เย่จิ่งหลานกลอกตา“อย่าบอกข้านะ ว่าเจ้าชอบเย่จิ่งอวี้ คนเขามีเจ้าของแล้ว”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “เจ้าเพิ่มอีกหลายคำสิ นางเป็นภรรยาของเขา”“เอ่อ...”คำตอบที่มีชีวิตชีวานี้ ทำให้เย่จิ่งหลานจินตนาการไปไกลลั่วสุ่ยชิงเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เขาคิด“อย่าใช้สมองที่สกปรกของเจ้าไปทำลายความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์”“พี่สาว เจ้าพูดจาหยาบคายแบบนี้เสมอหรือ”เย่จิ่งหลานพูดไม่ออก บอกว่านางกินดินปืนยังไว้หน้าไปหน่อย บอกว่ากินระเบิดจะเหมาะมากกว่า“แล้วแต่จะคุยกับใคร”ลั่วสุ่ยชิงหยิบจอกสุราขึ้นมา แล้วส่งสัญญาณให้เขาเย่จิ่งหลานชนจอกกับนาง“เจ้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว มีอะไรน่าสนใจที่นี่บ้างไหม”“ไม่มี ข้าแค่อยากรู้เกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่นี่”ลั่วสุ่ยชิงดื่มสุราในจอกอย่างกล้าหาญ เอื้อมมือไปคว้าขวดสุราที่วางอยู่ข้างๆ ในขณะนี้ มีดยาวเล่มหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากประตู ตรงไปหาเสี่ยวเอ้อร์ที่ถือลูกคิดอยู่บนโต๊ะคิดเงินที่เสี่ยวเอ้อร์สามารถทำงานที่นี่ได้ จึงต้องมีทักษะความสามารถบางอย่างอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงทะลุอากาศ ก็เงยหน้าขึ้นทันที ทว่าในชั่วพริบตา มีดก็ทะลุคอและปักเขาติดกับผนังด้านหลังโต๊ะคิ
ลั่วสุ่ยชิงเอามือไพล่หลัง ดวงตานิ่งงัน“ขืนยังไม่ตอบ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปพบยมบาลเดี๋ยวนี้”ชายกระโปรงของนางขยับโดยไม่มีแรงลม เส้นโค้งที่ลอยขึ้นราวกับปุยเมฆดูเหมือนจะบ่งบอกถึงความอดทนที่จำกัดของนางหลายคนเหงื่อแตกพลั่กราวกับเปียกฝน เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ขาข้างหนึ่งอ่อนแรง และทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น“เราทุกคนฟังคำสั่งของผู้บัญชาการซู เขาบอกข้าว่า ตราบใดที่พบเห็นชาวต้าโจว ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ก็ฆ่าไม่เว้น”เย่จิ่งหลานถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ใครคือผู้บัญชาการซู?”อีกคนหนึ่งตอบว่า “คนผู้นี้ชื่อซูอู่ มีทักษะวรยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ครั้งหนึ่งเคยทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการในกองทัพ”สีหน้าของเย่จิ่งหลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย“ในเมื่อเขามีตำแหน่งทางทหาร ทำไมถึงมาที่นี่ เข้าร่วมในยุทธภพ เขาออกจากเมืองหลวงเมื่อไหร่”“เราก็ไม่รู้เหมือนกัน หลังจากถูกเรียกโดยท่านราชาแห่งแคว้นเฟยเหยา เราก็มาที่นี่”ดวงตาของเย่จิ่งหลานเบิกกว้าง“กล่าวคือ ผู้บัญชาการซูก็เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากแคว้นเฟยเหยาเช่นกัน”“เป็นเช่นนั้น”เย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปเตะชายคนนั้น ชี้ไปที่ปลายจมูกของเขาแล้วด่าทอลั่น “
ลั่วสุ่ยชิงกับเย่จิ่งหลานต่างก็เป็นผู้รู้วรยุทธ์ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินเล่นสบายๆ แต่ความจริงกลับไม่ได้เดินช้า จากนั้นทั้งสองก็เร่งความเร็วแข่งกันโดยไม่รู้ตัวการก้าวเดินของเย่จิ่งหลานนั้นแปลกมาก การเคลื่อนไหวเอาแน่เอานอนไม่ได้ เหมือนเงาของผี ในขณะที่การเดินของลั่วสุ่ยชิงนั้นอ่อนโยนและเชื่องช้าราวกับเมฆไหลน้ำไหล ไม่มีกลอุบายมากมาย แต่มีอิสรภาพและความกล้าหาญที่ไม่ถูกจำกัดเมื่อมองดูฝีเท้าของเย่จิ่งหลาน ชิงลั่วก็นึกถึงเคล็ดวิชาลับที่เขาใช้ทันที“เจ้าไปเรียนวรยุทธ์นี้มาจากไหน”“บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อตงหลิว”“ตงหลิว?”ลั่วสุ่ยชิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่นางค่อนข้างคุ้นเคยกับวรยุทธ์ของเย่จิ่งหลานมากการเคลื่อนไหวนี้เหมือนจะพัฒนามาจากวิชาชั้นสูงที่ลึกลับของแคว้นเฟยเหยา“ที่นั้นคือที่แบบไหน”เย่จิ่งหลานไขว้หลัง พูดว่า “เป็นสถานที่สกปรก น่ารังเกียจ และต่ำช้าที่สุด แม่นางชิงอย่ารู้จะดีกว่า”“บอกให้เจาะจงหน่อยสิ”ลั่วสุ่ยชิงถามเรื่อยๆ เหมือนสนใจแต่ก็คล้ายไม่สนใจเย่จิ่งหลานไม่มีอะไรทำ จึงเล่าให้ลั่วสุ่ยชิงฟังว่าตงหลิวบุกโจมตีต้าโจวอย่างไรลั่วสุ่ยชิงตอบอย่างเห็นด้วย “ถ้าเป็นความจริ
ลั่วสุ่ยชิงไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน และไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร ดวงตาเต็มไปด้วยความระแวดระวังเย่จิ่งหลานคุ้นเคยกับสีหน้าของคนในยุคโบราณที่เห็นของแปลกๆ เขาจึงโบกมือหยิบอีกขวดสำหรับตัวเอง จากนั้นเปิดหลอดในถุงใบเล็ก แล้วแทงหลอดเข้าไปในกระดาษที่ปิดปากขวด“อันนี้เรียกว่านมเปรี้ยว จะลองกินดูไหม?”เย่จิ่งหลานจิบตัวเอง แล้วทำหน้าเปรี้ยวนี่เป็นความปรารถนาในวัยเด็กของเขา หลังจากใช้ชีวิตมาเกือบสามสิบปี ความปรารถนาเดียวที่เป็นจริงก็คือกินนมเปรี้ยวย่างเป็นอิสระชั่วคราว เพราะสิ่งนี้อินชิงเสวียนเป็นผู้มอบให้เมื่อเจ้ามีคะแนนมาก นั่นคืออิสรภาพที่แท้จริงลั่วสุ่ยชิงไม่ตอบ ดวงตายังคงจ้องมองที่ขวดพลาสติกสีขาวนางไม่เคยเห็นอะไรที่ทำจากวัสดุประเภทนี้มาก่อน และนางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเครื่องปรุงรสแปลกๆ ที่พวกเขาใช้ในการปรุงอาหารด้วยเย่จิ่งหลานมองดูนางแล้วยิ้ม “กลัวว่าจะมีพิษหรือ งั้นก็ดื่มจากขวดที่ข้าดื่มแล้วนี่สิ”เย่จิ่งหลานยื่นนมเปรี้ยวของเขาให้ โดยที่มียังมีหยดนมเปรี้ยวติดอยู่ที่ปลายหลอดลั่วสุ่ยชิงจ้องมองเขาอย่างดุเดือด หยิบอีกขวดหนึ่งแล้วก็ยกขึ้นจิบไป รสหวานอมเปรี้ยวไหลเข้าสู่ลำคอ อารมณ์ที่หด
ชายคนนั้นพูดว่า “ทุกคนในต้าโจวสมควรตาย”เย่จิ่งหลานตบปากไปหนึ่งที“ในเมื่อเจ้าเกลียดชาวต้าโจวมาก ทำไมถึงต้องไปเป็นทหารอารักขาในวังอีก”ชายคนนั้นอาเจียนลมออกมา ฟันส่วนใหญ่แทบจะร่วงหมดปากเขายังแข็งใจ เค้นเสียงพูดว่า “นั่นเพราะข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้สืบเชื้อสายของแคว้นเฟยเหยา”“เจ้าเป็นลูกหลานใคร เกี่ยวอะไรกับการที่มาฆ่าชาวบ้าน พวกเขาบุกรุกแคว้นของพวกเจ้า หรือว่าอุ้มลูกเจ้าโยนลงไปในบ่อน้ำ เจ้าอ้างว่าทำในนามของความยุติธรรม ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าน่ะสิ”เย่จิ่งหลานยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ฟาดฝ่ามือตบไปอีกครั้ง สมองของผู้พูดก็ระเบิด และก็ล้มลงกับพื้นลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนางมองไปที่คนอื่นๆ“พวกเจ้าด้วย?”พวกเขากระจุกรวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งเหมือนนกกระทา ไม่กล้าพูดอะไรสักคำทันใดนั้นลั่วสุ่ยชิงก็ยกมือขึ้น พลังอันทรงพลังก็เหมือนกับร่มขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ส่องแสงไปที่หัวของคนเหล่านั้น หลังจากตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง“สวรรค์ทรงเมตตาเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่จะทำลายวรยุทธ์ของพวกเจ้า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้ากระทำการเลวทรามต่
ลั่วสุ่ยชิงมีสีหน้ายินดี ตราบใดที่เด็กยังร้องไห้ได้ นั่นหมายความว่าเขาปลอดภัยแล้วเย่จิ่งหลานอุ้มขึ้นมาดู“เป็นเด็กผู้ชาย ครอบครัวนี้นับว่าโชคดี”เขาเช็ดเลือดบนตัวเด็กจนสะอาดเรียบร้อย และห่อตัวเด็กด้วยผ้าห่มที่สะอาดเด็กน้อยถูกพันแน่น จึงหยุดร้องไห้ทันทีลั่วสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะมองเย่จิ่งหลานด้วยความชื่นชมเย่จิ่งหลานส่งเด็กให้นาง“ช่วยอุ้มไว้หน่อยนะ”เขากลับไปที่โต๊ะผ่าตัด เย็บแผลของผู้หญิงคนนั้นอย่างประณีต รอให้ยาชาหมดฤทธิ์ ลั่วสุ่ยชิงค่อนข้างตกใจ“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานกระตุกยิ้มมุมปาก“เพราะข้าเป็นหมอ แต่ก็ไม่เหมือนกับที่เจ้าคิด ข้าเป็นหมอผ่าตัดที่ทำหน้าที่ตัดเอาเนื้อเยื่อส่วนเกินที่ขึ้นมาในร่างกายออก แม้ว่าข้าจะไม่ใช่มืออาชีพด้านสูตินรีเวชมากนัก แต่ก็พอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง”ทันทีที่พูดจบ เสียงพูดจากระบบที่น่าพึงพอใจก็ดังขึ้นในหัวของเขาการผ่าตัดสำเร็จ ระดับ S+ ผู้ครองมิติช่วยชีวิตคนได้สำเร็จ 2 คน ได้รับคะแนน 3,000 คะแนนเมื่อได้ยินเสียงนี้ เย่จิ่งหลานก็ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงหูจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่คะแนนของเข
ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว เดินตามไปติดๆ“เมื่อกี้สถานที่แห่งนั้น อยู่ที่ไหน”เย่จิ่งหลานเหลือมองไปด้านข้างแล้วยิ้ม “เจ้าเดาดูสิ?”เมื่อเห็นท่าทางที่เอื่อยเฉื่อยของเขา ลั่วสุ่ยชิงก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางก็สะกดกลั้นอารมณ์ไว้“หรือจะเป็นของวิเศษอย่างแหวนพระสุเมรุ ที่มีถ้ำอยู่ข้างใน?”เย่จิ่งหลานพยักหน้า“เดาได้ใกล้เคียง”หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พูดด้วยรอยยิ้มกึ่งจริงจัง “เจ้าคงไม่โลภอยากได้ของรักของข้ากระมัง เจ้ากำลังคิดที่จะฆ่าคนขโมยของอยู่แล้ว?”ลั่วสุ่ยชิงแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา“คุ้มค่าหรือ”“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ผู้หญิงที่มีคุณธรรมอย่างแม่นางชิงจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ล้อเล่นน่า อย่าสนใจเลย”เย่จิ่งหลานหัวเราะอย่างมีความสุข เดินไปข้างหน้าลั่วสุ่ยชิงเหลือบมองเขา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น เม้มริมฝีปากอย่างแรง ท่าทางแบบเด็กสาวเช่นนั้น ไม่ควรปรากฏในตัวของนางทันใดนั้นก็นึกถึงสองครั้งที่นางใช้คาถาล่อลวงเย่จิ่งหลาน สีหน้าของนางก็ดูจะไม่เป็นธรรมชาติชอบกลแม้ว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากมโนภาพ แต่พฤติกรรมในมโนภาพ ก็ถูกกำหนดโดยนางเองศาสตร์เงาฝันแบบนี้ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เชื่อว่าเ
เมื่อได้ยินเขาพูดจาสกปรก เย่จิ่งหลานก็รู้สึกเกรี้ยวกราดทันที“ชาติสุนัขอย่างเจ้า แค่ทำลายวรยุทธ์ยังไม่รู้จักพอใจ งั้นให้ข้าส่งเจ้าไปยังสถานที่ที่ดีก็แล้วกัน”เย่จิ่งหลานคว้าผมของเขา แล้วลากเขาออกไปนอกลานบ้าน หลังจากเดินไปหลายร้อยเมตร เขาก็พบคูน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้ความกรุณาของเขา ชายคนนั้นก็เริ่มกลัวแล้ว“ปล่อยข้านะ เจ้าต้องการทำอะไร”เย่จิ่งหลานปล่อยมือ แล้วหัวเราะเยาะ “ข้าจะส่งเจ้าไปพบโคตรเหง้าศักราชของพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”ชายคนนั้นไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ขนาดย่าของเขายังไม่อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับโคตรเหง้าศักราชของพ่อแต่เขารู้สึกว่าศีรษะจมน้ำ รู้สึกแสบร้อนจากด้านบนของศีรษะ ชายคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาก็สั่นเหมือนเจ้าเข้าทรง“ชาติหน้าอย่าลืมรักษาปากให้สะอาดล่ะ โดยเฉพาะกับสาวๆ”เย่จิ่งหลานปล่อยพลังออกมาจากฝ่ามือ ชายคนนั้นก็กระอักเลือดออกมา และล้มลงกับพื้นเย่จิ่งหลานมองเขาอย่างเย็นชา เดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองหลังจากเดินออกไปสิบก้าว ก็รู้สึกแสบร้อนระหว่างคิ้ว จึงหยุดชะงักทันทีเมื่อคิดถึงการฆ่าคนหลายคนในช่วงสองวันที่ผ่านมา เย่จิ่งหล
“หม่อมฉันน้อมถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”อินชิงเสวียนยอบกายน้อยๆ ทำความเคารพอย่างเป็นทางการตามราชประเพณี“ตามสบาย”เย่จิ่งอวี้คว้าตัวอินชิงเสวียนขึ้นเมื่อก่อนที่เคยอยู่ในวังหลวง เย่จิ่งอวี้คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าราชบริพารจะกราบถวายบังคมเจ้าเหนือหัว ตอนนี้เมื่อได้เดินทางท่องยุทธภพ กลับรู้สึกว่ามันลำบากยุ่งยากจริงๆ“จากนี้ไปเมื่อเสวียนเอ๋อร์พบข้า ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอีก ส่วนพวกเจ้าเมื่อกลับเข้าวังมาแล้ว เช่นนั้นควรปฏิบัติหน้าที่รับใช้ให้ดี เสวียนเอ๋อร์กำลังตั้งครรภ์ ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”เมื่อทั้งหมดรู้ว่าอินชิงเสวียนตั้งครรภ์ ดวงตาของทุกคนก็เปล่งประกายด้วยความดีใจ ในสายตาของพวกเขา การมีลูกหลานมากมายถือเป็นโชควาสนา ทั้งสองพระองค์แต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้ว ยังมีแค่เสี่ยวหนานเฟิงคนเดียว ในวังค่อนข้างเงียบเหงาอยู่บ้าง“พวกกระหม่อม/หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชา จะพยายามดูแลพระนางฮองเฮาให้เต็มที่พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ!”“ดีมาก ออกไปก่อนเถอะ”เย่จิ่งอวี้ถอยห่างจากฝูงชน ดึงอินชิงเสวียนไปที่เก้าอี้“เสวียนเอ๋อร์สวมอาภรณ์ฮองเฮาช่างดูดียิ่งนัก”“ฝ่าบาทก็เช่นกัน ชุดมังกรเหมาะกับท่านมาก”อิ
เมื่อเห็นพวกเขา อินชิงเสวียนก็รู้สึกตื้นตันใจเช่นกัน“เสี่ยวอานจื่อ อวิ๋นฉ่าย อวี้จิ่น ยายหลี่ พวกเจ้าอยู่กันทุกคน วิเศษไปเลย ลุกขึ้นมาพูดคุยกันเร็ว!”อินชิงเสวียนช่วยพยุงทุกคนให้ลุกขึ้น ดวงตาชื้นเมื่อเห็นพวกเขา นางก็พลันหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เพิ่งข้ามภพมาอยู่ในตำหนักเย็นเป็นครั้งแรก ทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน“ฮองเฮา ท่านกลับมาช่างดีจริงๆ!”ทั้งหมดต่างมาห้อมล้อมอินชิงเสวียนไว้ตรงกลาง กอดนางเต็มรัก อินชิงเสวียนก็กอดพวกเขาตอบเช่นกัน ทุกคนต่างวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าวังระหว่างทาง เสี่ยวอานจื่อก็พูดเจื้อยแจ้ว “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักเย็นถูกรื้อแล้ว ฝ่าบาทสร้างสวนสนุกที่นั่น องค์ชายน้อยมีที่เล่นสนุกแล้ว”อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจ“แล้วคนในตำหนักเย็นล่ะ สวีจือย่วนอยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือ”ตอนที่นางจากไปเหมือนว่าสวีจือย่วนยังอยู่ในตำหนักเย็นอยู่เลยยายหลี่ลดเสียงกระซิบว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่า นายหญิงสวีฆ่าตัวตาย ร่างถูกโยนลงในสุสานไร้ญาติ”“อ้อ”อินชิงเสวียนเข้าใจแล้วจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือไม่นั้น ไม่ต้องบอกก็รู้แม้ว่าจะถูกเย่จิ่งอวี้ประหารอย่างลับๆ แต่ก็นับว่าส
เช้าวันรุ่งขึ้นอินชิงเสวียนออกจากตระกูลอินภายใต้สายตาที่ไม่เต็มใจของทุกคน และผู้ที่คุ้มกันนางกลับวังหลวง ก็คืออินสิงอวิ๋นพี่ชายคนโตเขายังคงหล่อเหลา ทว่านิสัยสุขุมเยือกเย็นมากกว่าปีที่แล้วอินชิงเสวียนเปิดม่านเกี้ยว“พี่ใหญ่ได้เชิญหมอหลวงมาตรวจอาการพี่สะใภ้บ้างหรือยัง”อินสิงอวิ๋นยิ้มอย่างอบอุ่น มองอินชิงเสวียนด้วยสายตาแบบเดียวกับเมื่อก่อน มีความเอาใจใส่เล็กน้อย“หาแล้ว คราวนี้ก็ค่อนข้างดี น้ำพุวิญญาณของเจ้า แทบจะให้พี่สะใภ้ดื่มหมด”อินชิงเสวียนพยักหน้า“ควรเป็นเช่นนี้แล้ว พี่สะใภ้อยู่ไกลบ้าน รอนแรมมาไกลกว่าจะถึงตระกูลอินของเรา เราต้องดูแลนางให้ดีที่สุด อย่าปล่อยให้นางอุดอู้อยู่บ้านทั้งวัน ถ้าท่านมีเวลาว่าง ควรพานางไปเดินเล่นบ่อยๆ คนท้องจะรู้สึกหดหู่โดยไม่รู้ตัว ถ้ามีท่านอยู่ข้างๆ บางทีนางอาจรู้สึกดีขึ้นบ้าง”“อืม คราวนี้แหละ ข้าควรจะหาเวลาได้แล้วจริงๆ”อินสิงอวิ๋นถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก มีหรือที่เขาไม่ต้องการใช้เวลากับเป่าเล่อเอ่อร์ให้มากๆ แต่ในวังหลวงมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย จนเขาไม่กล้าที่จะหย่อนยานตอนนี้ฝ่าบาทและน้องสาวกลับเมืองหลวงแล้ว ก็เหมือนมีกระดูกสันหลัง ทายาทเฟย
อินชิงเสวียนคำนับทั้งสองคน นางไม่ได้มาจากรัชสมัยนี้ ไม่เห็นความสำคัญของมารยาทระหว่างกษัตริย์และขุนนาง แต่กลับให้ความสำคัญกับจริยธรรมของมนุษย์แม้ว่านางจะยอมรับเหมยชิงเกอ แต่บุญคุณที่ตระกูลอินเลี้ยงดูเจ้าของร่างเดิมมานานกว่าสิบปี ก็ไม่สามารถลืมได้ หากนางไม่รู้สึกขอบคุณผู้มีพระคุณของตัวเอง แล้วจะพูดถึงการมีใจกว้างใหญ่ไพศาลได้อย่างไร“เป็นพ่อหนึ่งวัน ย่อมเป็นพ่อตลอดไป แม่เลี้ยงก็คือแม่แท้ๆ พวกท่านเหมาะสมแล้ว”อินชิงเสวียนมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยความรู้สึกห่างเหินเล็กน้อยของอินจ้งนั้นหายไปในทันที จับมือนางแน่นๆ“ดี ดี ลูกสาวคนดี!”ซูหมิงหลานก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน แม้ว่านางจะได้รับการยอมรับจากครอบครัวแล้ว แต่หากไม่มีอินชิงเสวียน สถานะนี้ก็ไม่สมบูรณ์ อินหลีที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวโน้มน้าวเบาๆ “ท่านพี่พี่สะใภ้ไม่ต้องร้อง หากมีเรื่องอะไรไว้ค่อยกลับไปพูดที่บ้านเถิด เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิดกันไปใหญ่โต”อินจ้งรู้สึกตัวเพราะคำพูดนี้ เห็นผู้คนที่เอาแต่ยืดคอมองมาทางนี้ เขาก็พยักหน้าโดยเร็ว“ถูกต้อง เรากลับไปคุยกันที่บ้านนะ”อินชิงเสวียนดึงเป่าเล่อเอ่อร
ทหารที่อยู่ข้างหน้าเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ครั้นแล้วก็มองเห็นชุดเกราะสีแดงรางๆเฉิงเฟิ่งโหลวสะดุ้งเล็กน้อย นี่...อาจเป็นทหารเปลวเพลิงสีชาดของราชาสงครามอาภรณ์ขาวกระมัง?ถ้ามารับเสด็จฮ่องเต้ เหตุใดจึงสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก?หรือว่าว่ามีการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวง อ๋องสิบสาม...ก่อกบฏ?มือที่กุมกระบี่ของเฉิงเฟิ่งโหลวสั่นเทา เขาดึงสายบังเหียนออกทันที แม้ว่าเจ้านายกับนายหญิงจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่มือเดียวสู้มือหลายไม่ได้ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเขาดูสิ้นหวัง “ฝ่าบาท เสด็จขึ้นรถม้าเร็วเข้า”เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แม้ว่าทั่วทั้งโลกจะทรยศเขา แต่เสด็จอาจะไม่มีวันทรยศเขา นี่คือความมั่นใจของเขา การสวมชุดเกราะ ถืออาวุธหนัก ถือเป็นมารยาทสูงสุดของค่ายเปลวเพลิงสีชาดในชั่วพริบตา ทหารม้าขบวนนั้นก็มาถึงเบื้องหน้า พวกเขาควบม้าและเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นแยกออกจากกันเป็นสองทาง เผยให้เห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีขาวชายผู้นั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลา ท่วงท่าไม่ธรรมดาสามัญ แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดราวกับหิมะ และเสื้อผ้าพลิ้วไหวดุจดั่งเทพเซียนเขาพลิกตัวลงจากม้า เดินเร็วๆ ไปที่รถม้า สะบัดเสื้อคล
ครึ่งเดือนต่อมา ในที่สุดรถม้าก็มาถึงเมืองหลวงอินชิงเสวียนไม่สามารถทนต่อการโคลงเคลงสั่นสะเทือนได้ นางจึงอยู่ในมิติกับเสี่ยวหนานเฟิงเกือบตลอดเวลาในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันนี้ นางพบว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมในการฝึกฝนวรยุทธ์อีกด้วยอายุยังน้อยไม่เพียงแต่เรียนรู้บทกวีในสมัยถังและซ่ง ยังมีกำลังภายในลึกล้ำน่าประหลาดใจ มือซ้ายสามารถใช้เคล็ดวิชาใจเพียวเหมี่ยวได้ มือขวาใช้เคล็ดวิชาใจตำหนักเทพได้ แม้กระทั่งเรียนรู้วิชาขลุ่ยลวงใจของเจ้าสำนักเซี่ยว อินชิงเสวียนนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าช่วงที่นางไม่ได้อยู่กับเสี่ยวหนานเฟิงนั้น เขาได้เรียนรู้วิชามาจากทุกคนรอบตัวเขา“แค่กๆ เจ้า...ชอบฝึกวรยุทธ์หรือเปล่า?”จากมุมมองที่เห็นแก่ตัว อินชิงเสวียนไม่ต้องการให้เสี่ยวหนานเฟิงมีฝีมมือสูงส่งเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งมีความสามารถสูง ความรับผิดชอบก็ยิ่งสูงตาม ศาสตร์แห่งราชาต่างหาก คือสิ่งที่เขาควรต้องศึกษาเสี่ยวหนานเฟิงกะพริบตาโตแล้วพูดว่า “ชอบสิ รู้วรยุทธ์ ก็สามารถปกป้องท่านแม่ได้”อินชิงเสวียนกอดลูกชายตัวนุ่มนิ่มและมีกลิ่นหอม แล้วพูดอย่างจริงจัง “ต่อจากนี้ไปสิ่งที่เจ้
ระหว่างเจ้าสำนักเซี่ยวและเจ้าสำนักเฮ่อมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ทว่าระหว่างเซี่ยวอิ่นหวนและลิ่นเซียวนั้นอยู่ในระดับปานกลาง จนแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันเลยบัดนี้เห็นเขาขวางทาง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการตายของศิษย์น้องเฟิ่งอี๋ ทำให้กลายเป็นคนสติเลอะเลือน กระทำการสิ่งใดล้วนไม่ผ่านการใช้ความคิด เป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไปที่จะเข้าใจทันทีว่าเขามีเจตนาอะไรลิ่นเซียวรู้จักนาง พยักหน้าเบาๆ“เฟิ่งอี๋ตายแล้ว ข้ารู้แล้ว”เซี่ยวอิ่นหวนรู้สึกเจ็บปวดในใจ แต่เดิมก็เจ็บปวดจากการพลัดพรากอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเขาพูดถึงศิษย์น้องที่รักดุจน้องสาว หางตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีริมฝีปากของนางสั่นเทา ลดเสียงลง กดซ่อนความเศร้าไว้ในใจ“ศิษย์พี่ลิ่นควรจะออกมาสู่ความจริงได้แล้ว ถ้าศิษย์น้องอยู่บนสวรรค์มีญาณรับรู้ คงไม่อยากเห็นท่านจมปลักอยู่ที่นี่เพราะนางแน่นอน...”ลิ่นเซียวไม่ต่อคำ แต่พูดต่อว่า “ตาเฒ่าเซี่ยวก็จากไปแล้วเช่นกัน”หัวใจของเซี่ยวอิ่นหวนเจ็บปวดรวดร้าวอีกครั้ง ก้มหน้าสะอื้น“พ่อบุญธรรมเสียชีวิตเพื่อผดุงความยุติธรรมในยุทธจักร ไม่ผิดต่อปณิธานที่ก่อตั้งหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์”ลิ่นเซียวย
อินชิงเสวียนมอบตั๋วเงินเงินอีกหนึ่งพันตำลึงให้แก่ทั้งสามคน กำชับพวกเขาว่าอย่าใช้ฟุ่มเฟือย หากไม่เจอตัวคน ก็สามารถไปพำนักที่เมืองหลวงได้ทั้งสามพยักหน้าซ้ำๆ ขนของทั้งหมดขึ้นรถม้า และจากไปอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้“นิสัยแบบนี้นี่เข้ากับเย่จิ่งหลานได้เป็นอย่างดี”เย่จิ่งอวี้ก็มองไปที่ทั้งสามคน พูดด้วยรอยยิ้ม “ชาวยุทธ์ ก็ควรจะเป็นอิสระไม่ยึดติดอย่างชาวยุทธ์ นี่แหละคือความเป็นตัวของตัวเองที่แท้จริง!”“เช่นนั้นพวกเราก็ควรจากไปอย่างไม่ยึดติดใช่ไหม”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเย่จิ่งอวี้ ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนแล้ว ว่าแทนที่จะรอให้พวกเขาสร่างเมา พลัดพรากจากกันด้วยความเป็นความตาย มิสู้จากไปอย่างเงียบๆ “ข้าเชื่อเมียข้าอยู่แล้ว”เย่จิ่งอวี้ผิวปาก เงาสีขาวสองเงาพุ่งออกมาจากระยะไกล ตามมาด้วยรถม้าอินชิงเสวียนตะโกนอย่างมีความสุข“ไป๋เสวี่ย เสี่ยวไป๋!”ไป๋เสวี่ยกางอุ้งเท้าใหญ่ แล้วกอดเอวของอินชิงเสวียนอย่างเสน่หาเสี่ยวไป๋ก็กลิ้งหน้าถูขาของอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นการแสดงความใกล้ชิดกับคนที่หาได้ยากอินชิงเสวียนลูบหัวอันใหญ่โตของไป๋เสวี่ย จากนั้นลูบหัวของเสี่ยวไป๋
เฮ่อซือจวินออกแรงดึงอินชิงเสวียนขึ้นมา แล้วกอดนางไว้ พูดเสียงสะอื้น “เจ้ายอมรับข้า ข้ารู้สึกขอบคุณยิ่งนัก ชั่วชีวิตนี้จะพยายามดูแลสุขภาพของท่านพ่อและน้าเหมยอย่างเต็มที่”อินชิงเสวียนโน้มตัวไปใกล้ใบหน้าของนาง แล้วพูดเสียงอ่อนหวาน “ท่านเป็นพี่สาวต่างแม่ของข้า จะแตกต่างจากพี่สาวแท้ๆ ได้อย่างไร หากท่านอยู่ในอิ๋นเฉิงแล้วรู้สึกเหนื่อยล้า ก็ไปหาข้าที่เมืองหลวงได้ ข้าจะพาท่านท่องเที่ยวให้สำราญใจแน่นอน”เฮ่อซือจวินพยักหน้าโดยเร็ว“ได้ ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปหาเจ้าแน่นอน”“สนใจแต่พี่สาวของเจ้าเท่านั้น ไม่ต้องการพี่ชายแล้วหรือ”เฮ่อฉางเฟิงเดินเข้ามาจากประตู สวมเสื้อคลุมใบไผ่สีเขียวที่ขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลา สง่า และเป็นวีรบุรุษไม่ธรรมดา“ชิงเสวียนคำนับพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนโค้งคำนับ เฮ่อฉางเฟิงก็รีบเอื้อมมือไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้อง ไม่ต้องมากพิธี ตั้งใจจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือ”อินชิงเสวียนถอนหายใจ“พรุ่งนี้น่ะ ไม่ว่าเราจะอยู่กี่วันก็ต้องไปอยู่ดี ฮ่องเต้จากเมืองหลวงมานานเกินไปแล้ว ในใจพะวงถึงอยู่ตลอด ถึงเวลาต้องกลับไปดูแลแล้ว”เฮ่อฉางเฟิงก็ตัดใจจากน้องสาวไม่ได้ และยังไม่อ