เมื่อขันทีน้อยได้ยินว่าอินชิงเสวียนเป็นปีศาจร้าย พวกเขาก็เริ่มกลัว กลัวว่านางจะกลายเป็นสิ่งชั่วร้าย อ้าปากกัดกินพวกเขา แต่ก็ไม่กล้าปล่อย พวกเขาคว้าเสื้อผ้าของอินชิงเสวียน และผลักนางไปข้างหน้าอินชิงเสวียนถูกผลักตัวเซ จึงอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ ขันทีน้อยหลายคนสะดุ้งทันทีเสวียนเจินดุทันที “มารร้ายจริงๆ กำลังจะตายแล้วยังไม่สำรวมอีก”อินชิงเสวียนถุยปาก พูดว่า “เจ้าหัวโล้นโง่เง่า เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังถ่ายทำภาพยนตร์อยู่รึ สำคัญตัวจริงๆ ข้าอยากเห็นนักเชียว ว่าในสามวันนี้เจ้าจะทำอะไรกับข้าได้”เสวียนเจินไม่ได้โต้เถียงกับนาง เขาตั้งมือขวาวางบนหน้าอก ท่าทางเคร่งขรึมราวกับผู้อยู่เหนือกว่าอันยากจะหยั่งถึงเมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของเขา อินชิงเสวียนก็เรื่อมรู้สึกร้อนใจ หลวงจีนบ้านี่คงไม่มีวิชาแปลงร่างได้จริงหรอกนะ ถ้าเสกให้นางกลายเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ อะไรสักตัวจริง ถึงตอนนั้นต่อให้นางอมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อ อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งต่อ “นี่ เจ้าโล้นบ้า เจ้าเป็นบ้าอะไร”ไม่ว่าอินชิงเสวียนจะตะโกนสาปแช่งมากแค่ไหน เสวียนเจินก็ไม่พูดอะไร และแล้วสามสิบนาทีต่อมา อินชิงเสวียนถูกนำตัวไปที่หอสวดมนต์ข
ณ ตำหนักฉือหนิงงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันประสูติของไทเฮายังคงดำเนินต่อไปเหล่าขุนนางต่างผลัดถ้วยแลกจอก กล่าววาจาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำอันเป็นมงคลเย่จิ่งเย่าอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้น ถึงอย่างไรขิงแก่ก็ยังเผ็ดอยู่วันยังค่ำทำไมเขาจึงไม่เคยนึกถึงเสวียนเจินไต้ซือกันนะคืนนี้ต้องให้นังแพศยาอินชิงเสวียนได้ลิ้มรสความร้ายกาจของเขา เพื่อล้างแค้นที่นางโกนขนคิ้วเขาวันั้นไทเฮายิ่งยิ้มร่าราวกับดอกไม้บาน คิดไม่ถึงนังแพศยานี่จะถูดจัดการได้ง่ายดายปานนี้ไม่ว่าสามวันต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร นางก็ไม่มีทางรอดชีวิตออกมาได้ทว่านัยน์ตาของเย่จิ่งอวี้เย็นเย็น เมื่องานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็อ้างวาปวดศีรษะขอตัวออกมาก่อนเมื่อกลับมาถึงตำหนักเฉิงเทียน เย่จิ่งอวี้ก็เกรี้ยวกราดในทันที“ไทเฮานับวันจะยิ่งเหลือเกินจริงๆ ถึงกลับกล้าลงมือกับคนของข้าอย่างอุกอาจถึงเพียงนี้ นางคิดจะแตกหักกับข้าจริงๆ สินะ”หลี่เต๋อฝูอดเป็นกังวลเสียมิได้“ฝ่าบาท แล้วพระสนมเหยาเฟยจะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ จะให้นางอยู่ในหอสวดมนต์สามวันจริงหรือ”เย่จิ่งอวี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “นี่เป็นกฎที่ตั้งขึ้นโดยฮ่องเต้องค์ก่อน อีกอย่าง ตอนที่ฮ่อง
ชายชุดดำสองคนมีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจอย่างมาก หน่วยอารักขาทั้งหลายคำรามเสียงต่ำอยู่มิวายเสวียนเจินยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา ครั้นเห็นหน่วยอารักขาหลายสิบนายล่าถอย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปร้องตะโกนเสียงทุ้มต่ำ “จุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุ!”ทันใดนั้นมีคนกระโดดขึ้นไปบนหอสัญญาณไฟด้านหลังหอสวดมนต์ฮ่องเต้องค์ก่อนมีพระบัญชาว่า หากมีการจุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุขึ้นในหอสวดมนต์ ทหารองครักษ์ทั้งหมดในวังหลวงต้องมาช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังชายชุดดำสบตากัน หนึ่งในนั้นก็เค้นเสียงตะโกนว่า “ถอย!”จากทั้งสองคนก็ใช้อุบายหลอกตา แล้วกระโดดข้ามกำแพงไปอินชิงเสวียนยกมือขึ้นเท้าคาง ขมวดคิ้วมองอยู่หลวงจีนเฒ่าคนนี้ดูไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย!แค่หอสวดมนต์เล็กๆ แต่กลับมีหอสัญญาณไฟและหน่วยอารักขามากมายขนาดนี้!บ่อน้ำในวังหลวงชักจะลึกขึ้นเรื่อยๆ แล้วตอนนี้นางไม่รู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร จะมาช่วยนาง หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝงอยู่กันแน่อินชิงเสวียนคิดไม่ตก ทำได้เพียงรอให้ผ่านพ้นไปก่อนสามวัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจนางอ้าปากหาว นอนราบบนพื้นสนามหญ้าณ ตำหนักเฉิงเทียนร่างสีดำสองร่างพุ่งปราดเข้ามาในห้องโถงด้านใน หนึ่งในนั้นก็ถอดผ้าปิดหน
ณ ตำหนักฉือหนิงชุยไห่เฝ้าเวรดึกอยู่ด้านนอก ทันใดนั้นเขาเห็นสัญญาณไฟแจ้งเหตุถูกจุดอยู่ไกลๆ จึงวิ่งเข้าไปในห้องโถงด้านในทันที“ไทเฮา ที่หอสวดมนต์มีการจุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าอาจเกิดเรื่องขึ้น”ไทเฮายังไม่หลับ มีลู่จิ้งเสียนอยู่ข้างๆ ด้วยวันนี้อินชิงเสวียนถูกจับ ทั้งคู่ตื่นเต้นมาก กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าเมื่อได้ยินว่ามีการจุดสัญญาณไฟแจ้งเหตุในหอสวดมนต์ ไทเฮาก็ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคืนนี้วังหลังต้องไม่สงบ ชุยไห่เจ้านำทหารองครักษ์ในวังไปที่นั่นก่อน ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้”เมื่อคิดว่าเย่จิ่งเย่าก็ไปที่หอสวดมนต์เช่นกัน ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับเขา“เสียนเอ๋อร์ รีบไปดูกันเถอะ”ไทเฮาคว้าแขนของลู่จิ้งเสียน แล้วเดินออกไปที่ประตูซึ่งในเวลานี้เอง เย่จิ่งเย่าเดินไปได้ห้าก้าวสามก้าวก็หยุกพักนั่งหนึ่งที อินชิงเสวียนใส่ผงสลอดลงในเค้ก ตอนนี้มันก็ออกฤทธิ์แล้ว เย่จิ่งเย่ากินมากที่สุด จึงออกฤทธิ์เร็วกว่าคนอื่น ทันทีที่ลุกขึ้นยืน ท้องก็เริ่มปวดขึ้นทันทีด้านไทเฮาที่ออกจากตำหนักฉือหนิงแล้ว หลังจากเดินไม่กี่ก้าวนางก็
ณ เรือนจุ้ยหงฟางรั่วขมวดคิ้วเดินกลับไปกลับมาในห้องขนาดตัวเองยังได้ยินเรื่องแบบนี้ นายท่านก็ต้องได้ยินแล้วเหมือนกันขณะที่กวนเซี่ยวนั่งดื่มสุราอยู่ข้างๆ อย่างสบายอารมณ์“คุณชายใหญ่ยังไม่มา เจ้าจะกังวลไปทำไมล่ะ มิสู้ดื่มสุรากับข้าคลายความกังวลไม่ดีกว่าหรือ”ฟางรั่วแค่นเสียงขึ้นจมูก พูดว่า “เจ้ายังมีอารมณ์มาดื่มสุราอีกนะ หากนายท่านรู้ว่าอินชิงเสวียนตกอยู่ในอันตราย เขาต้องบุกเข้าวังหลวงในยามวิกาลอีกแน่นอน”กวนเซี่ยวคลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าเขาอยากไป เจ้าจะหยุดเขาได้งั้นหรือ”ในเวลานี้ เขาถือกาสุรา ท่าทางเอื่อยเฉื่อยสบายอารมณ์ ซึ่งแตกต่างจากท่าทีระมัดระวังตัวที่เขาแสดงให้อินชิงเสวียนเห็นโดยสิ้นเชิงฟางรั่วแค่นเสียงขึ้นจมูก พูดว่า “เจ้าก็คงไม่อยากให้คุณชายใหญ่ตกอยู่ในอันตรายเช่นกันกระมัง หาไม่แล้วเจ้าคงไม่คิดหาหนทางพาเขาออกมาจากจวนจอมพลหรอก”กวนเซี่ยวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น คุณชายใหญ่ไม่ใช่คนบ้าบิ่น จะทำสิ่งใดเขาย่อมมีขอบเขตอยู่แล้ว”ฟางรั่วเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “เจ้าที่มีฐานะเป็นถึงหลานชายของจอมพลกวน ทำเช่นนี้เพราะมีเจตนาใด”กวนเซี่ยวจิบสุราแล้วพูดอย่างสบายๆ “เจ้า
เสวียนเจินรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเขาถูกแผ่นเหล็กตบอย่างแรงหลายครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงมากจนส่งเสียงไม่ได้เลย รู้สึกถึงความเค็มอยู่ในปาก มีฟันซี่ใหญ่สองซี่หลุดออกมาจากปากด้วยซึ่งเหตุการณ์อันกลับตาลปัตรนี้ทำให้ทุกคนตกใจดวงตาหลายคู่มองไปที่ร่างที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนครั้นแล้วคนผู้นั้นก็หยุดมือ แล้วชี้ไปที่เสวียนเจิน ตะโกนว่า “เจ้าปีศาจหลวงจีน เห็นชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจที่สร้างปัญหาในวังหลัง”เมื่อเห็นใบหน้าที่สวยงามนั้น ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเป็นอินชิงเสวียน นังแพศยานี่ยังไม่ตาย!“บังอาจ เจ้าปีศาจร้าย กล้าทำร้ายเสวียนเจินไต้ซือได้อย่างไร เด็กๆ มาจับตัวปีศาจร้ายไว้”“ช้าก่อน!”เย่จิ่งอวี้กลับมามีสติสัมปชัญญะในทันที ก้าวไปข้างหน้า ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไต้ซือบอกว่ารูปลักษณ์ของพระสนมเหยาเฟยถูกทำลายแล้วมิใช่หรือ แล้วตอนนี้จะอธิบายว่าอย่างไร”เมื่อเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้ ทหารองครักษ์ย่อมไม่กล้าลงมือเป็นธรรมดาเสวียนเจินถูกตบจนเลือดไหลออกมาจากจมูก เครื่องแบบหลวงจีนสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือด ไม่ได้ดูเหมือนหลวงจีนผู้สูงส่งอีกแล้วเขายกมือขึ้นปิดจมูก สูดหายใจเข้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ไม่คิดว่าพล
เขารีบไปเปิดประตูทันที แล้วก็เห็นฝ่าบาทอุ้มอินชิงเสวียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วปานลมกรด“ถวายบังคมฝ่าบาท!”“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้มาที่ห้องโถงด้านใน และวางอินชิงเสวียนที่กำลังแกล้งเป็นลมไว้บนเตียงเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นแม่เขาก็ถีบขาด้วยความดีใจ มือป้อมๆ ก็ไขว่คว้าไม่หยุด พยายามไปหาอินชิงเสวียนยายหลี่กอดเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่น พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันรับใช้พระสนมมาตั้งแต่เกิด หม่อมฉันกล้ารับประกันด้วยชีวิตว่าพระสนมไม่ใช่ปีศาจอย่างแน่นอน”อวิ๋นฉ่ายก็คุกเข่าลงโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หม่อมฉันก็ขอรับรองด้วยชีวิตเช่นกันเพคะ นายหญิงนางเป็นคนดี”เสี่ยวอานจื่อก็พูดตามมาอีกว่า “ฝ่าบาท ปีศาจในตำราภาพวาดล้วนแต่เป็นคนจิตใจชั่วร้ายอย่างยิ่ง พระสนมจิตใจดี มักจะคิดถึงราษฎรและต้าโจวเสมอ จะเป็นปีศาจได้อย่างไร”หลังจากได้ยินสิ่งที่คนเหล่านี้พูด อินชิงเสวียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ใบหน้าแดงเถือกแม้ว่านางจะทำสิ่งดีๆ ให้กับราษฎร แต่ความตั้งใจเดิมของนางคือการหลอกลวงเย่จิ่งอวี้ ต้องการที่จะไปจากวังหลวง ไม่เหมาะกับคำว่า ‘คนดี’ สองคำนี้จริงๆเย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถิด ปีศาจร้ายอะ
หลังจากที่หานปิงเดินออกไป สวีจือย่วนก็จมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้งอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจเบาๆ หยิบเข็มขึ้นมาแล้วเย็บเสื้อผ้าให้เสี่ยวหนานเฟิงต่อ...ในเวลานี้ ซูฉ่ายเวยก็มีความรู้สึกผสมปนเปไปหมดเหมือนกันรู้สึกดีใจที่อินชิงเสวียนยังไม่ตาย ต่อไปยังสามารถซื้อของเพื่อเอาใจนางได้อีก แต่ก็รู้สึกกังวลที่นางยังไม่ตาย ได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักจินหวูด้วยตัวเองเมื่อคิดว่าพวกนางทั้งสองต่างก็เป็นสนมขั้นเฟย ในขณะที่เหยาเฟยอาศัยอยู่ในตำหนักจินหวู แต่ตัวเองกลับยังคงอาศัยอยู่ในหอฉงฮวาเล็กๆ จู่ๆ ในใจก็คิดว่าไม่ยุติธรรมในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเซียงหลานพูดว่า “พระสนม นายหญิงฉู่และนายหญิงท่านอื่นๆ มาเพคะ”ซูฉ่ายเวยกำลังจะหาคนคุยอยู่พอดี เมื่อได้ยินดังนี้จึงบอกว่า “ให้พวกนางเข้ามา”หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่หลิงอวี้ที่สวมกระโปรงสีเขียวก็เดินนำทุกคนเข้ามาแม้ว่าฉู่หลิงอวี้จะไม่มีตำแหน่ง แต่กลับมีนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกลชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ จึงกลายเป็นผู้นำของเหล่าหญิงงามไปโดยปริยาย นอกจากนี้ฉู่หลิงอวี้ยังมีภูมิหลังตระกูลที่ดี ตระกูลฝ่ายแม่เป็นคนค้าขาย จึงมีเงิน