สีหน้าท่าทางของนางไม่ได้ดูเสแสร้งจอมปลอม อินชิงเสวียนก็ไม่รู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทใดๆ หรือว่าตัวเองคิดมากไป?แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้ม “ย่อมเป็นไปได้อยู่แล้ว ถ้าคุณชายหลิวเต็มใจ ข้าจะไปคุยกับท่านแม่พรุ่งนี้”หลิวซือจวินคุกเข่าลงอย่างตื่นเต้น“หากได้คำนับท่านเจ้าเมืองและฮูหยินเป็นพ่อแม่ ซือจวินจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อสานต่อทักษะทางการแพทย์ของอิ๋นเฉิง”อินชิงเสวียนรีบคว้าตัวนางไว้“เจ้าคุกเข่าก็อย่ามาคุกเข่าให้ข้าสิ ข้าเชื่อในความสามารถของเจ้า นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด!”“ได้ พรุ่งนี้เจอกัน”หลิวซือจวินกล่าวลาอินชิงเสวียนด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น อินชิงเสวียนพิจารณาดูนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็นึกในใจว่า แม่นางน้อยคนนี้ดูจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ บางทีตั้งแต่ข้ามภพมาก็ต้องประสบพบเจอกับการหลอกลวงแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมากเกินไป จนทำให้นางรู้สึกน่าสงสัยทุกคนที่เจอ คงใช้ความคิดของคนเลวไปคาดการณ์ความคิดของคนดีแล้วกระมังถ้านางมีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ คงไม่สวมเสื้อผ้าปลอมตัวผู้ชายตลอดเวลาแม้ว่าหลิวซือจวินจะเป็นศิษย์ของนักพรตเทียนจี แต่ก็ไม่ได้มีภูมิหลังเดียวกับชาวเฟยเหยา นางได้รักษาคน
“ท่านพ่อ...คิดว่าไม่เหมาะสมหรือเจ้าคะ”เฮ่อยวนเป็นคนดีมีเมตตา เพิ่มตะเกียบสักคู่เพิ่มชามสักชามก็คงไม่ถึงขั้นเดือดร้อนขนาดนั้นเฮ่อยวนพยักหน้า“มีบางอย่างไม่เหมาะ”เหมยชิงเกอถามอย่างไม่เข้าใจ “นั่นเพราะอะไรหรือ ขนาดฉางเฟิงท่านยัง...”เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงมีหูประตูมีช่อง เหมยชิงเกอจึงไม่ได้พูดอะไรมากเฮ่อยวนยืนขึ้นจากเก้าอี้ ถอนหายใจและมองไปที่อินชิงเสวียน“พ่อติดค้างเจ้ามากมายนัก ไม่ต้องการให้มีใครมาแบ่งความรักที่พ่อแม่มีต่อเจ้าไป แม้ว่าเจ้าจะไม่อยู่ในเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงนาน พ่อก็หวังว่าในขอบเขตเวลาที่จำกัดนี้ ความรักของข้ากับแม่ของเจ้า จะทุ่มเทให้กับเจ้าจนหมด”อินชิงเสวียนครุ่นคิดไปนานาประการ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเหตุผลนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจเฮ่อยวนเป็นคนดี เป็นสามีที่ดี และเป็นพ่อที่ดีอย่างไรก็ตาม อินชิงเสวียนไม่รู้สึกผูกพันกับเขามากนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ผูกพันเท่าอินจ้งความทรงจำทั้งหมดของเจ้าของร่างเดิมล้วนอยู่ที่ตระกูลอิน ความรู้สึกที่นางมีต่อตระกูลอินนั้น อินชิงเสวียนสามารถเข้าใจความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง แม้ว่าเฮ่อยวนและเหมยชิงเกอจะดีกับนางมาก แต่ในใจนั้น ก็
นางเหลือบมองเฮ่อยวนที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมท่านดูไม่เต็มใจนัก หรือว่าอิ๋นเฉิงไม่สามารถเลี้ยงเด็กผู้หญิงแค่คนเดียวไม่ได้?”เฮ่อยวนส่ายหัว กระซิบเสียงแผ่วเบา “อาจมีความเข้าใจผิด”“เข้าใจผิดอะไร”หลังจากได้ยินสิ่งนี้เหมยชิงเกอก็รู้สึกสับสนเฮ่อยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าบังเอิญเห็นภาพบุคคล คนในภาพวาดนั้นคล้ายกับข้ามาก และภาพนี้เป็นของหลิวซือจวิน”เหมยชิงเกอมองเฮ่อยวนด้วยความตกใจ“ท่านหมายความว่า ที่นางยืนกรานที่จะอยู่ที่อิ๋นเฉิง เพราะท่าน? หรือว่านางได้ยินชื่อเสียงของท่าน จึงเกิดตกหลุมรัก?”เฮ่อยวนโอบแขนไว้รอบไหล่เหมยชิงเกอ เม้มริมฝีปากยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดเหลวไหลอะไรอยู่ ข้าเป็นตาแก่ที่ก้าวขาเข้าโลงศพไปแล้วครึ่งหนึ่ง จะไปหาเด็กสาวๆ มาชอบได้อย่างไร”เหมยชิงเกอแค่นเสียงหึและพูดว่า “ฉีอวิ๋นจื่อและกงซวินอวิ๋นเฟิ่งก็ต่อสู้จนตายเพื่อท่านไม่ใช่หรือ”“คราวนี้สถานการณ์แตกต่างออกไป ทุกครั้งที่น้องชายหลิวมองมาที่ข้า มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิง กลับเหมือนกับว่ากำลังมองพ่อ”“หรือว่าท่านทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดข้างนอก มีสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น?”
หลังจากออกจากที่พักของเฮ่อยวนแล้ว อินชิงเสวียนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในห้อง เย่จิ่งอวี้กำลังมองเสี่ยวหนานเฟิงด้วยสายตาอ่อนโยน เขามีเค้าหน้าคล้ายกับพ่อมากนับตั้งแต่กลับมาที่อิ๋นเฉิง เสี่ยวหนานเฟิงแทบจะกลายเป็นม้าป่า เล่นอยู่ในเมืองอย่างสนุกสนานเฟิงเอ้อร์เหนียงกับฮวาเชียนช่วยกันดูแลเขา ทั้งคู่เป็นคนที่อินชิงเสวียนไว้ใจ เย่จิ่งอวี้ก็ดีใจที่ได้เห็นลูกชายปลดปล่อยด้านธรรมชาติเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่า ความปรารถนาของเสวียนเอ๋อร์จะเป็นจริงแล้ว”“ใช่แล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ลูกหลับหรือยัง”อินชิงเสวียนเดินช้าๆ มองไปยังเสี่ยวหนานเฟิงที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเย่จิ่งอวี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกทอดถอนใจเพียงพริบตา ลูกก็โตขึ้นมาก ไม่รู้ว่าเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ในโลกอนาคตจะสบายดีหรือไม่เย่จิ่งอวี้ห่มผ้าให้ลูกชาย แล้วพูดด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ “นอนหลับนานแล้ว เจ้าหมอนี่ยิ่งโตก็ยิ่งแข็งแรง ความเร็วในการวิ่งของเขาแทบจะไล่ตามไป๋เสวี่ยทันเลย”อินชิงเสวียนพูดด้วยความภาคภูมิใจ “นี่คือลูกที่ข้าเลี้ยงด้วยน้ำพุวิญญาณ จะไม่แตกต่างจากคนทั่วไปได้หรือ”เย่จินอวี้หัวเ
ผู้ที่เป็นผู้นำอยู่ในวัยสามสิบเศษ สวมเครื่องแบบบัณฑิต ทว่าดวงตากลับไม่มีความสง่างามแบบบัณฑิตเลย แต่กลับเต็มไปด้วยความหื่นกระหายโดยเฉพาะไฝขนที่แก้มขวา ทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกขยะแขยงอย่างยิ่ง“ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นแม่นางน้อย ดูเหมือนว่าเราจะโชคดีทีเดียว”“ปากสุนัขคายงาช้างออกมาไม่ได้ ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ”อินชิงเสวียนใช้ฝ่ามือโจมตี บัณฑิตคนนั้นแทนที่จะหลบ แต่กลับคว้าข้อมือของอินชิงเสวียน“สาวน้อย พระจันทร์มืดมนลมพัดแรง ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิก็สั้นนัก ทำไมต้องเจ้ากับข้าต้องต่อสู้กันด้วยเล่า มิสู้ไปหาความสำราญกันดีหรือไม่”“หาความสำราญบ้านเตี่ยแกน่ะสิ!”เมื่อมองดูใบหน้าที่น่ารังเกียจของชายคนนั้น อินชิงเสวียนก็รู้สึกคลื่นไส้ แสงสีม่วงเปล่งออกมาจากฝ่ามือ ก่อนที่นิ้วของชายคนนั้นจะเข้าใกล้ ก็ถูกแทงด้วยกำลังภายในที่กดขี่คุกคาม เขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาอีกสามคนเหาะขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์อย่างรวดเร็ว ตะโกนลั่น“มั่วเหล่าชี!”“พวกเจ้าเป็นใคร จงบอกชื่อมาเดี๋ยวนี้”ขณะที่อินชิงเสวียนตะโกนถาม ทั้งสามชักดาบออกมาโจมตีแล้ว อย่างไรก็ตามคนที่พวกเขาโจมตีไม่ใช่อินชิงเสวียน แต่เป็นมั่วเหล่าชีอินชิงเสวียน
“เจ้าเป็นใคร”อินชิงเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก คนผู้นั้นจ้องมองนางเงียบๆ ดวงตาสงบเยือกเย็น ไม่แสดงความอาฆาตพยาบาทหรือความอบอุ่นใดๆไร้รูปร่างราวกับน้ำอย่างแท้จริง ทำให้ผู้คนแยกแยะความคิดที่แท้จริงของเขาได้ยากเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูด อินชิงเสวียนจึงถามอีกครั้ง “เจ้ามาที่อิ๋นเฉิงด้วยจุดประสงค์ใด หากไม่พูด จะถือเป็นคนทรยศ”นางค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น แสงสีม่วงก็เปล่งแสงเรืองรองออกมาจากฝ่ามือของนางจู่ๆ คนผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีกก้าว“เจ้าอยากรู้งั้นหรือ ข้าบอกเจ้าก็ได้”อินชิงเสวียนรู้สึกว่าดวงตาไหววูบ จากนั้นก็รู้สึกแน่นลำคอ และถูกพาขึ้นไปบนท้องฟ้ามันเร็วเกินไป ด้วยความสามารถในปัจจุบันของนาง กลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าคนชุดดำมาอยู่ข้างหลังนางได้อย่างไร ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเยียบเย็นจับขั้วหัวใจคนผู้นี้คือใครกันแน่ บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุทธจักร นางก็พอจะรู้จักเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่านอกจากอิ๋นเฉิงและตำหนักเทพแล้ว จะยังมีคนที่มีการบำเพ็ญตบะในระดับสูงเช่นนี้ไม่สิ สิ่งนี้ไม่สามารถเรียกว่ามนุษย์ได้เพราะจนถึงตอน
ถูกแล้ว เป็นคำว่าปรากฏเด่นชัดออกมาจริงๆเพราะพวกเขาไม่ได้มาจากที่ไหน แต่โผล่ขึ้นมาจากอากาศอย่างเงียบๆ เหมือนผี ซึ่งน่าสะพรึงกลัวมากเมื่อมองดูคนเหล่านี้ อินชิงเสวียนก็มีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา แต่ในไม่ช้า นางก็คิดออกคนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ผีอยู่แล้ว แต่เป็นค่ายกล เป็นค่ายกลที่เคลื่อนย้ายพวกเขามาที่นี่!การคาดเดานี้ ทำให้อินชิงเสวียนสามารถระบุตัวตนของคนชุดดำได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นคนแคว้นเฟยเหยาจริงๆ แต่เขาไม่ใช่ลั่วสุ่ยชิงขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนว่า “นั่นใคร”“บังอาจ!”“อ๊าก!”เสียงต่างๆ ดังก้องอยู่ในอิ๋นเฉิง อิ๋นเฉิงก็จุดไฟทันที ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดสว่างไสวเสียงอาวุธดาบกระบี่ดังขึ้นในเมือง ความเงียบในยามค่ำคืนก็ถูกทำลายลงอินชิงเสวียนหัวเราะเย้ยหยัน“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการให้ข้าดูหรือ เกรงว่าเจ้าจะไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของชาวยุทธ์ในจงหยวนแล้วล่ะ”คนชุดดำไม่พูด เขาเพียงแต่ยืนเงียบๆ บนหลังคา ชื่นชมการสังหารที่ด้านล่าง สิ่งที่แปลกก็คือระยะห่างระหว่างทั้งสองไม่สูงนัก แต่ดูเหมือนจะกลายเป็นกลุ่มก้อนอากาศธาตุ ไม่มีใครสังเกตเห็นนี่ก็ต้องเป็นค่ายกลเหมือนกัน
เมื่ออินชิงเสวียนฟื้นขึ้นมา ก็เป็นเวลาเช้าแล้วลมหนาวพัดผ่านไป จิตใจก็แจ่มใสนางยืนขึ้นจากพื้น กวาดสายตามองไปรอบๆ พื้นที่โดยรอบว่างเปล่า เต็มไปด้วยภูเขาและโขดหิน มองไปไกลๆ ก็เห็นป่าไม้ที่ทอดยาว มีน้ำไหลเอื่อย หมอกควันที่ลอยฟุ้ง เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองสิ่งนี้แล้ว ที่นี่อยู่สูงมาก คงจะเป็นยอดเขาบนภูเขา ข้างๆ มีโต๊ะที่แกะสลักจากต้นไม้ พร้อมด้วยผลไม้ป่าจำนวนหนึ่ง และกาน้ำชาวางอยู่นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรอื่น และไม่มีใครอีกแล้วนักพรตเต๋าน้อยนั่นไม่ให้คนมาเฝ้าตัวเองงั้นหรือสำหรับพฤติกรรมของเขานี้ อินชิงเสวียนยากที่จะเข้าใจนางโคจรกำลังภายใน แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นขณะที่กำลังจะเข้าไปล้างหน้าในมิติ การแจ้งเตือนระบบก็ดังขึ้นในหัว“มิติถูกระงับ ไม่สามารถเปิดได้ชั่วคราว!”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย ที่นี่ไม่มีคนนอก ทำไมถึงถูกระงับได้ล่ะหรือว่าตัวเองติดอยู่ในค่ายกลอีกแล้ว?อินชิงเสวียนลองเดินไปหลายก้าว แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ และไม่มีภาพลวงตาปรากฏต่อหน้าต่อตานางเมื่อรู้ว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองไม่ได้ถูกจำกัด อินชิงเสวียนรู้สึกใจชื้นขึ้น แต่แล้วก็สับสนอีกครั้งที