ตอนนี้เหลาสุราเล็กๆ หลายแห่งกลายเป็นที่ร้าง และภายในไม่กี่วัน ฝุ่นก็สะสมเป็นชั้นบางๆอินชิงเสวียนช่วยประคองลั่วสุ่ยชิงไปที่ห้องบนชั้นสอง หยิบผ้าขี้ริ้วออกมาจากมิติ และทำความสะอาดง่ายๆ“เจ้าพักสักหน่อยเถอะ ข้าจะเอาอาหารมาให้เจ้ากิน”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนทำนั่นทำนี่ไม่หยุด ลั่วสุ่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะคว้าข้อมือของนาง“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหลอกเจ้าหรือ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นราชวงศ์ของแคว้นเฟยเหยา ทำไมเจ้าถึงยังเชื่อในตัวข้ามากขนาดนี้”เมื่อมองดูดวงตาที่ค่อนข้างสับสน อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม“เจ้าไม่ใช่คนเลว แล้วข้าต้องกลัวอะไรล่ะ ยิ่งกว่านั้น เจ้าในตอนนี้ยังเอาชนะข้าไม่ได้ด้วย!”หลังจากได้ยินประโยคสุดท้าย ดวงตาของลั่วสุ่ยชิงก็หรี่ลงเล็กน้อย“ใช่ ข้าสูญเสียกำลังภายในไปเกือบหมดแล้ว จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าจริงๆ”นางเงยหน้าขึ้นมองอินชิงเสวียน และถามอย่างสงสัย “เหตุใดกำลังภายในของเจ้าจึงถูกดูดออกไปไม่มาก”กำลังภายในที่ถูกดูดซับไปจากตัวของอินชิงเสวียนมาจากกำลังภายในที่ช่วงชิงมา แน่นอนว่าไม่มีการสูญเสียมากนัก แต่นางไม่สามารถบอกลั่วสุ่ยชิงได้“อาจเป็นเพราะกำลังภายในของข้าไม่สูง
อินชิงเสวียนหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมา บันทึกทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูด ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่จำเป็นต้องท่องจำก็ได้เมื่อมองดูจุดสีแดงที่ส่องสว่างอยู่บนเครื่องบันทึก ลั่วสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ไม่กล้าที่จะถามคำถามเพิ่มเติม นางพูดต่อไปเกือบสองชั่วยาม ก่อนจะจิบชาผลไม้“ส่วนรายละเอียดบางอย่าง เจ้าต้องคิดได้ด้วยตัวเองเท่านั้น ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่นานเกินไปได้ ข้าจะต้องตามหาชาวเผ่าเหล่านั้นให้เร็วที่สุด เพื่อให้พวกเขาล้มเลิกความคิดในการกอบกู้แคว้น”หลังจากที่ลั่วสุ่ยชิงพูดจบ นางก็ลุกขึ้นยืนอินชิงเสวียนจับไหล่ของนาง“ถึงรีบแค่ไหนแต่เสียเวลาไปสักคืนก็ไม่ต่างกัน ข้าอยากคุยกับเจ้า อยากรู้เกี่ยวกับแคว้นเฟยเหยาให้มากขึ้น ข้าจะไปชงชาผลไม้ให้เจ้าอีก”ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว และนั่งลงในที่สุดอินชิงเสวียนเปิดประตูเดินออกจากห้อง แล้วเคลื่อนไหวไปหยุดที่ห้องโถงเล็กที่ชั้นหนึ่ง“เป็นอย่างไรบ้าง มีข้อคิดใหม่ๆ บ้างไหม”เย่จิ่งอวี้ไม่เข้าใจเรื่องค่ายกล แต่ก็จำทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดได้“ท่านพ่อเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล เราค่อยกลับไปถามเขาก็ได้”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็คลานไปโอบรอบคอ
“ตอนนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง”เรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้จ้องมองไปยังอินชิงเสวียน“กลับอิ๋นเฉิง แล้วบอกเรื่องเหล่านี้กับท่านพ่อ”ถึงอย่างไรเสี่ยวหนานเฟิงยังเด็กเกินไป แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะ แต่ประสบการณ์ชีวิตยังมีจำกัด มีหลายอย่างที่เขาเข้าใจเพียงบางส่วนเท่านั้น ต้องไปหามีผู้มีประสบการณ์เช่นเฮ่อยวน ถึงจะศึกษาค่ายกลอย่างละเอียดได้“ได้”เย่จิ่งอวี้ไม่มีข้อสงสัยเลยทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบาเหาะกลับไปที่อิ๋นเฉิง และให้เฮ่อยวนส่งกำลังคนออกไปตามหาเย่จิ่งหลานเมื่อพวกเขาเห็นเครื่องบันทึกของอินชิงเสวียน ผู้อาวุโสหลายคนก็ประหลาดใจยิ่งนัก ต่างเข้ามามุงดูเป็นวงกลม เมื่อได้ยินเสียงพูดที่ดังออกมาจากของสิ่งนั้น ดวงตาแต่ละคู่ก็เบิกโพลง สำหรับพวกเขาแล้ว ของสิ่งนี้วิเศษยิ่งนักเสี่ยวหนานเฟิงก็ปีนขึ้นไปบนโต๊ะเช่นกัน เขายื่นก้นเล็กๆ ออกมา แล้วยกมือป้อมๆ ขึ้นเท้าคาง มองตามกลุ่มผู้ชรามองด้วยสีหน้าท่าทางจริงจังผู้อาวุโสฉางหยิบมันขึ้น แล้วจดทุกสิ่งที่ลั่วสุ่ยชิงพูดเหมยชิงเกอถามอย่างเป็นกังวล “คำพูดของนางถูกต้องจริงๆ หรือ นางจะจงใจหลอกลวงพวกเราหรือเปล่า”อินชิงเสวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน“คงจะไม่เจ้าค่ะ ข้ารู้ส
หลิวซือจวินกล่าวอีกว่า “แม้ว่าลูกจะไม่สามารถยอมรับความเป็นพ่อลูกกับเจ้าเมืองได้ แต่เขาก็สัญญาว่าจะรับข้าเป็นลูกสาวบุญธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม ลูกก็มีความสุขมากพอแล้ว ลูกไม่ขอสิ่งอื่นใดมากกว่านี้ หวังเพียงว่าจะมีที่พึ่งพา อยู่ในอิ๋นเฉิงไปตลอดชีวิต ท่านแม่ ท่านไม่โทษลูกใช่ไหม”เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนตายของแม่ ที่บอกให้ตัวเองไปหาครอบครัว หลิวซือจวินก็ถอนหายใจเบา ๆในปัจจุบันอิ๋นเฉิงอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบาก ทุกคนให้ความสำคัญกับความยุติธรรมเป็นอันดับแรก นางย่อมไม่สามารถปล่อยให้เฮ่อยวนขายหน้าและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเรื่องเล็กๆ ของตัวเองได้สำหรับนาง สถานะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญคือนางสามารถเป็นลูกสาวของท่านพ่อได้ และได้อยู่เคียงข้างพ่อเสมอเดิมทีเฮ่อยวนสัญญาว่าจะรับนางเป็นลูกสาวบุญธรรม แต่เมื่อศัตรูโจมตี ก็ต้องวางเรื่องนี้ไปก่อนบางครั้งนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดเฮ่อยวนจึงทอดทิ้งท่านแม่ เขาเป็นจิตใจโลเลทอดทิ้งคนรักได้กระนั้นหรือ แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทีที่เขามีต่อเหมยชิงเกอแล้ว เขาก็แสดงความรักลึกซึ้ง และยังดูรักและเอ็นดูต่อบรรดาศิษย์ในอิ๋นเฉิงมาก ผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้ มิน่าเล่าก่อนที่ท
“ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาวิญญาณชั่วร้าย แน่นอนว่าไม่ได้ตามผิดตัว ไม่ทราบว่าคุณชายเย่ยังจำข้าได้หรือไม่”นักพรตเทียนชิงพูดอย่างสงบ มือลูบเคราสีขาวราวกับหิมะ มองไปที่คุณชายน้อยรูปหล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าปราศจากสีเลือด ซึ่งทำให้ดูน่ากลัวมาก สีแดงชาดระหว่างคิ้วกลายเป็นสีแดงเข้ม ซึ่งค่อนข้างชัดเจนในภูเขาที่มืดมิดในเวลานี้ เย่จิ่งหลานมีสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึม ท่าทางแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง เขายืนตระหง่านอยู่กลางเขา ชายผ้าพลิ้วไสวไปตามสายลม สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ราวกับพญามัจจุราชที่หมายเอาชีวิต เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็นเขาค่อยๆ ยกมือขึ้น พูดลอดไรฟันคำเดียว“ตาย!”นักพรตเทียนชิงถอนหายใจและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกล่อลวงจริงๆ เจ้ามีวรยุทธ์สูงส่ง หากเข่นฆ่าสังหารอย่างสนุกสนาน ต้องทำให้ผู้คนจำนวนมากสูญเสียชีวิต เดิมทีข้าอยากปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตแห่งสวรรค์ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ตอนนี้มีแต่ต้องพาเจ้ากลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ และใช้ศิลาตอบชำระพลังปีศาจในตัวเจ้าให้บริสุทธิ์”เย่จิ่งหลานไม่ได้ให้โอกาสเขาพูดให้จบ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายฟ้า
เมื่อฝ่ามือตกลงที่หมอกดำ นักพรตเทียนชิงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ในขณะนั้นก็สัมผัสได้ว่า กำลังภายในกำลังไหลออกจากตัวราวกับกระแสน้ำ ไหลไปสู่หมอดำกลุ่มนั้นนักพรตเทียนชิงฝึกฝนมาหลายทศวรรษแล้ว ไม่เคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาตกใจ ถอนฝ่ามือกลับไปยังตำแหน่งเดิมเย่จิ่งหลานไม่ได้ทำอะไรอีก เขาเป็นเหมือนนกฮูกกลางคืนในความมืดมิด มองดูนักพรตเทียนชิงด้วยสายตาที่เย็นชา ราวกับว่าภารกิจของเขาคือการควบคุมเท่านั้น และทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเขานักพรตเทียนชิงเหลือบมองเย่จิ่งหลาน พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าซ่อนตัวอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์มานานหลายทศวรรษ กลับพัฒนานิสัยที่ชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา”ชิงฮุยกล่าวว่า “ไม่สามารถพูดได้ว่าชั่วร้ายได้ นี่คือเวทมนตร์ของแคว้นเฟยเหยา ข้าคงไม่อาจยืนนิ่งเฉยรอความตายอยู่ตรงนี้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่า แผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ไม่ว่าจะเป็นประสงค์ของสวรรค์หรือความเป็นมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ต้องต่อสู้แย่งชิงอย่างเต็มที่ ถึงจะไม่เสียใจภายหลัง ถ้าสามารถดูดซึมกำลังภายในของอาจารย์ได้ ศิษย์จะใช้ให้เกิดประโยชน์ ไม่ให้เสียชื่อของอาจารย์”“ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกัน
ชิงฮุยถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าที่หล่อเหลาเคร่งขรึมขึ้น เย่จิ่งหลานก็รวดเร็วเช่นกัน มาถึงข้างกายเขาได้ภายในพริบตา ดวงอันแสนเย็นชาคู่นั้น จ้องมองนักพรตเทียนชิงอย่างไม่เป็นมิตรนักพรตเทียนชิงเหยียบอากาศที่ว่างเปล่า แล้วเทศนา “ขอสุขสถาพรสถิตชั่วนิรันดร์! สู่ความว่างเปล่าสุดขั้ว รักษาความสงบให้อยู่ตัว เมื่อไม่ต่อสู้ ก็ไม่มีใครในโลกที่จะสู้ได้ รู้จักพอไม่เสื่อม ย่อมอยู่ยั้งยืนนานเอย ชิงฮุย เจ้าบำเพ็ญหลักปรัชญาเต๋านานหลายปี ควรเข้าใจหลักความจริงนี้”ชิงฮุยพูดเบาๆ “ไม่แย่งชิงแต่บรรลุอิสรภาพ เป็นแค่เพียงสิ่งลวงตา อาจารย์ไม่เคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของพลังอำนาจ ย่อมไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงและความเพ้อฝัน ส่วนการรู้จักหยุดไม่เสื่อม นั่นเป็นเพียงความคิดของมนุษย์โลก เป็นพวกท่านที่คิดว่าข้าเดินทางผิด แต่ข้ายังเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าเส้นทางนี้ถูกต้อง เพราะครั้งหนึ่งข้าเคยยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของดินแดนนี้ มองดูภูเขา แม่น้ำ ทุกแห่งที่ข้ามองคือดินแดนของราชาแห่งข้า ในเมื่อคนต้าโจวเจ้าสามารถฆ่าคนเฟยเหยาได้ ทำไมเฟยเหยาถึงไม่สามารถเอาคืนได้!”น้ำเสียงของชิงฮุยไม่ดัง น้ำเสียงไม่ได้ดูเร่าร้อนหรือโกร
นักพรตเทียนชิงขมวดคิ้วยังมีกลุ่มพลังสีดำค้างอยู่ตรงกลางคิ้วของเย่จิ่งหลาน ปิดกั้นกำลังภายในของนักพรตเทียนชิงหรือว่านี่คือข้อห้ามที่ชิงฮุยปลูกฝังไว้?เมื่อจับตัวชิงฮุยไม่ได้ เช่นนั้นก็ถือโอกาสช่วยเย่จิ่งหลานไปเลย เพื่อป้องกันไม่ให้เขาทำสิ่งชั่วร้ายและทำให้เกิดฟ้าผ่าเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ นักพรตเทียนชิงก็จี้จุดที่ไหล่และขาของเย่จิ่งหลานอย่างรวดเร็ว เย่จิ่งหลานเข่าอ่อน ทรุดนั่งลงบนพื้นทันทีนักพรตเทียนชิงอุ้มเขาขึ้น รีบลงจากภูเขาไปยังบ้านลับแห่งหนึ่งชาวบ้านทั้งหมดในเมืองย้ายไปอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้ว มีบ้านว่างมากมาย นักพรตเทียนชิงวางเย่จิ่งหลานไว้บนเตียง และตรวจชีพจรของเขาทันที ลมปราณยังไม่ถูกปิดกั้น เช่นนั้นก็ลองดูหน่อยเขาค่อยๆ ยกนิ้วขึ้น แตะหว่างคิ้วของเย่จิ่งหลานร่างกายของเย่จิ่งหลานสั่นเล็กน้อย ขมวดคิ้วมุ่นนักพรตเทียนชิงกล่าวอย่างกรุณา “ในระหว่างกระบวนการอาจทรมานบ้าง แต่คงใช้เวลาไม่นานนัก คุณชายน้อยเย่ ล่วงเกินแล้ว!”หลังจากจบคำพูด นักพรตเทียนชิงก็ปลดปล่อยพลังชี่แท้ออกมา มันไหลเข้าสู่กลางคิ้วของเย่จิ่งหลานเย่จิ่งหลานดูเหมือนจะเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายสั่นสะท้านและกระตุกอยู่ตลอ