“แม่นางชิง?”อินชิงเสวียนร้องออกมาเบาๆชิงลั่วพูดเบาๆ “ไม่ถึงกับขุ่นเคืองใจนัก แค่รู้สึกเศร้าใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ต่างๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ มาตลอดประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง”“เป็นเช่นนี้เอง”อินชิงเสวียนถอนหายใจเบาๆ“ที่ใดมีคน ย่อมเกิดการทะเลาะวิวาทกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดยังมีความโลภ ก็ย่อมเกิดการนองเลือดและสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นการยากที่จะวิจารณ์ว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด และไม่จำเป็นต้องวิพากษ์วิจารณ์ ราษฎรเรียบง่าย ไม่แยกแยะผิดถูกมากนัก พวกเขาจดจำแต่ความดีและความชั่วของเบื้องบนเท่านั้น หากผู้ครองเมืองมีเมตตา ก็จะคำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ให้พวกเขามีอาหารและเครื่องนุ่งห่มโดยไม่ต้องกังวล ถ้าหากว่าไฟสงครามลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ประชาชนย่อมจะต้องได้รับความเดือดร้อนเป็นอันดับแรก ช่างน่าเวทนายิ่งนัก!”อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สายตาที่เห็นอกเห็นใจ ราวกับว่ามีราษฎรอยู่ที่นั่นชิงลั่วเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “แน่นอนว่าไม่มีใครอยากจุดชนวนสงคราม แต่ในการจัดตั้งกองทัพก็ต้องมีเหตุผล”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“เป็นเช่นนี้จริง เพียงแต่จะไม่เกิดขึ้นตอนนี้”
ชิงลั่วตกใจอีกครั้ง สิ่งนี้มาจากไหนหรือว่าอินชิงเสวียนถือของวิเศษติดตัวไปด้วย หรือบำเพ็ญตบะถึงขอบเขตสูงสุดแล้ว มีถุงวิเศษเฉียนคุนอยู่ในตัวของนาง?อินชิงเสวียนเหลือบมอง ก็เห็นกุ้งมังกรน้อยชอีกตัวหนึ่ง นี่เป็นของล้ำค่า อินชิงเสวียนน้ำลายแทบไหลออกมา“ชิงลั่ว มาจับกันเร็ว เจ้านี้อร่อยมาก ประเดี๋ยวกลับไปแล้ว ข้าจะปรุงให้กินเอง”นางพับกระโปรงขึ้น กระโดดขึ้นไปบนก้อนหิน ก้มศีรษะลงแล้วจับไว้ชิงลั่วยืนอยู่ข้างลำธาร นางขมวดคิ้วฮองเฮาจะรู้จักแมลงชนิดนี้ได้อย่างไร แมลงชนิดนี้กินได้จริงหรือนางคงไม่ได้วางยาพิษตัวเองกระมังไม่ ด้วยกำลังภายในของนาง พิษเพียงแค่นี้ไม่สามารถทำอะไรนางได้แล้วทำไมเมื่อครู่นางถึงพูดคำพวกนั้น พยายามทดสอบ หรือเป็นคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจ?ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ อินชิงเสวียนโบกมือให้นางอีกครั้ง“ชิงลั่ว มานี่เร็ว!”ชิงลั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินลงไปตามริมลำธาร“แมลงตัวนี้กินได้จริงหรือ”อินชิงเสวียนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่เพียงกินได้ แต่ยังอร่อยอีกด้วย”ชิงลั่วคิดว่าสิ่งนี้ดูเหมือนแมงป่อง แต่ก็ยังเคลื่อนหินออกไป แล้วก็พบอีกตัว“แม่นางชิงสุดยอดจริงๆ”หลังจากที
สีหน้าของชิงลั่วเย็นชาทันที“เบื่อชีวิตแล้วกระมัง?”เย่จิ่งหลานเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่ง มองดูชิงลั่วแล้วพูดว่า “ได้ตายใต้ต้นโบตั๋น แม้นเป็นผีก็สุขสม อย่างไรก็ได้เห็นหน้าแล้ว เจ้าก็อย่าสวมผ้านี้อีกเลย”เขาเอื้อมมือไปยกหมวกไม้ไผ่ของชิงลั่วขึ้น แต่ถูกชิงลั่วปัดมือออกมือซ้ายของเย่จิ่งหลานเร็วกว่า มาอยู่ตรงหน้าชิงลั่วแล้ว“แม่นางไม่จริงใจแบบนี้ ไม่น่ารักเลย”ชิงลั่วแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป”“ไม่ เป็นเจ้าที่ประเมินข้าต่ำไป”ทั้งสองลงมืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า และในชั่วพริบตาก็ต่อสู้กันไปหลายสิบกระบวนท่าเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ชั้นบน แอบมองผ่านรอยแยกของประตู“สังเกตเห็นอะไรหรือไม่”อินชิงเสวียนถามด้วยเสียงแผ่วต่ำ“มองไม่ออก ตอนนี้นางอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ราชาของแคว้นเฟยเหยานั้นเป็นหมอกสีดำ ยากที่จะเปรียบเทียบ แล้วเสวียนเอ๋อร์คิดอย่างไร”เย่จิ่งอวี้ก้าวถอยหลัง หลีกทางให้นางอินชิงเสวียนมองดูครู่หนึ่งและพูดว่า “แม่นางคนนี้อายุไม่เกินสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี แต่นางสามารถต่อกรกับเย่จิ่งหลานได้นานโดยไม่มีเพลี่ยงพล้ำ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ในตัวนางจะต้องเป็นเหมือนกับเราแน่ๆ
ชิงลั่วหยิบกุ้งมังกรน้อยขึ้นมา แล้วลอกเปลือกนอกออกตามอินชิงเสวียน กลิ่นหอมรสเผ็ดร้อนชนิดหนึ่งอบอวลในลำคอ มันเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากจริงๆ“ไม่คิดว่าแม่นางอินจะมีฝีมือดีขนาดนี้”อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม“ชอบกินชอบทำอาหาร จึงต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอาหารให้มากขึ้น”ชิงลั่วเหลือบมองเย่จิ่งอวี้“มีภรรยาที่ดีเช่นนี้ คุณชายเย่โชคดีมาก”อินชิงเสวียนถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางชิงแต่งงานแล้วหรือยัง สนใจจะพิจารณาน้องสามีของข้าไหม”ชิงลั่วไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ข้าปรารถนาชีวิตที่อิสระ ความใฝ่ฝันตลอดชีวิตคือการท่องเที่ยวทั่วโลกเป็นบ้าน ไม่มีแผนจะแต่งงาน”เย่จิ่งหลานยังโบกมือไหวๆ“พี่สะใภ้อย่าจับคู่คนแบบมั่วๆ วรยุทธ์ของแม่นางชิงล้ำเลิศมาก ถ้าข้าแต่งงานกับนาง กลัวว่าไม่เกินสามวัน จะถูกทุบจนสลบเอา”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ แต่ในใจกำลังแยกแยะข้อมูลวรยุทธ์ที่นางเพิ่งช่วงชิงมา นี่เป็นวรยุทธ์ที่แปลกประหลาดพิสดารมาก มันสามารถแยกส่วนร่างกายและปกป้องแก่นวิญญาณไม่ให้ตายได้ ซึ่งเพียงเท่านี้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าการเดาของนางนั้นถูกต้อง ชิงลั่วคือลั่วสุ่ยชิงนางคงรู้จักตัวตนของกลุ่มพวกนางจา
“เรื่องนี้ให้ข้าทบทวนดูก่อน”เงาหมอกหายวับ และลั่วสุ่ยชิงก็หายตัวไปแล้วชิงฮุยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังจุดเดิมที่ลั่วสุ่ยชิงเคยยืนอยู่ด้วยดวงตาคู่หนึ่งที่ใสราวกับน้ำนิ่งใบหน้าสงบราบเรียบ ทว่าดวงตากลับไหววูบเล็กน้อย...ลั่วสุ่ยชิงปรากฏตัวอีกครั้ง ซึ่งร่างนั้นมาอยู่ที่ตลาดที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้พอมืดลง ผู้คนก็ลุกขึ้นมาทำงานกันที่ถนนสายหลักใจกลางตลาด พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยเล็กๆ ก็เริ่มขายของกันมากมาย“แม่นางจะซื้ออะไรกินไหม เปี๊ยะข้าวฟ่างร้อนๆ หอมหวานอร่อยมาก”“ข้ามีโมโม่แป้งข้าวโพด อิ่มท้องสบายเลย”เมื่อเห็นลั่วสุ่ยชิงเดินคนเดียวในตลาด เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าก็มาขายอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้มลั่วสุ่ยชิงหยุดอยู่หน้าแผงขายเปี๊ยะข้าวฟ่าง“ข้าซื้อชิ้นหนึ่ง”“ได้เลย หนึ่งอีแปะ”ลุงคนนั้นห่อเปี๊ยะให้ลั่วสุ่ยชิงอย่างดี เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่มีรอยปะชุนของเขา ลั่วสุ่ยชิงก็ถามขึ้นว่า“ดูเหมือนเจ้าจะมีชีวิตไม่ดีนัก”ลุงยิ้มอย่างบริสุทธิ์เรียบง่าย“ในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่งประสบภัยแล้ง ตอนนี้เรามีอาหารเพียงพอก็ดีมากแล้ว จะมีเงินซื้อเสื้อผ้าสีสดใสได้อย่างไร”ลั่วสุ่ยชิงกัดเข้าไป กลืนลงคอได้อย
หากเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วตัวเองจะแตกต่างจากกลุ่มคนเหี้ยมโหดในตอนนั้นได้อย่างไรเมื่อมองไปที่ทุ่งนาสีเขียวขจีตรงหน้า ลั่วสุ่ยชิงก็รู้สึกสับสนทันทีแม้ว่านางจะสังหารฮ่องเต้ต้าโจว แต่จะสามารถฟื้นฟูแคว้นได้จริงหรือ ถึงวาระนั้นคนของพวกเขากลับมาแก้แค้นอีกครั้ง เช่นนั้นมันจะเป็นการฆ่าสังหารอย่างไม่มีที่สิ้นสุดทันใดนั้น ภาพความตายอันน่าสลดใจของพ่อและพี่ชายก็แวบขึ้นมาในหัว ลั่วสุ่ยชิงรวบนิ้วเข้าหากันไม่ นางไม่ควรลังเลใจราษฎรไม่ผิด แต่ราชวงศ์ยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ นางไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ก็ได้ แต่ต้องไม่มีวันปล่อยตระกูลเย่ไปความเยือกเย็นในดวงตาแวบผ่านมา ลั่วสุ่ยชิงก็กลายร่างเป็นหมอกสีดำและหายไปอีกครั้งภายในโรงเตี๊ยมอินชิงเสวียนและเย่จิ่งอวี้นั่งตรงข้ามกัน“ถ้าเป็นไปตามที่เราเดาไว้ แม่นางลั่วคนนั้นน่าจะเป็นคนที่ฆ่าท่านตา ไม่รู้ว่า...อาอวี้จะทำอย่างไรต่อ”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถูกผิดที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีที่แล้ว เป็นการยากที่จะตัดสินได้ จากมุมมองทั่วไป แคว้นเฟยเหยาอาจบริสุทธิ์ แต่จากมุมมองส่วนตัว นางเป็นฆาตกรที่ฆ่าท่านตาของข้า ข้าควรจะล้างแค้นแทนท่านตา”เย่จิ่งหลาน
“ใครกัน กล้าพูดจาโอหังที่นี่!”เหมยชิงเกอพลิกข้อมือ พลังกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดออกมาจากร่าง ผลักเปิดประตูโรงเตี๊ยมจึงก็เห็นร่างใหญ่ยักษ์ยืนประจันหน้าอยู่นอกประตู ร่างนั้นสูงกว่าสองเมตร แข็งแรงบึกบึนมาก แขนข้างหนึ่งหนากว่าเอวของอินชิงเสวียน หัวใหญ่โตราวกระด้ง ดวงตาปานระฆัง มือแต่ละข้างถือค้อนทองแดงอันใหญ่ เมื่อประกอบกับร่างสูงใหญ่นั้นแล้ว ทำให้ดูค่อนข้างน่ากลัว“เจ้าเป็นใคร”ศิษย์ของตำหนักเทพชักกระบี่ออกมา เดินไปถามที่ประตู“ไปพบยมบาลแล้ว เขาจะบอกเจ้าเอง”คนผู้นั้นยกค้อนทองแดงขึ้น และโจมตีศิษย์ตำหนักเทพอย่างรุนแรงศิษย์ตำหนักเทพยกกระบี่ขึ้นต้านรับ แต่รู้สึกถึงแรงมหาศาลกดลงบนหัว กระบี่ยาวก็แตกออกเป็นสองท่อน จากนั้นก็รู้สึกเจ็บแน่นที่หน้าอก และมีเลือดไหลออกมาเต็มปาก“บังอาจ!”เหมยชิงเกอเปล่งแสงสีม่วงที่ฝ่ามือ แล้วทุบไปยังค้อนใหญ่ แต่ถูกกระแทกกลับไปหลายก้าว ศิษย์คนเมื่อกี้ถูกอัดกระแทกจนหน้าอกอัดกับแผ่นหลัง เนื้อและกระดูกบางราวกับกระดาษเสียงของเจ้าตัวใหญ่ยักษ์นั้นดังก้องราวกับระฆัง หัวเราะลั่นและพูดว่า “ยอดฝีมือยุทธภพอะไรกัน มีความสามารถแค่นี้เอง พวกเจ้าทุกคน ออกมาซะ”หลังจากเสียง
คนถือค้อนใหญ่ก้าวไปข้างหน้า ยกค้อนขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นแก่เจ้าที่แก่ปูนนี้แล้ว หากไม่อยากตาย ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ”เย่จิ่งอวี้เคารพนักพรตเทียนชิงมาโดยตลอด อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธว่า “หนูโง่เขลา ไม่รู้ว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”มือซ้ายยกขึ้นโบกรางๆ ในอากาศ พลังแห่งฟ้าดินได้หลอมรวมเข้ากับกำลังภายในที่จุดตันเถียนทันที และมันยังคงเติบโตไม่หยุดคนที่ถือค้อนใหญ่หรี่ตาลงเล็กน้อย ไม่ควรมองข้ามบุคคลผู้นี้ชายอ้วนเตี้ยชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งตรงเข้าใส่เย่จิ่งอวี้“เจ้าเด็กกำแหง ตายซะ!”เย่จิ่งอวี้ก้าวเท้าหลบ และก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังชายอ้วนเตี้ยราวกับผี ฝ่ามือประทับหลังหัวใจของเขาอย่างเงียบๆ ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆเมื่อชายอ้วนเตี้ยรู้สึกตัว มันก็สายเกินไปแล้ว ร่างอ้วนของเขาหันขวับ มือซ้ายของเย่จิ่งอวี้ก็มาถึงแล้ว รวบนิ้วเป็นหมัด และชกเข้าที่หน้าอกของชายอ้วนเตี้ยเปรี้ยงมีเสียงเปรี้ยงที่ประตู ชายอ้วนตัวเตี้ยก็พ่นเลือดออกมาจากปาก กระเด็นถอยออกไป ผู้หญิงสวมชุดขาดริ้วสีม่วงที่อยู่ล้อมอยู่ก็ตรงเข้าไปรับทันที และกรีดร้องด้วยความตกใจ“ต้าหลาง!”เย่จิ่งหลานที่ยืนอยู่บนโต๊ะก็มองตามออกไป เกือ