“เจ้าเป็นใคร”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก คนผู้นั้นจ้องมองนางเงียบๆ ดวงตาสงบเยือกเย็น ไม่แสดงความอาฆาตพยาบาทหรือความอบอุ่นใดๆไร้รูปร่างราวกับน้ำอย่างแท้จริง ทำให้ผู้คนแยกแยะความคิดที่แท้จริงของเขาได้ยากเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูด อินชิงเสวียนจึงถามอีกครั้ง “เจ้ามาที่อิ๋นเฉิงด้วยจุดประสงค์ใด หากไม่พูด จะถือเป็นคนทรยศ”นางค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น แสงสีม่วงก็เปล่งแสงเรืองรองออกมาจากฝ่ามือของนางจู่ๆ คนผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกก้าว“เจ้าอยากรู้งั้นหรือ ข้าบอกเจ้าก็ได้”อินชิงเสวียนรู้สึกว่าดวงตาไหววูบ จากนั้นก็รู้สึกแน่นลำคอ และถูกพาขึ้นไปบนท้องฟ้ามันเร็วเกินไป ด้วยความสามารถในปัจจุบันของนาง กลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนชุดดำมาอยู่ข้างหลังนางได้อย่างไร ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยียบเย็นจับขั้วหัวใจคนผู้นี้คือใครกันแน่ บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร นางก็พอจะรู้จักเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่านอกจากอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพแล้ว จะยังมีคนที่มีการบำเพ็ญตบะในระดับสูงเช่นนี้ไม่สิ สิ่งนี้ไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้เพราะจนถึงตอน
ถูกแล้ว เป็นคำว่าปรากฏเด่นชัดออกมาจริงๆเพราะพวกเขาไม่ได้มาจากที่ไหน แต่โผล่ขึ้นมาจากอากาศอย่างเงียบๆ เหมือนผี ซึ่งน่าสะพรึงกลัวมากเมื่อมองดูคนเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา แต่ในไม่ช้า นางก็คิดออกคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ผีอยู่แล้ว แต่เป็นค่ายกล เป็นค่ายกลที่เคลื่อนย้ายพวกเขามาที่นี่!การคาดเดานี้ ทำให้อินชิงเสวียนสามารถระบุตัวตนของคนชุดดำได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนแคว้นเฟยเหยาจริงๆ แต่เขาไม่ใช่ลั่วสุ่ยชิงขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า “นั่นใคร”“บังอาจ!”“อ๊าก!”เสียงต่างๆ ดังก้องอยู่ในอิ๋นเฉิง อิ๋นเฉิงก็จุดไฟทันที ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดสว่างไสวเสียงอาวุธดาบกระบี่ดังขึ้นในเมือง ความเงียบในยามค่ำคืนก็ถูกทำลายลงอินชิงเสวียนหัวเราะเย้ยหยัน“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าดูหรือ เกรงว่าเจ้าจะไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของชาวยุทธ์ในจงหยวนแล้วล่ะ”คนชุดดำไม่พูด เขาเพียงแต่ยืนเงียบๆ บนหลังคา ชื่นชมการสังหารที่ด้านล่าง สิ่งที่แปลกก็คือระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่สูงนัก แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นกลุ่มก้อนอากาศธาตุ ไม่มีใครสังเกตเห็นนี่ก็ต้องเป็นค่ายกลเหมือนกัน
เมื่ออินชิงเสวียนฟื้นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเช้าแล้วลมหนาวพัดผ่านไป จิตใจก็แจ่มใสนางยืนขึ้นจากพื้น กวาดสายตามองไปรอบๆ พื้นที่โดยรอบว่างเปล่า เต็มไปด้วยภูเขาและโขดหิน มองไปไกลๆ ก็เห็นป่าไม้ที่ทอดยาว มีน้ำไหลเอื่อย หมอกควันที่ลอยฟุ้ง เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองสิ่งนี้แล้ว ที่นี่อยู่สูงมาก คงจะเป็นยอดเขาบนภูเขา ข้างๆ มีโต๊ะที่แกะสลักจากต้นไม้ พร้อมด้วยผลไม้ป่าจำนวนหนึ่ง และกาน้ำชาวางอยู่นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรอื่น และไม่มีใครอีกแล้วนักพรตเต๋าน้อยนั่นไม่ให้คนมาเฝ้าตัวเองงั้นหรือสำหรับพฤติกรรมของเขานี้ อินชิงเสวียนยากที่จะเข้าใจนางโคจรกำลังภายใน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นขณะที่กำลังจะเข้าไปล้างหน้าในมิติ การแจ้งเตือนระบบก็ดังขึ้นในหัว“มิติถูกระงับ ไม่สามารถเปิดได้ชั่วคราว!”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย ที่นี่ไม่มีคนนอก ทำไมถึงถูกระงับได้ล่ะหรือว่าตัวเองติดอยู่ในค่ายกลอีกแล้ว?อินชิงเสวียนลองเดินไปหลายก้าว แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ และไม่มีภาพลวงตาปรากฏต่อหน้าต่อตานางเมื่อรู้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ถูกจำกัด อินชิงเสวียนรู้สึกใจชื้นขึ้น แต่แล้วก็สับสนอีกครั้งที
บนภูเขาสูงอีกลูกหนึ่ง ลั่วสุ่ยชิงกำลังสนทนาเรื่องปรัชญาเต๋ากับนักพรตเทียนชิง“ข้าได้ยินมาว่าลัทธิเต๋าให้ความสำคัญกับฟ้าดินว่าเป็นหนึ่งเดียวกัน ลัทธิเต๋าก็เป็นเรื่องธรรมชาติ หากเป็นเช่นนี้ ทำไมจึงเชื่อในผู้ก่อตั้งสามเทพที่ไม่รู้ตัวตนเหล่านั้น มิสู้ทำตามใจ ทำทุกอย่างที่อยากทำ จะไม่สนุกกว่ากันหรือ!”หลังจากฟังคำพูดของลั่วสุ่ยชิง นักพรตเทียนชิงก็ไม่รู้สึกไม่พอใจ เขาลูบหนวดเคราสีเทาของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อมีเครื่องมือที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ ก็สามารถสร้างให้เป็นรูปทรงกลมและทรงเหลี่ยมได้ แม้ว่าจะอยู่บ้านสบายๆ แต่ก็มีความเชื่อของตัวเองเช่นกัน ดังคำกล่าวที่ว่า เมื่อตอบสนองต่อธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองอยู่เสมอ และอยู่ในสภาวะสงบอยู่เสมอ จิตใจจะบริสุทธิ์และสงบตลอดไป!”ลั่วสุ่ยชิงตอบหึเบาๆ“นักพรตพูดมามากมายขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นว่าอารมณ์ที่แท้จริงของท่านเป็นอิสระสักเท่าใดเลย ในความคิดของข้า ท่านแค่กำลังสร้างรังไหมผูกมัดตัวเอง”นักพรตเทียนชิงจิบชาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเบาๆ “รังไหมคืออะไร อาตมภาพไม่เคยเห็น แต่เคยเห็นรังไหมของแม่นาง อยู่ในใจ อยู่ในห้วงจิตใจ อารมณ์ของเจ้าดูเหมือนอิสระและง่ายดาย แต่ถ
เมื่อเห็นคนผู้นี้ นักพรตเทียนชิงก็ตกใจเล็กน้อย“ชิงฮุย?”ชิงฮุยโค้งคำนับ“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์”นักพรตเทียนชิงรับชาไว้ ในใจพอจะเข้าใจแล้วเขาถอนหายใจเบาๆ“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถรอดพ้นการทดสอบของศิลาตอบสวรรค์ได้ แคว้นเฟยเหยาไม่ธรรมดาจริงๆ”ชิงฮุยก้มลงและพูดว่า “ศิษย์ขอบคุณอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนมาหลายปี”นักพรตเทียนชิงยกถ้วยชาขึ้น ดื่มหมดในอึกเดียว“ชาถ้วยนี้ มิตรภาพระหว่างอาจารย์และศิษย์ระหว่างเจ้ากับข้าจบลงแล้ว บอกมาให้หมด ที่เจ้าหลอกข้ามาที่นี่ มีเจตนาใดกันแน่”ชิงฮุยกล่าวอย่างสงบ “ชิงฮุยไม่กล้าหลอกลวงอาจารย์ แค่อยากเชิญให้อาจารย์พักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่วัน ศิษย์จะส่งอาจารย์ลงจากภูเขาด้วยตัวเอง”นักพรตเทียนชิงพูดอย่างสงบ “หากข้าไม่ยอมล่ะ”ชิงฮุยยังคงพูดเนิบช้า “หากอาจารย์สามารถเดินลงจากภูเขานี้ได้ เช่นนั้นก็เป็นพระประสงค์ของสวรรค์ ศิษย์จะไม่กล้าขัดขวาง”“ดีมาก!”นักพรตเทียนชิงยกมือขึ้น ถ้วยชาในมือก็กลายเป็นผงทันที แล้วเดินลงภูเขาโดยไม่หันกลับมามองจนกระทั่งเขาเดินจากไป ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้วและถามว่า “ทำไมเจ้าถึงเปิดเผยตัวตน?”ชิงฮุยกล่าวว่า “แน่นอนว่
เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงบรรดาศิษย์ช่วยกันตรวจนับจำนวนผู้เสียชีวิต พบว่ามีผู้เสียชีวิตไม่มาก อย่างมากไม่เกินสิบคน ตรงกันข้ามผู้บุกรุกที่โจมตีเข้ามา ถูกกวาดล้างไปทั้งหมด โดยมีมากถึงร้อยคนเฮ่อฉางเฟิงมองดูศพบนพื้นด้วยความดูถูก“ฝูงนกกาเหล่านี้น่ะหรือที่ต้องการพิชิตจงหยวน คิดอะไรอยู่”หลิวซือจวินก็พยักหน้าเช่นกัน“คนเหล่านี้อ่อนแอปวกเปียกจริงๆ”เฮ่อยวนกลับรู้สึกแปลกๆมีผู้คนมากมายที่ดูไม่เหมือนชาวยุทธ์เลย การที่แคว้นเฟยเหยาทำเหมือนเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรเหมยชิงเกอก็คิดเช่นเดียวกัน“หรือว่าพวกเขามีแผนอื่นอีก?”“ไม่ทราบแน่ชัด ถ้ามีความสามารถเท่านี้ เพียงศิษย์ธรรมดาก็สามารถปลิดชีพพวกเขาได้ ในเมื่อพวกเขามุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูแคว้น ต้องมีไพ่ตายที่ใหญ่กว่าแน่ๆ”“ท่านพ่อ ท่านแม่ เห็นเสวียนเอ๋อร์หรือไม่”เย่จิ่งอวี้ลอยมาแต่ไหล เพราะเขาไม่พบตัวอินชิงเสวียน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงลางร้ายในใจเซี่ยวอิ๋นหวนกวาดสายตามองไปรอบๆ“ชิงเสวียนไม่อยู่ในห้องหรือ หรืออยู่กับลูก?”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมั่นใจ “ไม่อยู่ ข้าค้นหาไปทั่วอิ๋นเฉิงแล้วก็ไม่พบนาง”เหมยชิงเกอรู้สึกตกใจ
“อิ๋นเฉิงถูกโจมตี หลังจากการต่อสู้สงบลง เสวียนเอ๋อร์ก็หายตัวไป”เมื่อเขารู้ว่าอินชิงเสวียนไม่ได้มาที่โรงเตี๊ยม สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็ดูยุ่งยากยิ่งขึ้นเย่จิ่งหลานถามด้วยความตกใจ “สถานการณ์ผู้เสียชีวิตในอิ๋นเฉิงเป็นอย่างไรบ้าง”“ไม่มีอะไรร้ายแรง ข้าสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจสร้างการต่อสู้ครั้งใหญ่ เพื่อพุ่งเป้าไปที่เสวียนเอ๋อร์”เรื่องนี้ผิดปกติมาก จนแม้แต่เย่จิ่งอวี้ที่เฉลียวฉลาดก็ยังไม่สามารถเข้าใจจุดสำคัญได้“จิ่งหลาน สองวันที่ผ่านมาเจ้าได้เจอลั่วสุ่ยชิงบ้างหรือไม่”เย่จิ่งหลานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าพบนางเมื่อสองวันก่อน แล้วจู่ๆ นางก็จากไป และไม่มาที่นี่อีกเลย พี่ใหญ่สงสัยว่าอาจเป็นฝีมือของนาง?”“อื้ม แม้ว่าจะไม่แน่ใจว่าลั่วสุ่ยชิงจะเป็นราชาแคว้นเฟยเหยา แต่ตัวตนของนางจะต้องเกี่ยวข้องกับแคว้นเฟยเหยาแน่นอน”เย่จิ่งอวี้เชื่อในการคาดคะเนของอินชิงเสวียน“เราควรทำอย่างไรดี พี่ใหญ่รู้ไหมว่าลั่วสุ่ยชิงอาศัยอยู่ที่ไหน”ในแววตาของเย่จิ่งหลานมีความตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาและอินชิงเสวียนเป็นเพื่อนจากยุคเดียวกันอย่างแท้จริง ทั้งยังถือว่ามีความสัมพันธ์ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ผู้หญิงที่มีความส
ชายคนนั้นเตรียมการป้องกันอย่างเต็มที่ เมื่อถูกโจมตีอย่างกะทันหัน ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ“หลี่ชิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ข้าเป็นคน!”คนที่ลงมือนั้นบังเอิญเป็นศิษย์น้องของเขา ไม่คาดคิดว่าชายชื่อหลี่ชิงจะดึงกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็วและมีพลังมากกว่าปกติหลายเท่า คนที่พูดไม่สามารถขัดขวางได้ จึงถูกแทงที่แขนทันที“ฉึบ”เขาสูดปากด้วยความเจ็บปวด ตะโกนอีกครั้ง“หลี่ชิง เจ้าดูให้ชัดเจน ข้าเป็นศิษย์พี่ของเจ้า”หลี่ชิงดูเหมือนจะคลุ้มคลั่งไปแล้ว เขาไม่ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดด้วยซ้ำ เขากวัดแกว่งกระบี่ฟาดฟันไม่เลือกหน้า“ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ข้าจะฆ่าพวกเจ้า!”มีคนถามอย่างกังวลว่า “เขาถูกพิษหรือเปล่า”“ไม่หรอก น้ำที่เราดื่มสามารถรักษาพิษได้หลายร้อยชนิด”ผู้คุมตราเซี่ยวมีความมั่นใจอย่างมากต่อน้ำพุวิญญาณของลูกสะใภ้เหมยชิงเกอพลิกฝ่ามือชี้ไปที่บุคคลนั้น“คุมตัวเขาก่อน”คนอื่นๆ ก็เริ่มลงมือ ซึ่งหลี่ชิงไม่สามารถต่อสู้กับเหล่ายอดฝีมือได้หลายคนอยู่แล้ว เพียงไม่กี่กระบวนท่า เขาก็ถูกกระแทกลงกับพื้นขณะที่ทุกคนกำลังจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก จู่ๆ มีคนอีกสองคนในฝูงชนก็คลุ้มคลั่งและตะโกนว่ามีผีเฮ่อยวนลอยขึ้นไปในอากาศ แ
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ
ในวันที่สอง สำนักในยุทธ์จักรที่นำโดยเฮ่ออวิ๋นทง ต่างกล่าวคำอำลากับเฮ่อยวนเฮ่อยวนนำลูกศิษย์อิ๋นเฉิงส่งกันไปไกลถึงสิบสิบลี้ ในอิ๋นเฉิง เซี่ยวอิ่นหวนจับมือของอินชิงเสวียน“กลับภูเขาคราวนี้ เกรงว่าจะต้องจัดระเบียบยกใหญ่ ไม่รู้จะได้เจอพวกเจ้าอีกเมื่อไร พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี ปรึกษาหารือกันทุกเรื่อง หากเผชิญหน้ากับเรื่องใด ต้องพูดมันออกไป อย่าเก็บมันไว้ในใจตัวเอง จะได้ไม่เกิดความขุ่นเคืองสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ”นางถอนหายใจแล้วพูดว่า “แม้ว่าแม่จะเคยเป็นกุ้ยเฟย แต่ไม่รู้หลักการปกครองบ้านเมือง ความรุ่งเรืองและความเสื่อมของต้าโจวล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ด้วยความสามารถและการเรียนรู้ของเจ้าทั้งสอง เชื่อว่าในอีกไม่กี่ปี ก็จะสามารถนำความรุ่งเรืองมาสู่ต้าโจวได้ ถ้าแม่มีเวลาว่าง จะไปหาพวกเจ้ากับจ้าวเอ๋อร์ที่เมืองหลวงย่างแน่นอน”อินชิงเสวียนจับมือเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดอ่อนโยน “ท่านแม่วางใจ ข้ากับอาอวี้จะรักษาตัวให้ดีอย่างแน่นอน”อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวหนานเฟิงดึงชายเสื้อของเซี่ยวอิ่นหวนอย่างไม่เต็มใจ“ท่านย่าจะไปแล้วหรือ”เซี่ยวอิ่นหวนกอดเสี่ยวหนานเฟิง จูบใบหน้ากลมจ้ำม่ำของเขา แล้วพูดด้วยความรัก “ใช
ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างเย็นชา “แม้แต่เป็นฮ่องเต้ข้ายังไม่สนใจด้วยซ้ำ จะสนใจพระชายาอ๋องได้อย่างไร”“พูดมาก็มีเหตุผล งั้นข้ายังมีที่อื่นที่อยากไป”เย่จิ่งหลานค่อยๆ หยัดกายขึ้นนั่ง หยิบแผนที่ออกมาจากอกเสื้อ“ตอนที่ข้ากำลังเดินทางไปตงหลิว พบว่ามีหลายแคว้นอยู่ใกล้เคียง ทำไมเจ้ากับข้าไม่พยายามพิชิตพวกเขาทั้งหมดล่ะ”ลั่วสุ่ยชิงสาดน้ำเย็นใส่เขาทันที“ตอนนี้เจ้ายังมีความสามารถนั้นอยู่รึ?”“หากเจ้าเต็มใจที่จะบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณกับข้า บางทีวรยุทธ์ของข้าอาจจะกลับคืน”ลั่วสุ่ยชิงถูกเขาทำให้โกรธจนกำลังภายในพุ่งสูงขึ้น กระทั่งจุดที่ถูกจี้สกัดได้คลายออก นางตบศีรษะเย่จิ่งหลานทันที“ไร้ยางอาย”“เจ้าหายแล้ว?”เย่จิ่งหลานมีความสุขมาก เขาพยายามคุกเข่า ฝืนยืนขึ้น ร่างกายโงนเงน ล้มลงตรงหน้าลั่วสุ่ยชิง ฉวยโอกาสกอดเอวของนาง“จอมยุทธ์หญิงลั่ว ข้ายืนไม่ไหว โปรดช่วยพยุงข้าด้วย”ใบหน้าของลั่วสุ่ยชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง ยกมือขึ้นผลักเขาลงไปที่พื้น เย่จิ่งหลานล้มหงายหลัง เหมือนกับเต่าที่นอนหงายลั่วสุ่ยชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะงอหาย เมื่อนางหัวเราะมากพอแล้ว ก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอย่างเงียบๆ และบ่นว่า “เสด็จ