ชายคนนั้นพูดว่า “ทุกคนในต้าโจวสมควรตาย”เย่จิ่งหลานตบปากไปหนึ่งที“ในเมื่อเจ้าเกลียดชาวต้าโจวมาก ทำไมถึงต้องไปเป็นทหารอารักขาในวังอีก”ชายคนนั้นอาเจียนลมออกมา ฟันส่วนใหญ่แทบจะร่วงหมดปากเขายังแข็งใจ เค้นเสียงพูดว่า “นั่นเพราะข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นผู้สืบเชื้อสายของแคว้นเฟยเหยา”“เจ้าเป็นลูกหลานใคร เกี่ยวอะไรกับการที่มาฆ่าชาวบ้าน พวกเขาบุกรุกแคว้นของพวกเจ้า หรือว่าอุ้มลูกเจ้าโยนลงไปในบ่อน้ำ เจ้าอ้างว่าทำในนามของความยุติธรรม ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าน่ะสิ”เย่จิ่งหลานยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ ฟาดฝ่ามือตบไปอีกครั้ง สมองของผู้พูดก็ระเบิด และก็ล้มลงกับพื้นลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนางมองไปที่คนอื่นๆ“พวกเจ้าด้วย?”พวกเขากระจุกรวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งเหมือนนกกระทา ไม่กล้าพูดอะไรสักคำทันใดนั้นลั่วสุ่ยชิงก็ยกมือขึ้น พลังอันทรงพลังก็เหมือนกับร่มขนาดใหญ่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้า ส่องแสงไปที่หัวของคนเหล่านั้น หลังจากตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง“สวรรค์ทรงเมตตาเจ้า ข้าจะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่จะทำลายวรยุทธ์ของพวกเจ้า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้ากระทำการเลวทรามต่
ลั่วสุ่ยชิงมีสีหน้ายินดี ตราบใดที่เด็กยังร้องไห้ได้ นั่นหมายความว่าเขาปลอดภัยแล้วเย่จิ่งหลานอุ้มขึ้นมาดู“เป็นเด็กผู้ชาย ครอบครัวนี้นับว่าโชคดี”เขาเช็ดเลือดบนตัวเด็กจนสะอาดเรียบร้อย และห่อตัวเด็กด้วยผ้าห่มที่สะอาดเด็กน้อยถูกพันแน่น จึงหยุดร้องไห้ทันทีลั่วสุ่ยชิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะมองเย่จิ่งหลานด้วยความชื่นชมเย่จิ่งหลานส่งเด็กให้นาง“ช่วยอุ้มไว้หน่อยนะ”เขากลับไปที่โต๊ะผ่าตัด เย็บแผลของผู้หญิงคนนั้นอย่างประณีต รอให้ยาชาหมดฤทธิ์ ลั่วสุ่ยชิงค่อนข้างตกใจ“เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”เย่จิ่งหลานกระตุกยิ้มมุมปาก“เพราะข้าเป็นหมอ แต่ก็ไม่เหมือนกับที่เจ้าคิด ข้าเป็นหมอผ่าตัดที่ทำหน้าที่ตัดเอาเนื้อเยื่อส่วนเกินที่ขึ้นมาในร่างกายออก แม้ว่าข้าจะไม่ใช่มืออาชีพด้านสูตินรีเวชมากนัก แต่ก็พอรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง”ทันทีที่พูดจบ เสียงพูดจากระบบที่น่าพึงพอใจก็ดังขึ้นในหัวของเขาการผ่าตัดสำเร็จ ระดับ S+ ผู้ครองมิติช่วยชีวิตคนได้สำเร็จ 2 คน ได้รับคะแนน 3,000 คะแนนเมื่อได้ยินเสียงนี้ เย่จิ่งหลานก็ยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงหูจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่คะแนนของเข
ลั่วสุ่ยชิงขมวดคิ้ว เดินตามไปติดๆ“เมื่อกี้สถานที่แห่งนั้น อยู่ที่ไหน”เย่จิ่งหลานเหลือมองไปด้านข้างแล้วยิ้ม “เจ้าเดาดูสิ?”เมื่อเห็นท่าทางที่เอื่อยเฉื่อยของเขา ลั่วสุ่ยชิงก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่นางก็สะกดกลั้นอารมณ์ไว้“หรือจะเป็นของวิเศษอย่างแหวนพระสุเมรุ ที่มีถ้ำอยู่ข้างใน?”เย่จิ่งหลานพยักหน้า“เดาได้ใกล้เคียง”หลังจากที่เขาพูดจบ ก็พูดด้วยรอยยิ้มกึ่งจริงจัง “เจ้าคงไม่โลภอยากได้ของรักของข้ากระมัง เจ้ากำลังคิดที่จะฆ่าคนขโมยของอยู่แล้ว?”ลั่วสุ่ยชิงแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา“คุ้มค่าหรือ”“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ผู้หญิงที่มีคุณธรรมอย่างแม่นางชิงจะทำแบบนั้นได้อย่างไร ล้อเล่นน่า อย่าสนใจเลย”เย่จิ่งหลานหัวเราะอย่างมีความสุข เดินไปข้างหน้าลั่วสุ่ยชิงเหลือบมองเขา แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น เม้มริมฝีปากอย่างแรง ท่าทางแบบเด็กสาวเช่นนั้น ไม่ควรปรากฏในตัวของนางทันใดนั้นก็นึกถึงสองครั้งที่นางใช้คาถาล่อลวงเย่จิ่งหลาน สีหน้าของนางก็ดูจะไม่เป็นธรรมชาติชอบกลแม้ว่านางจะไม่ได้รับผลกระทบจากมโนภาพ แต่พฤติกรรมในมโนภาพ ก็ถูกกำหนดโดยนางเองศาสตร์เงาฝันแบบนี้ไม่มีใครหยุดยั้งได้ เชื่อว่าเ
เมื่อได้ยินเขาพูดจาสกปรก เย่จิ่งหลานก็รู้สึกเกรี้ยวกราดทันที“ชาติสุนัขอย่างเจ้า แค่ทำลายวรยุทธ์ยังไม่รู้จักพอใจ งั้นให้ข้าส่งเจ้าไปยังสถานที่ที่ดีก็แล้วกัน”เย่จิ่งหลานคว้าผมของเขา แล้วลากเขาออกไปนอกลานบ้าน หลังจากเดินไปหลายร้อยเมตร เขาก็พบคูน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเมื่อเห็นสีหน้าที่ไร้ความกรุณาของเขา ชายคนนั้นก็เริ่มกลัวแล้ว“ปล่อยข้านะ เจ้าต้องการทำอะไร”เย่จิ่งหลานปล่อยมือ แล้วหัวเราะเยาะ “ข้าจะส่งเจ้าไปพบโคตรเหง้าศักราชของพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”ชายคนนั้นไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง ขนาดย่าของเขายังไม่อยู่แล้ว นับประสาอะไรกับโคตรเหง้าศักราชของพ่อแต่เขารู้สึกว่าศีรษะจมน้ำ รู้สึกแสบร้อนจากด้านบนของศีรษะ ชายคนนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาก็สั่นเหมือนเจ้าเข้าทรง“ชาติหน้าอย่าลืมรักษาปากให้สะอาดล่ะ โดยเฉพาะกับสาวๆ”เย่จิ่งหลานปล่อยพลังออกมาจากฝ่ามือ ชายคนนั้นก็กระอักเลือดออกมา และล้มลงกับพื้นเย่จิ่งหลานมองเขาอย่างเย็นชา เดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองหลังจากเดินออกไปสิบก้าว ก็รู้สึกแสบร้อนระหว่างคิ้ว จึงหยุดชะงักทันทีเมื่อคิดถึงการฆ่าคนหลายคนในช่วงสองวันที่ผ่านมา เย่จิ่งหล
เพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงอินชิงเสวียนได้เห็นข้อความที่เย่จิ่งหลานทิ้งไว้ นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลน่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะวรยุทธ์สูง แต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงถึงกันได้ไกลเป็นพันลี้เหมือนที่กล่าวไว้ในหนังสือได้ ไม่ต้องพูดถึงการติดต่อทางโทรศัพท์ ทำได้เพียงอธิษฐานให้เขาอยู่ในโรงเตี๊ยมอย่างเชื่อฟัง ไม่ก่อให้ปัญหาใดๆเย่จิ่งอวี้ปลอบใจอยู่ข้างๆ “เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าจิ่งหลานจะยังเด็ก แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาก็ได้สั่งสมประสบการณ์มากมายในโลกนี้ เขารู้ถึงความสำคัญ จะไม่กระทำการโดยประมาทแน่”“ข้าก็หวังอย่างนั้น ไม่รู้ว่าท่านแม่อยู่ที่นี่ คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตบ้างหรือไม่”ท่านแม่อินชิงเสวียนกล่าวถึง คือเซี่ยวอิ๋นหวนอยู่แล้วเย่จิ่งอวี้เหยียดแขนออก โอบกอดอินชิงเสวียนจากด้านหลัง“ได้มาพบกับเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสองท่าน ท่านแม่ย่อมดีใจอยู่แล้ว ข้ายังไม่ได้ไปขอบคุณพ่อตาและแม่ยายเลย ที่จัดงานใหญ่เช่นนี้ให้กับแม่ของข้า”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“ทำไมจู่ๆ อาอวี้ถึงทำเหมือนเป็นคนอื่นล่ะ”เย่จิ่งอวี้ก้มหน้าลง ฝังไว้ที่ซอกคอของอินชิงเสวียน“แม้เป็นฮ่องเต้ เมื่อต้องเผชิ
คนเหล่านี้ดูดุร้าย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ส่งเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่าอินชิงเสวียนพิจารณาดูแวบหนึ่ง แล้วก็คิดในใจว่า ดูเหมือนซอมบี้ในภาพยนตร์จริงๆ ราชาแคว้นเฟยเหยาสามารถทำให้คนเป็นขนาดนี้ได้ด้วยการล่อลวงเพียงไม่กี่คำ ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆจากก้นบึ้งของหัวใจ นางไม่อยากให้คนผู้นี้เป็นลั่วสุ่ยชิง อินชิงเสวียนชื่นชมผู้หญิงคนนี้จริงๆ เมื่อคิดว่านางอาจจะอายุกว่าสหัสวรรษ อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา บางทีอาจเรียดชกนางว่าคุณย่าทวดน่าจะเหมาะกว่าเย่จิ่งอวี้กล่าวว่า “ทางเรามีวิธีที่จะแก้ไขได้จริงๆ เชิญทุกท่านไปพักก่อน มอบศิษย์เหล่านี้ให้เราจัดการก็พอ”ขณะที่พูด เฮ่อยวนก็ออกมาแล้วเช่นกันเมื่อรู้ว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายชาวยุทธ์ในยุทธจักร จึงสั่งให้คนจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาทันทีหลี่เซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นก็รู้สึกตกใจ นี่เป็นถึงสำนักสันโดษที่ดำรงอยู่ในอันดับต้นๆ ของยุทธจักร ในความเห็นของพวกเขา เจ้าเมืองแห่งอิ๋นเฉิงย่อมต้องเป็นคนที่ไม่เข้าใจความทุกข์ยากของชาวบ้านสามัญชน อยู่สูงส่งเหนือผู้อื่น แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าจะเข้าถึงง่ายขนาดนี้ เมื่อเ
ทันทีที่มาถึงประตูตำหนัก ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นมุมริมฝีปากของเย่จั้นก็ยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวในห้องโถง เย่ไห่ถังกับหญิงสาวรูปโฉมสะคราญนางหนึ่ง กำลังเล่นเกมกันอย่างสนุกสนาน ทุกครั้งที่ผ่านด่าน ทั้งสองก็จะระเบิดเสียงหัวเราะสดใสราวกับระฆังเงินตั้งแต่พี่สะใภ้ออกจากวัง เย่ไห่ถังก็ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว โชคดีที่เสด็จอาพาคนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้กลับมา ซึ่งไม่เพียงแต่เล่าเรื่องต่างๆ ให้นางฟังเท่านั้น แต่ยังเต็มใจที่จะเล่นกับนางด้วยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เย่ไห่ถังเดาว่าเสด็จอาคงมาที่นี่ จึงรีบซ่อนโทรศัพท์ไว้เย่จั้นถือเสื้อคลุมเดินเข้ามา โบกมือให้ขันทีนางกำนัล ทั้งหมดต่างก็ถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์เย่จั้นถอดหน้ากากออกด้วย เขาไม่ต้องการใช้รูปลักษณ์ของหลานชายปรากฏตัวต่อหน้าอินหลี“ทำไมวันนี้ท่านถึงมีเวลาว่างได้”โดยปกติตอนที่เย่จั้นมาหานาง เขาจะแอบย่องเข้ามากลางดึก เนื่องจากเย่จั้นปลอมตัวอยู่ การทำเช่นนี้จึงเหมือนกับการลอบพบชู้หากคนในวังเห็นว่าฮ่องเต้รักผู้หญิงคนอื่นมากเช่นนี้ เมื่ออินชิงเสวียนกลับมา จะอธิบายอย่างไรเล่าเดิมทีอินหลีต้องการกลับไปยัง
ใบหน้าของเย่จั้นเต็มไปด้วยความสุข กล่าวชมเชยอย่างเต็มปากเต็มคำ “สมแล้วที่เป็นสตรีจากตระกูลอิน ฉลาดหลักแหลมเกินคนจริงๆ”อินหลีหน้าแดงเล็กน้อย“ข้าไม่หลักแหลมเท่าชิงเสวียน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมือง ทุกอย่างต้องทำด้วยความระมัดระวัง ท่านถือเสียว่าเป็นข้อเสนอแนะเท่านั้นก็พอ แล้วค่อยหารือกับจอมพลกวนกับพี่ใหญ่ของข้าก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกที”เย่จั้นยืนขึ้นและพูดว่า “ไม่มีใครมีความคิดที่ดีไปกว่าอาหลีแล้วล่ะ ข้าจะกลับไปที่ห้องหนังสือแล้ว”“อืม”อินหลีมองส่งเย่จั้นออกไปด้วยสายตาหวานซึ้ง รู้สึกมีความสุขที่สามารถช่วยเขาแก้ปัญหาได้จากนั้นถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้กับชิงเสวียนจะปลอดภัยดีหรือไม่ แค่หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงในไม่ช้า ผู้คนในใต้หล้าจะมีความสงบสุข...วันรุ่งขึ้นเย่จั้นสวมหน้ากากของเย่จิ่งอวี้ไปประชุมเช้าในราชสำนัก สองอาหลานมีสัดส่วนเท่ากัน มีรูปร่างคล้ายกันมาก นอกจากนี้ทั้งสองยังกำเนิดในราชสกุล บารมีแห่งราชสกุลนี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเลยตอนนี้เมื่อสวมใส่ใบหน้านี้ ยิ่งยากที่จะแยกแยะว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม นอกจากกวนฮั่นหลินกับอินจ้งแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่า