์ เย่จั้นก็สะดุ้ง และลุกขึ้นยืนทันที“นี่คือสิ่งของชั่วร้ายอะไร”“ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย สิ่งนี้เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ สามารถเห็นภาพอีกฟากหนึ่งได้ ถ้าท่านอ๋องชอบ ข้าจะมอบให้ท่านอ๋องอันหนึ่ง ภาพที่อยู่ตรงนี้คือตำหนักจินหวู พวกเขากำลังขึ้นไปบนหลังคา คงมีแผนชั่วร้ายอยู่แน่ๆ ขอท่านอ๋องรีบไปช่วยลูกชายของข้าด้วยเถิด”อินชิงเสวียนกระวนกระวายใจจนนิ้วสั่นในเวลานี้ เงาสีขาวได้แวบเข้ามาในจอ แล้วจึงเห็นไป๋เสวี่ยเห่าไปที่หลังคาพอเห็นไป๋เสวี่ย เย่จั้นจึงเริ่มเชื่อขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอินชิงเสว
หลังจากที่เย่จั้นจากไปแล้ว อินชิงเสวียนก็รีบหยิบกระจกออกมาดู เมื่อครู่ตอนที่นางร้องไห้ ผงสีดำเหล่านั้นก็ถูกเช็ดออกไปเกือบหมดแล้วจึงรีบเข้าไปในมิติแล้วหยิบผงสีดำออกมา และทาอีกครั้งเมื่อออกมา ก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเย่จิ่งอวี้ขาวซีดขึ้นเล็กน้อยอินชิงเสวียนสัมผัสมือของเขา ก็รู้สึกว่านิ้วมือนั้นเย็นเฉียบ ไม่มีความอุ่นเลยอินชิงเสวียนรีบหยิบผ้าห่มอีกผืนมาห่มให้เย่จิ่งอวี้ แต่ก็เห็นบนหน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อมากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ไม่วายตื่นตระหนกทำไมถึงดูแย่ลงอีกล่ะอินชิงเสวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินไปที่ประตู กำลังจะไปตามหมอหลวงแต่เมื่อได้ยินเสียงโกลาหลข้างนอก นางก็กดเสียงให้ทุ้มต่ำลงทันที แล้วถามว่า “วุ่นวายอะไร”ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลี่เต๋อฝูก็จำอินชิงเสวียนไม่ได้ เมื่อเห็นว่านางอยู่กับเย่จั้นตลอด จึงคิดว่านางเป็นคนสนิทของเย่จั้น ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ฝูอี้อ๋อง บอกว่าเขาต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท” อินชิงเสวียนมีความคิดแวบหนึ่งขึ้นในหัวเขามาทำอะไรหรือว่าเจ้าเด็กนี่ก็โลภบัลลังก์เช่นกันขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น นางก็ได้ยินเย่จิ่งหลานพูดว่า “ข้ามียาอยู่ด้วย อาจสามารถ
เลือดพุ่งกระเซ็นใส่เต็มใบหน้าของอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเป็นคนที่กลัวเลือดมาก จู่ๆ ในโพรงจมูกก็มีความรู้สึกหายใจไม่ออกดันออกมาเย่จิ่งหลานเหลือบมองนางแล้วพูดเบาๆ “ถึงรู้สึกเวียนหัวก็ต้องอดทนให้ได้นะ ข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า คีมห้ามเลือดหมายเลข 3”อินชิงเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วไปหาคีมเลือดหมายเลข 3 มา“ข้าไม่เป็นไร”นางอดทนต่ออาการเวียนหัว แล้วส่งอุปกรณ์ให้เย่จิ่งหลานต่อเมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่ดูจริงจังมากของเขา อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ ที่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบจะสามารถทำการผ่าตัดที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้พอมองดูบาดแผลที่น่ากลัวภายใต้ผ้าฆ่าเชื้อสีน้ำเงิน อินชิงเสวียนก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีก รีบเบือนหน้าหนีไปอีกด้านทันทีภาพการโชกเลือดแบบนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของนางมากจริงๆมิน่าล่ะแพทย์ที่ทำการผ่าตัดถึงไม่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยเข้ามาระหว่างการผ่าตัด คนที่มีความอดทนทางใจต่ำอาจเป็นลมไปเลยก็ได้ทว่าใบหน้าของเย่จิ่งหลานกลับสงบลงเรื่อยๆ ความตื่นเต้นในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆมิติของเขาต้องทำการผ่าตัดใหญ่ จึงจะได้คะแนนที่เหมาะสมมา
ขนตาของเย่จิ่งอวี้สั่นเบาๆ แล้วเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นสายตาของเขายังคงพร่ามัวเล็กน้อย สามารถมองเห็นคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าได้รางๆแล้วเขาก็ถามอย่างอ่อนแรง “ที่นี่ที่ไหน”เย่จั้นรีบตอบ “นี่คือตำหนักเฉิงเทียนในวังหลวง”เย่จิ่งอวี้ตอบรับเบาๆ หลับตาแล้วพูดด้วยเสียงงัวเงีย “ดูเหมือนข้าจะฝันไป...ข้าฝันถึงเสวียนเอ๋อร์...”เมื่อได้ยินเขาพูดถึงชื่อของตัวเอง อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าลำคอตีบตัน อดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากแรง“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพูดเลย รีบพักผ่อนให้มากๆ เถิด”เย่จิ่งอวี้มองมาทางนางทันที“เสวียนเอ๋อร์?”แล้วเขาก็ส่ายศีรษะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรงว่า “ข้าคงฝันไปอีกแล้ว นางเกลียดข้าถึงเพียงนั้น นางจะมาหาข้าได้อย่างไร”หลังจากพูดจบ เย่จิ่งอวี้ก็หลับลึกอีกครั้งอินชิงเสวียนจับมือของเขา ในใจรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบทนไม่ไหวนางหายใจเข้าลึกๆ อดทนต่อความร้อนในดวงตา แล้วพูดโดยไร้สุ้มเสียง เย่จิ่งอวี้ ท่านดีกับข้ามากขนาดนี้ ข้าจะเกลียดท่านได้อย่างไรเย่จั้นตรวจชีพจรเย่จิ่งอวี้อีกครั้งแล้วกระซิบว่า “ในเมื่อฝ่าบาททรงฟื้นได้แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาปลอดภัยแล้ว เพื่อป้องก