เสวียนเจินรู้สึกราวกับว่าใบหน้าของเขาถูกแผ่นเหล็กตบอย่างแรงหลายครั้ง ความเจ็บปวดรุนแรงมากจนส่งเสียงไม่ได้เลย รู้สึกถึงความเค็มอยู่ในปาก มีฟันซี่ใหญ่สองซี่หลุดออกมาจากปากด้วยซึ่งเหตุการณ์อันกลับตาลปัตรนี้ทำให้ทุกคนตกใจดวงตาหลายคู่มองไปที่ร่างที่สวมชุดสีเหลืองอ่อนครั้นแล้วคนผู้นั้นก็หยุดมือ แล้วชี้ไปที่เสวียนเจิน ตะโกนว่า “เจ้าปีศาจหลวงจีน เห็นชัดว่าเจ้าเป็นปีศาจที่สร้างปัญหาในวังหลัง”เมื่อเห็นใบหน้าที่สวยงามนั้น ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเป็นอินชิงเสวียน นังแพศยานี่ยังไม่ตาย!“บังอาจ เจ้าปีศาจร้าย กล้าทำร้ายเสวียนเจินไต้ซือได้อย่างไร เด็กๆ มาจับตัวปีศาจร้ายไว้”“ช้าก่อน!”เย่จิ่งอวี้กลับมามีสติสัมปชัญญะในทันที ก้าวไปข้างหน้า ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไต้ซือบอกว่ารูปลักษณ์ของพระสนมเหยาเฟยถูกทำลายแล้วมิใช่หรือ แล้วตอนนี้จะอธิบายว่าอย่างไร”เมื่อเป็นคำสั่งจากฮ่องเต้ ทหารองครักษ์ย่อมไม่กล้าลงมือเป็นธรรมดาเสวียนเจินถูกตบจนเลือดไหลออกมาจากจมูก เครื่องแบบหลวงจีนสีขาวเปื้อนไปด้วยเลือด ไม่ได้ดูเหมือนหลวงจีนผู้สูงส่งอีกแล้วเขายกมือขึ้นปิดจมูก สูดหายใจเข้าแรงๆ แล้วพูดว่า “ไม่คิดว่าพล
เขารีบไปเปิดประตูทันที แล้วก็เห็นฝ่าบาทอุ้มอินชิงเสวียนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วปานลมกรด“ถวายบังคมฝ่าบาท!”“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้มาที่ห้องโถงด้านใน และวางอินชิงเสวียนที่กำลังแกล้งเป็นลมไว้บนเตียงเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นแม่เขาก็ถีบขาด้วยความดีใจ มือป้อมๆ ก็ไขว่คว้าไม่หยุด พยายามไปหาอินชิงเสวียนยายหลี่กอดเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่น พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันรับใช้พระสนมมาตั้งแต่เกิด หม่อมฉันกล้ารับประกันด้วยชีวิตว่าพระสนมไม่ใช่ปีศาจอย่างแน่นอน”อวิ๋นฉ่ายก็คุกเข่าลงโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หม่อมฉันก็ขอรับรองด้วยชีวิตเช่นกันเพคะ นายหญิงนางเป็นคนดี”เสี่ยวอานจื่อก็พูดตามมาอีกว่า “ฝ่าบาท ปีศาจในตำราภาพวาดล้วนแต่เป็นคนจิตใจชั่วร้ายอย่างยิ่ง พระสนมจิตใจดี มักจะคิดถึงราษฎรและต้าโจวเสมอ จะเป็นปีศาจได้อย่างไร”หลังจากได้ยินสิ่งที่คนเหล่านี้พูด อินชิงเสวียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ใบหน้าแดงเถือกแม้ว่านางจะทำสิ่งดีๆ ให้กับราษฎร แต่ความตั้งใจเดิมของนางคือการหลอกลวงเย่จิ่งอวี้ ต้องการที่จะไปจากวังหลวง ไม่เหมาะกับคำว่า ‘คนดี’ สองคำนี้จริงๆเย่จิ่งอวี้พูดเบาๆ “พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถิด ปีศาจร้ายอะ
หลังจากที่หานปิงเดินออกไป สวีจือย่วนก็จมอยู่ในห้วงความคิดลึกซึ้งอีกครั้งหลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถอนหายใจเบาๆ หยิบเข็มขึ้นมาแล้วเย็บเสื้อผ้าให้เสี่ยวหนานเฟิงต่อ...ในเวลานี้ ซูฉ่ายเวยก็มีความรู้สึกผสมปนเปไปหมดเหมือนกันรู้สึกดีใจที่อินชิงเสวียนยังไม่ตาย ต่อไปยังสามารถซื้อของเพื่อเอาใจนางได้อีก แต่ก็รู้สึกกังวลที่นางยังไม่ตาย ได้ยินมาว่าฝ่าบาทได้อุ้มนางกลับไปที่ตำหนักจินหวูด้วยตัวเองเมื่อคิดว่าพวกนางทั้งสองต่างก็เป็นสนมขั้นเฟย ในขณะที่เหยาเฟยอาศัยอยู่ในตำหนักจินหวู แต่ตัวเองกลับยังคงอาศัยอยู่ในหอฉงฮวาเล็กๆ จู่ๆ ในใจก็คิดว่าไม่ยุติธรรมในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเซียงหลานพูดว่า “พระสนม นายหญิงฉู่และนายหญิงท่านอื่นๆ มาเพคะ”ซูฉ่ายเวยกำลังจะหาคนคุยอยู่พอดี เมื่อได้ยินดังนี้จึงบอกว่า “ให้พวกนางเข้ามา”หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่หลิงอวี้ที่สวมกระโปรงสีเขียวก็เดินนำทุกคนเข้ามาแม้ว่าฉู่หลิงอวี้จะไม่มีตำแหน่ง แต่กลับมีนิสัยเจ้าเล่ห์แสนกลชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ จึงกลายเป็นผู้นำของเหล่าหญิงงามไปโดยปริยาย นอกจากนี้ฉู่หลิงอวี้ยังมีภูมิหลังตระกูลที่ดี ตระกูลฝ่ายแม่เป็นคนค้าขาย จึงมีเงิน
อินชิงเสวียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ถามด้วยแววตาเป็นประกาย “ฝ่าบาทยอมมอบตัวปีศาจหลวงจีนนั่นให้หม่อมฉันจริงหรือเพคะ”เมื่อเห็นท่าทางของนางดูมีชีวิตชีวา เย่จิ่งอวี้ก็ดูเหมือนจะได้ตัวเสี่ยวเสวียนจื่อผู้เฉลียวฉลาดซุกซนคนเดิมกลับคืนมาเขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายรักใคร่“แน่นอน แต่เจ้าต้องมั่นใจว่าจะจัดการเขาให้อยู่หมัดให้ได้”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจกล่าวว่า “นั่นไม่มีปัญหา หม่อมฉันจะทำให้เขาเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงออกมาอย่างแน่นอน”เย่จิ่งอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเรียกรวมทุกคนในวังหลัง ให้ไปพร้อมกันที่หอสวดมนต์”“พรุ่งนี้...” อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรรึ เจ้ามีความลำบากใจ?”อินชิงเสวียนลังเลก่อนจะพูดว่า “ไม่มีความลำบากใจเพคะ หากต้องการให้เขาเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง ไม่ว่าจะอย่างไรหม่อมฉันก็ต้องไปพบเขาก่อน”เย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ การจับปีศาจนั้นเป็นเพียงฉากบังหน้าเรื่องไร้สาระจริงๆ ด้วย ยายเด็กนี่ต้องมีความคิดชั่วร้ายอีกแน่ๆ“เจ้าอยากเจอเขายามใด”อินชิงเสวียนกลอกตาครุ่นคิดแล้วบอกว่า “หากมีการประกาศให้ใต้หล้า
เมื่อได้ยินคำว่าป้อนเอง อินชิงเสวียนก็นึกถึงฉากในภาพยนตร์ที่ชายและหญิงป้อนยาแบบปากต่อปาก แล้วจึงรู้สึกร้อนหูอยู่มิวาย“ไม่ดีกว่าเพคะ หม่อมฉันดื่มเอง”นางรีบคว้าชามยา ดื่มยาในอึกเดียว และทันใดนั้นใบหน้าแห่งความขมขื่นก็ปรากฏขึ้นเย่จิ่งอวี้หยิบผลไม้แช่อิ่มจากมือของอวิ๋นฉ่ายมาส่งให้นาง“รีบกินซะ จะได้หายขม”อินชิงเสวียนยัดเข้าไปในปากของตัวเองทันที แล้วรสหวานอมเปรี้ยวก็แผ่ซ่านอยู่ในปาก ทำให้รู้สึกความสุขยิ่งเมื่อเห็นปากของอินชิงเสวียนขยับ เสี่ยวหนานเฟิงก็โน้มตัวไปข้างหน้า ยื่นมือเล็กๆ ของเขาออกมา คว้าผลไม้แช่อิ่มชิ้นหนึ่ง หมายจุยัดมันเข้าปากตัวเองอินชิงเสวียนตกใจ “รีบแย่งคืนเร็ว!”เย่จิ่งอวี้มือไวตาไวรีบคว้าผลไม้แช่อิ่มอย่างรวดเร็ว เสี่ยวหนานเฟิงจึงได้กินแต่อากาศดวงตาสีดำโตของเขาจ้องเป๋ง ทำริมฝีปากขมุบขมิบ ไม่เห็นมีรสชาติอะไรเลย จากนั้นเขาก็มองดูผลไม้แช่อิ่มที่อยู่ในมือของเย่จิ่งอวี้ ปากเล็กเบะออก แล้วน้ำตาหยดใหญ่ก็ไหลออกมาทันทีเมื่อเห็นลูกร้องไห้ เย่จิ่งอวี้ก็ตื่นตระหนกทันที“ทำอย่างไรดี มีอะไรที่เขากินได้บ้าง รีบเอามาเร็ว”เสี่ยวหนานเฟิงชี้ไปที่ผลไม้แช่อิ่ม ขณะที่น้ำตาไหล
เย่จิ่งอวี้เดินขึ้นบันไดหินไปที่ประตู แล้วค่อยๆ หันหลังกลับเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “พวกเจ้าคิดว่าสนมของไปทำร้ายเขาเป็นเรื่องไม่สมควร แต่กลับไม่ถามถึงเรื่องที่ปีศาจหลวงจีนนั่นกักขังคนของข้าถึงสามวัน ถ้าภรรยาและลูกๆ ของพวกเจ้าถูกจับ ก็จะไม่ดูดำดูดีงั้นรึ!”“เรื่องดวงชะตายิ่งเป็นเรื่องไร้สาระ ตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ มีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในต้าโจว ถ้าข้าจำไม่ผิด พวกเจ้าได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าข้าไม่มีศีลธรรมคู่ควรกับตำแหน่ง ทำให้เกิดภัยพิบัติดังกล่าว เหตุใดในตอนนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าเสวียนเจินไร้คุณธรรม จึงทำให้เกิดภัยพิบัติบ้าง”ทุกคนคุกเข่าลงทันที“พวกกระหม่อมมิกล้าวิจารณ์ฝ่าบาท!”เย่จิ่งอวี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา “อย่าคิดว่าที่ข้าไม่พูด เพราะข้าไม่รู้ แต่เพราะเห็นแก่ความชราของพวกเจ้า จึงไม่ได้สั่งให้ลงโทษ ตอนนี้แทนที่จะสำนึกตัว แต่กลับมาโทษข้า ใต้หล้ามีขุนนางกบฏอย่างพวกเจ้าด้วยงั้นหรือ”คำพูดสุดท้ายที่เปล่งออกมาจากปากของเขา เป็นเหมือนเหล็กแหลมที่พุ่งออกมา ทุกคนตัวสั่นสะท้านในทันที“กระหม่อมมิกล้า!”เย่จิ่งอวี้สะบัดแขนเสื้อแล้วพูดว่า “ถ้าไม่กล้าก็จงกลับไปซะ”“ช้าก่อน!
ผ่านไปชั่วข้ามคืน แท่นบวงสรวงสวรรค์ก็ได้ถูกสร้างขึ้นแท่นบวงสรวงสูงสามจั้งยื่นออกไปสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน มีธงพุทธหลากสีแขวนอยู่ ทำให้ดูเคร่งขรึมน่าครั่นคร้ามในวันที่สอง ขุนนางทุกคนมาพร้อมกันที่วังหลังก่อนการประชุมเช้า เพื่อเป็นสักขีพยานที่เสวียนเจินและอินชิงเสวียนจะบวงสรวงสวรรค์เพื่อขอฝนหลังจากประคบน้ำแข็งมาทั้งคืน รอยบวมแดงบนใบหน้าของเสวียนเจินก็ลดลงอย่างมาก เขาห่มจีวรหลวงจีนสีขาวราวกับหิมะ กับหมวกสีแดงทอง มือซ้ายวางตั้งบนหน้าอก มือขวาถือไม้ขักจระทองคำ ท่าทางประหนึ่งหลวงจีนผู้สูงศักดิ์ อินชิงเสวียนสวมชุดสีเทาอย่างลัทธิเต๋า เส้นผมศีรษะกูกรวบไว้ด้วยปิ่นปักผมไม้ ในมือถือกระบี่ไม้ต้นท้อ เมื่อมีสายลมพัดบริเวณชายผ้า ดูพลิ้วไหวราวกับนางฟ้า ให้ความรู้สึกประหนึ่งเทพเซียนบนสวรรค์นางกำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาอย่างไม่ต้องสงสัยถ้าอยากให้ฝนตก ก็ไม่ต้องเตียมของอะไรให้มากมายเพียงแลกด้วยคะแนนสะสมก็สิ้นเรื่องอย่างไรก็ตาม อินชิงเสวียนก็มีความคิดของคัวเองเช่นกันในความเข้าใจของนาง หลวงจีนนับเป็นนิกายหนึ่ง ลัทธิเต๋าถึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริงของประเทศจีน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่ประเทศจีน แต่อ
หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็ยกดาบไม้ในมือขึ้น ชี้ไปที่เสวียนเจิน แล้วพูดว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าก่อน เกรงว่าถ้าข้าลงมือแล้ว เจ้าจะหมดโอกาส”เสวียนเจินมองไปที่อินชิงเสวียนอย่างเย็นชา นัยน์ตาฉายแววอำมหิต“เจ้าไม่กลัวว่าอาตมาจะเอาชีวิตเจ้ารึ อยู่บนแท่นสูงขนาดนี้ ต่อให้ฝ่าบาทต้องการจะช่วยเจ้า แต่ก็อาจมาไม่ทันเวลา”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างไม่อินังขังขอบ“เจ้าหลวงจีนชั่ว คิดรึว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ หรือเป็นเพราะเมื่อวานยังถูกทุบตีไม่พอ ถ้าจะอยากให้ข้าประทานตบอีกสักหลายๆ ที ข้าก็ยอมด้วยความเต็มใจ”“เจ้า...”เสวียนเจินจมูกบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเมื่อไทเฮาเห็นว่าเขายังไม่ขยับ ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนจากด้านล่าง “เสวียนเจินไต้ซือ รีบอธิษฐานขอฝนเร็ว!”เสวียนเจินเหลือบมองลงด้านล่าง แล้วถอนสายตากลับเขาวางไม้ขักขระไว้ข้างๆ แล้วนั่งขัดสมาธิ บีบมือแล้วมองไปยังทิศทางของตำหนักฉู่เยว่อินชิงเสวียนยืนขึ้นสูง ย่อมสามารถมองเห็นได้ไกลเป็นธรรมดาข้าเห็นหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ในตำหนักฉู่ซิ่ว กำลังเล่นกับเด็กชายอายุสี่หรือห้าขวบก็อดสงสัยไม่ได้ในวังมีเด็กโตขนาดนี้ได้อย่างไรเมื่อพิจารณาจากอายุของสตรีคนนั้น